ขอพื้นที่ตรงนี้เป็นที่ระบายความน้อยใจหน่อยนะคะเพราะรู้สึกอึดอัดมากเลยอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆชาวพันทิปคะ
เริ่มจาก จขกท.อายุ 45 ปีแล้วไม่มีเงินเก็บเลย ไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีลูก ย้อนกลับไปเมื่อตอนอายุ 27 ปีคือจุดเริ่มต้นของความน้อยใจที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ จขกท.มีพี่สาว 3 คนและทุกคนแต่งงานมีครอบครัวหมดแล้ว ขอเล่าประวัติโดยรวมนะคะ จขกท.เป้นคนต่างจังหวัดและเป็นลูกคนสุดท้อง และเป็นคนเดียวที่เรียนจบปริญญาตรี ส่วนพี่สาว 3 คนไม่ได้เรียนเพราะครอบครัวฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ จขกท.ก็ถีบตัวเองเพื่อเรียนจนจบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทางครอบครัวส่งเสียเล่าเรียนสะทีเดียวเพราะ จขกท.กูเงินกยศ.เรียนเองและตอยเรียนปริญาตรีที่ม.รามคำแหง แต่จะขอเพิ่มจากครอบครัวนิดหน่อยเวลาขาดเหลือ เพราะจะมีพี่สาวคนที่ 3 เคยไปขายแรงทำงานต่างประเทศพอช่วยเหลือบ้างแต่ไม่มาก ส่วนที่เหลือจขกท.จะกาเงินเพิ่มเองโดยทำงานพาททาร์มสารพัด เด็กร้านสะดวกซื้อ,แจกใบปลิว,เด็กร้านไอศครีม รับจ้างขายของตามงานต่างๆ
พอจบก็หางานทำสมัยนั้นเงินเดือนที่ได้เริ่มที่ 6500 บาทเอง จ่ายค่าห้องเดือนละ 2500 บาท(ยังไม่รวมค่าน้ำไฟ) มันแทบไม่เหลือเลยใช้ชีวิตแบบนั้นจนอายุ 26 ปี ยังไม่เคยได้ส่งเสียให้ทางบ้านก็ถูกตำหนิว่าตั้งแต่เรียนจบมาครอบครัวยังไม่ได้เงินจาก จขกท.เลย
ขอเล่าในส่วนของพี่สาวทั้ง 3 คนนะคะ
1) พี่สาวคนโตที่สร้างบ้านอยู่ติดกับบ้านพ่อกับแม่และจะเป็นคนคอยดูแลพ่อแม่ แต่พี่สาวคนโตจะไม่ค่อยถูกกับพ่อแม่เท่าไหร่เพราะนิสัยเขาเป้นคนเจ้าระเบียบชอบสะอาดและขี้บ่นสุดๆจนใครไม่อยากอยู่ใกล้ พี่สาวคนโตแต่งงานมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่ 1 คนตอนนี้พี่สาวคนโต อายุ 53 ปีแล้ว มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีงานประจำอะไร มีอาชีพทำนา และเย็บผ้าพอเป็นรายได้เสริม เงินเก็บไม่มี สามีไม่มีอาชีพและไม่ได้อยู่ในบ้านเดี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่ส่วนลูกชายก็ไม่เป็นโล้เป็นเป็นพายปล่อยไปตามกรรมแต่ดีที่พี่สาวคนโตไม่มีหนี้สินอะไร
2) พี่สาวคนที่ 2 อายุ 50 กว่าแต่งงาน มีลูกชายหนึ่ง ลูกสาวหนึ่ง ลูกสาวเรียนจบปริญญาตรีแล้วแต่จบแบบคนรอบข้างคอยช่วยเหลือแม้แต่ จขกท.ก็เป้นคนช่วย ลูกชายยังเรียนไม่จบปัจจุบันกำลังจะศึกษาต่อปริญญาตรี พี่สาวคนนี้เป็นคนที่คุณพ่อค่อนข้างรักจะค่อยช่วยเหลือเรื่องเงินตลอดแต่พี่คนนี้ไม่เคยดูดำดูดีอะไรพ่อแม่นานๆจะกลับมาเยี่ยมที่ บางที่เป็นปีสองปี ขนะโทรหาพ่อแม่ จขกท.ยังต้องเป็นคนยำเตือนเขาให้โทร บางปี จขกท.ต้องจ้างให้พี่สาวพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมพ่อแม่จ่ายค่าน้ำมันรถค่ากินให้ถึงยอมกลับ หลังจากแต่งงานเขาก็ย้ายไปสร้างครอบครัวอยู่ที่จังหวัดสามีเขา อาชีพอิสระทั้งสามีภรรยา ไม่มีรายได้เป็นหลัก และชอบเล่นหวย ทุกวันนี้มีหนีสินเกือบล้านมีรถกะบะ 1 คันที่ใกล้จะได้เอาไปปลูกผักสะระแหน่แล้ว
3) พี่สาวคนที่ 3 คนนี้ค่อนข้างดีสุดค่อนช่วยเหลือครอบครัวแต่เขาก็แต่งงานย้ายออกไปอยู่บ้านสามีปัจจุบันอายุ 47 ปีมีลูกสาว 2 คน คนนี้ขยันมีอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไปหลักๆกรีดยาง สามีก็ขับสิบล้อมีสิบล้อ 1 คันด้วยความช่วยเหลือจากน้องสาวของสามี และมีกะบะคันหนึ่งทีนังต้องผ่อน พร้อมส่งเสียลูกสาวเรียนทั้ง 2 คน
ตลอดเวลาตั้งแต่ทจขกท. อายุ ได้ 26 ปีได้เปลี่ยนงานและได้เงินเดือนก้าวกระโดดไปถึง 15,000 พอดีช่วงปีนั้นมีประกาศออกมาว่าปริญญาตรีควรได้สตาร์ทเงินเดือนที่ 15,000 บาท นั้นคือจุดเริ่ม ต้นที่ จขกท.เริ่มส่งให้ทางบ้าน แต่ก็ไม่ได้ส่งเยและมากมาย ประมาณ 3000-3500 บาท เพราะ จขกท.ต้องมีผ่อนจ่ายชำระคืนกยศ.ทียืมเรียนมา 130,000 บาท ตลอดเวลาก็ค่อยช่วยเหลือครอบครัวมาตลอดจนมาอายุได้ 35 ปี จขกท.อยากได้รถเลยใช้เงินเก็บดาวรถเก๋ง ฮอนด้าซิตี้ 2017 ในราคาราวๆ 630,000 ดาว 170,000 ผ่อน 4 ปี แต่ช่วงที่ออกรถก็ได้อัพเงินเดือนมาเป็น 28,000 บาท และช่วงนั้นต้องประหยัดมากๆเลยย้ายไปอยู่หอพักสตรีที่ค่าเช่าห้องถูกๆแค่ 1400 บาทต่อเดือนแต่ห้องเท่ารูหนู รายได้ที่ได้ก็ส่งช่วยเหลือพี่สาวคนโตในเรื่องค่าอาหารค่าน้ำค่าไฟที่พี่สาวคนโตช่วยดูแลพ่อแม่แต่พี่ๆคนอื่นจะไม่มีส่วนช่วยตรงจุดนี้จะมีก็แต่พี่สาวคนที่ 3 ที่ทำนาก็เอาข้าวไว้ให้พ่อแม่กินแต่เรื่องเงินจะไม่มีคนไหนช่วยจะมีแต่ จขกท.เป็นเสาร์หลัก คุณพ่ออายุ 72 ส่วนคุณแม่อายุ 76 แล้ว ท่านอยากให้จขกท.กลับไปอยู่บ้สนเพื่อดูแลท่านแต่ตัวจขกท.มองว่าจขกท.เป็นคนเดียวที่ยังโสดเงินเก็บยังไม่มี แต่มี่หนี้ผ่อนรถที่ตัวเองไม่ได้เอามาขับซื้อไว้ให้ที่บ้านใช้ขับเพื่อพ่อแม่ไม่สบายจะได้พาไปหาหมอในเมืองได้สะดวก
พอจขกท.ทำแบบนี้มาตลอดจนมาปีที่โควิดระบาดบริษัทปลดพนักงานออกแผนกจขกท.มี 3 คน จขกท.เลยเสียสละลาออกเพราะถูกกดดันยอมให้น้องอีกสองคนทำต่อ และนั้นคือตุดเปลี่ยนของชีวิตที่เหมือนกำลังจะตาย ตกงานแต่ยังต้องผ่อนรถ ส่งเสียทางบ้านไม่มีใครช่วยเหลือในวันที่จขกท.ล้มได้แต่ร้องหายให้กับโชคชะตาตัวเองและพยายามหางานใหม่ ตกงานอยู่เกือบ 2 ปีในระหว่าง 2 ปีนั้นก็มีได้งานอื่นทำบ้างแต่ยังไม่ดีพอที่จะทำให้ยึดเป็นงานหลักได้จนเงินเก็บหมดไม่เหลือ แล้วจังหวะนั้นคุณพ่อคุณแม่ล้มป่วยท่านไม่ยอมให้พี่สาวคนโตดูแเพราะทะเลาะกันเลยขอให้จขกท.กลับไปช่วยดูแลและคุณพ่อยอมปิดหนี้รถที่เหลือให้ 170,000 บาทและพ่อก็ป่าวประกาศให้คนรู้กันทั่วว่ารถคันนั้นพ่อเป็นคนซื่อให้แต่ก่อนกน้านั้นจขกท.ได้นำเงินจากบัตรกดเงินสดของ SCB ออกมาใช้จ่ายเพื่อเป็นเงินหมุนค่ากินค่าใช้จ่ายส่วนตัวจนเกิดเป็นหนี้ก้อนใหม่ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครช่วยได้แล้วจุดนี้คือจุดที่ทำให้จขกท.เกิดความน้อยเหนือต่ำใจ ถูกพี่สาวพลักภาระมาให้จะให้จขกท.กลับมาเลี้ยงพ่อแม่ทั้งๆที่ไม่มีอะไร ทั้งที่ความเป็นจริงพี่สาวทั้ง 3 คนได้รับมรดกจากพ่อแม่เป็นที่ดินคนละแปลงไปแล้วและพี่สาวก็ขายกันไปแล้วมีจขกท.ที่ยังไม่ได้อะไร แต่ก็คิดแค่ว่าอย่างน้อยคุณพ่อช่วยปิดงวดรถให้
หลังจากคุณพ่อคุณแม่หายป่วย จขกท.ก็กลับเข้ามาในกรุงเทพและได้งานบริษัทเล็กๆทำไปชั่วคราวก่อนได้รับเงินเดือนที่ 23,000 บาทก็พยายามแบ่งส่งทางบ้าน จ่ายหนี้บัตร และใช้จ่ายส่วนตัว แต่บริษัทก็ดูจะไปไม่รอดแจ้งออกมาอาจจะปิดตัวลง จขกท.ก็เริ่มเครียดอีกครั้งเพราะอายุ 43 แล้วงานไม่มั่นคง เงินเก็บไม่มี ความสามารถพิเศษอะไรก็ไม่มี แต่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ จังหวะนั้นได้คุยกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งเขาไปทำงานผิดกฎหมายคือไปเป็นผีน้อยที่เกาหลี และช่วงนั้นจขกท.ได้พยายามหางานพิเศษทำจนไปโดนหลอกให้ลงทุน จขกท.ใช้เงินจากบัตรกดเงินสดที่มี 2 ใบเกือบ 300000 บาทไปร่วมลงทุนแล้วโดนโกง สุดท้ายแจ้งตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตจากจะหมดหนี้เลยเพิ่มหนี้มาเกือบ 4 แสนคิดอยากฆ่าตัวตายมากๆพยายามไปยืนอยู่ที่ตึกสูงไปคิดจะกระโดดลงมาก็หลายครั้ง แต่วันหนึ่งได้คุยกับเพื่อนที่เขาทำงานเปึผีน้อยที่เกาหลีเลยตัดสินใจลองทำตาคำแนะนำเขาลองเสี่ยงดวงไปเกาหลีอาจจะมีทางรอดเพราะช่วงนั้นสับสนมากตัวคนเดียวไม่ว่าจะหาเงิน แก้ไขปัญหาทางครอบครัวไม่มีใครสามารถช่วยได้ขนะจะไปเกาหลีจขกท.แอบคุยกับพี่สาวก็หสังเพื่อเขาจะหยิบยื่นค่าใช้จ่สยใก้บ้าง แต่ก็ไม่มีใครช่วยซักบาท แต่สิ่งที่ได้ยินคือพวกเขาดีใจที่จขกท.จะไปถ้าผ่านเข้าเกาหลีได้พวกเขามองว่าจขกท.จะได้ส่งเงินให้ทางบ้านได้ทุกเดือนเหมือนเดิม เพราะพี่สาวต่างพูดว่าถ้าจะให้พี่สาวคนโตดูแลพ่อแม่รอจขกท.ก็ต้องส่งเงินให้ทุกเดือนถึงจะอยู่ดูแลให้ พวกเขาพูดเหมือนพ่อแม่เป็นของจขกท.คนเดียว พอได้ยินก็ได้แต่แอบร้องให้กับตัวเองคงเป็นเพราะจขกท.ทำให้พวกเขาเคยตัวคอยเป้นผู้ให้มาตลอด จขกท.เลยไม่เคยได้รับอะไรจากพวกเขา ในปี 2522 จขกท.ตัดสินใจเข้าเกาหลีแบบไม่คิดอะไรจะผิดกฏหมายก๋ต้องทำดีกว่ายอมอดตายแถมหนี้สินอีก 4 แสนตอนนั้นจนมุมมากๆเลยแอบเอารถเข้าไฟแนนซ์โดยที่ครอบครัวยังไม่รู้จนถึงทุกวันนี้ จขกท.คิดว่ามันคือโชคชะตาได้เข้าเกาหลีแบบง่ายดายอาจจะเป็นเพราะจขกท.เคยมีประวัติเดินทางไปเที่ยว สิงค์โปร์ 4 ครั้ง,มาเลเซีย 2 ครั้ง และ ฮ่องกง 1 ครั้งที่ไปแต่ละรอบนั้นจขกท.ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยเงินตัวเองนะคะ ช่วงนั้นได้แฟนเป็นคนออสเตรเลียเขาเลย Support พาไปเที่ยว(แต่สุดท้ายก็เลิกกันไปคะ) พอเข้ามาที่เกาหลีก็มาขายแรงเยี่ยงทาสทำงานสวนที่แสนจะหนักมากๆทำทุกงานที่มีงานโรงงาน งานสวนอะไรก็ทนทำแต่อุปสรรคมันยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เนื่องจากจขกท.ไม่ได้ภาษาเกาหลีเลยเวลาติดต่องานผ่านคนอื่นตลอดและคนอื่นก็เจอแต่ที่ไม่ดีเอาเปรียบกลั่นแกล้งสารพัดเจอ แต่ก็สู้เพราะอยากปลดหนี้ สู้แบบเหนื่อยใจมากกเพราะกำลังใจจากครอบครัวก็ไม่มีให้ตั้งหน้าตั้งตารอรับแต่เงิน พอรู้ว่าจขกท.เข้าเกาหลีได้พวกเขาก็นับรายได้ที่จขกท.จะได่รับต่อเดือนแล้วแต่ไม่เคยมีใครถามว่าจขกท.เจออะไรบ้างกินอยู่อย่างไร ชีวิตผีน้อยต้องหลบซ่อนๆทำตัวเปิดเผยมากไม่ได้อันตรายอาจจะดูตม.ตร.จับส่งกลับไทย เข้าปีที่ 2 แล้วจขกท.ยังปลดหนี้ไม่หมดเหมือนเพื่อนพูดเลยเพราะเข้ามาไม่ได้โชคดีเจองานดีเงินดีเจ้านายดี แต่ก็ถือว่าได้ปลดหนี้ไปบางส่วนจาก 4 แสนตอนนี้ก็เหลือราวๆ 150,000 บาท ใครจะด่าจะว่าจขกท.ว่าเป็นตัวทำให้คนไทยเสียหายที่แอบมาทำงานก็คงต้องปล่อยให้ด่าและต้องบอกว่าจขกท.ขอโทษเพราะจนมุมกับชีวิตจริงๆ
ชีวิตในต่างแดนแบบผีน้อยมันไม่ใช่เรื่องง่ายและก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้อดทนสู้มา 1 ปีลดหนี้ลงได้บางส่วนแต่ยังไม่มีเงินเก็บส่งทางบ้าน เดือนละ 5-6 พันบาทพอแต่ทางบ้านกลับมองว่าส่งให้น้อยและคิดว่าจขกท.มาเป็นปีคงมีเงินเก็บ 5-6 แสนแล้ว ซึ่งความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นทำงานเกาหลีไม่ได้เจอที่ดีดีก็ไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น ทำงานส่วนได้เป็นวันถ้าฝนตกก็ไม่ได้ทำงาน ฤดูหนาวก็ไม่มีงานสวนให้ทำ ถึงมีก็ทำไม่ได้เพราะอากาศเยือกเย็น ถ้างานผโรงงานก็ต้องสื่อสารภาษาเกาหลีได้บ้างถึงจะหางานได้ สรุปแล้ว 1 ปีจะได้ทำงานแค่ 7-8 เดือน อีก 3-4 เดือนจะไม่มีงานนั้นคือช่วงฤดูหนาวจขกท.ต้องมีเงินสำรองไว้กินไว้ใช้และต้องสำรองไว้ซื้อตั๋วเผื่อถูกจับส่งกลับไทย และเดือนไหนไม่มีเงินไม่ได้ส่งทางบ้านก็ถูกบ่นว่าหาเงินยังไงไม่ได้เงินถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าคนอื่นมาเขาร่ำรวยได้เดือนละเป็นแสน กำลังใจไม่เคยให้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีทันสมัยเฟสไลน์ใช้ติดต่อสื่อสารได้รอบโลก แต่ไม่เคยมีเลย
ทุกครั้งที่จขกท.โอนเงินให้ทางบ้านแล้วแจ้งสลิปทางไลน์ให้พี่สาวเขาอ่านและรับรู้ตลอดว่าส่งเงินใก้แต่ไม่เคยมีตอบกลับไม่เคยมีคำว่าขอบคุณ ไม่เคยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ มีแต่รอรับเงินและรอจขกท.ติดต่อกลับ กำลังใจไม่เคยได้ ความช่วยเหลือไม่เคยมี พี่บางคนทักมายืมเงินด้วยซ้ำทั้งที่ไม่เคยใยดีอะไร จะผิดไหมถ้า จขกท.ตัดพี่ๆออกไปพวกเขาพูดกับจขกท.ว่าตัวใครตัวมัน ครอบครัวของใครของมัน ซึ่งมันคือคำพูดที่ได้ยินจากปากพี่สาวทั้ง 3 คนแล้วทำให้จขกท.เสียใจมากและน้อยใจสุดๆเพราะตลอดเวลาไม่เคยคิดว่าพี่สาวแต่งงานแยกออกไปเป้นึนอื่นคิดเสมอว่สยังคือครอบครัวถึงแม้จะมีพี่เขยและหลานมาเพิ่มกับคิดตลอดว่าครอบครัวเรามีสมาชิกเพิ่ม เหมือนจขกท.รักพวกเขาฝ่ายเดียว
** ป.ล ต้องขอโทษที่เขียนยาวมากเพราะไม่รู้จะระบายทางไหนได้รู้สึกแย่มากๆเพราะตอนนี้ยังไม่มีงานทำคะรองานอยู่คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ทำงานแต่ทางบ้านก็กดดันโทรกลับถามหาแต่รายได้ที่จขกท.ได้รับไม่เคยถามถึงสุขภาพความเป็นอยู่เลยน้อยใจสุดๆเหมือนคนหาไม่ได้ใช้ึนใช้ไม่ได้หา เพราะคำว่าความกตัญญูจึงทนสู้เพื่อทุกคนจนตัวเองไม่มีความสุขเลย อยากให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ใครเจอแบบนี้แชร์ประสบการณ์การหรือแนะนำหน่อยนะคะว่าควรกำจัดความรู้สึกนี้ยังไงดี เครียดและกดดันมากๆคะ
ขจัดความรู้สึกตัวเองอย่างไรเมื่อรู้สึกน้อยใจคนในครอบครัว
เริ่มจาก จขกท.อายุ 45 ปีแล้วไม่มีเงินเก็บเลย ไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีลูก ย้อนกลับไปเมื่อตอนอายุ 27 ปีคือจุดเริ่มต้นของความน้อยใจที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ จขกท.มีพี่สาว 3 คนและทุกคนแต่งงานมีครอบครัวหมดแล้ว ขอเล่าประวัติโดยรวมนะคะ จขกท.เป้นคนต่างจังหวัดและเป็นลูกคนสุดท้อง และเป็นคนเดียวที่เรียนจบปริญญาตรี ส่วนพี่สาว 3 คนไม่ได้เรียนเพราะครอบครัวฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ จขกท.ก็ถีบตัวเองเพื่อเรียนจนจบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทางครอบครัวส่งเสียเล่าเรียนสะทีเดียวเพราะ จขกท.กูเงินกยศ.เรียนเองและตอยเรียนปริญาตรีที่ม.รามคำแหง แต่จะขอเพิ่มจากครอบครัวนิดหน่อยเวลาขาดเหลือ เพราะจะมีพี่สาวคนที่ 3 เคยไปขายแรงทำงานต่างประเทศพอช่วยเหลือบ้างแต่ไม่มาก ส่วนที่เหลือจขกท.จะกาเงินเพิ่มเองโดยทำงานพาททาร์มสารพัด เด็กร้านสะดวกซื้อ,แจกใบปลิว,เด็กร้านไอศครีม รับจ้างขายของตามงานต่างๆ
พอจบก็หางานทำสมัยนั้นเงินเดือนที่ได้เริ่มที่ 6500 บาทเอง จ่ายค่าห้องเดือนละ 2500 บาท(ยังไม่รวมค่าน้ำไฟ) มันแทบไม่เหลือเลยใช้ชีวิตแบบนั้นจนอายุ 26 ปี ยังไม่เคยได้ส่งเสียให้ทางบ้านก็ถูกตำหนิว่าตั้งแต่เรียนจบมาครอบครัวยังไม่ได้เงินจาก จขกท.เลย
ขอเล่าในส่วนของพี่สาวทั้ง 3 คนนะคะ
1) พี่สาวคนโตที่สร้างบ้านอยู่ติดกับบ้านพ่อกับแม่และจะเป็นคนคอยดูแลพ่อแม่ แต่พี่สาวคนโตจะไม่ค่อยถูกกับพ่อแม่เท่าไหร่เพราะนิสัยเขาเป้นคนเจ้าระเบียบชอบสะอาดและขี้บ่นสุดๆจนใครไม่อยากอยู่ใกล้ พี่สาวคนโตแต่งงานมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่ 1 คนตอนนี้พี่สาวคนโต อายุ 53 ปีแล้ว มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีงานประจำอะไร มีอาชีพทำนา และเย็บผ้าพอเป็นรายได้เสริม เงินเก็บไม่มี สามีไม่มีอาชีพและไม่ได้อยู่ในบ้านเดี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่ส่วนลูกชายก็ไม่เป็นโล้เป็นเป็นพายปล่อยไปตามกรรมแต่ดีที่พี่สาวคนโตไม่มีหนี้สินอะไร
2) พี่สาวคนที่ 2 อายุ 50 กว่าแต่งงาน มีลูกชายหนึ่ง ลูกสาวหนึ่ง ลูกสาวเรียนจบปริญญาตรีแล้วแต่จบแบบคนรอบข้างคอยช่วยเหลือแม้แต่ จขกท.ก็เป้นคนช่วย ลูกชายยังเรียนไม่จบปัจจุบันกำลังจะศึกษาต่อปริญญาตรี พี่สาวคนนี้เป็นคนที่คุณพ่อค่อนข้างรักจะค่อยช่วยเหลือเรื่องเงินตลอดแต่พี่คนนี้ไม่เคยดูดำดูดีอะไรพ่อแม่นานๆจะกลับมาเยี่ยมที่ บางที่เป็นปีสองปี ขนะโทรหาพ่อแม่ จขกท.ยังต้องเป็นคนยำเตือนเขาให้โทร บางปี จขกท.ต้องจ้างให้พี่สาวพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมพ่อแม่จ่ายค่าน้ำมันรถค่ากินให้ถึงยอมกลับ หลังจากแต่งงานเขาก็ย้ายไปสร้างครอบครัวอยู่ที่จังหวัดสามีเขา อาชีพอิสระทั้งสามีภรรยา ไม่มีรายได้เป็นหลัก และชอบเล่นหวย ทุกวันนี้มีหนีสินเกือบล้านมีรถกะบะ 1 คันที่ใกล้จะได้เอาไปปลูกผักสะระแหน่แล้ว
3) พี่สาวคนที่ 3 คนนี้ค่อนข้างดีสุดค่อนช่วยเหลือครอบครัวแต่เขาก็แต่งงานย้ายออกไปอยู่บ้านสามีปัจจุบันอายุ 47 ปีมีลูกสาว 2 คน คนนี้ขยันมีอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไปหลักๆกรีดยาง สามีก็ขับสิบล้อมีสิบล้อ 1 คันด้วยความช่วยเหลือจากน้องสาวของสามี และมีกะบะคันหนึ่งทีนังต้องผ่อน พร้อมส่งเสียลูกสาวเรียนทั้ง 2 คน
ตลอดเวลาตั้งแต่ทจขกท. อายุ ได้ 26 ปีได้เปลี่ยนงานและได้เงินเดือนก้าวกระโดดไปถึง 15,000 พอดีช่วงปีนั้นมีประกาศออกมาว่าปริญญาตรีควรได้สตาร์ทเงินเดือนที่ 15,000 บาท นั้นคือจุดเริ่ม ต้นที่ จขกท.เริ่มส่งให้ทางบ้าน แต่ก็ไม่ได้ส่งเยและมากมาย ประมาณ 3000-3500 บาท เพราะ จขกท.ต้องมีผ่อนจ่ายชำระคืนกยศ.ทียืมเรียนมา 130,000 บาท ตลอดเวลาก็ค่อยช่วยเหลือครอบครัวมาตลอดจนมาอายุได้ 35 ปี จขกท.อยากได้รถเลยใช้เงินเก็บดาวรถเก๋ง ฮอนด้าซิตี้ 2017 ในราคาราวๆ 630,000 ดาว 170,000 ผ่อน 4 ปี แต่ช่วงที่ออกรถก็ได้อัพเงินเดือนมาเป็น 28,000 บาท และช่วงนั้นต้องประหยัดมากๆเลยย้ายไปอยู่หอพักสตรีที่ค่าเช่าห้องถูกๆแค่ 1400 บาทต่อเดือนแต่ห้องเท่ารูหนู รายได้ที่ได้ก็ส่งช่วยเหลือพี่สาวคนโตในเรื่องค่าอาหารค่าน้ำค่าไฟที่พี่สาวคนโตช่วยดูแลพ่อแม่แต่พี่ๆคนอื่นจะไม่มีส่วนช่วยตรงจุดนี้จะมีก็แต่พี่สาวคนที่ 3 ที่ทำนาก็เอาข้าวไว้ให้พ่อแม่กินแต่เรื่องเงินจะไม่มีคนไหนช่วยจะมีแต่ จขกท.เป็นเสาร์หลัก คุณพ่ออายุ 72 ส่วนคุณแม่อายุ 76 แล้ว ท่านอยากให้จขกท.กลับไปอยู่บ้สนเพื่อดูแลท่านแต่ตัวจขกท.มองว่าจขกท.เป็นคนเดียวที่ยังโสดเงินเก็บยังไม่มี แต่มี่หนี้ผ่อนรถที่ตัวเองไม่ได้เอามาขับซื้อไว้ให้ที่บ้านใช้ขับเพื่อพ่อแม่ไม่สบายจะได้พาไปหาหมอในเมืองได้สะดวก
พอจขกท.ทำแบบนี้มาตลอดจนมาปีที่โควิดระบาดบริษัทปลดพนักงานออกแผนกจขกท.มี 3 คน จขกท.เลยเสียสละลาออกเพราะถูกกดดันยอมให้น้องอีกสองคนทำต่อ และนั้นคือตุดเปลี่ยนของชีวิตที่เหมือนกำลังจะตาย ตกงานแต่ยังต้องผ่อนรถ ส่งเสียทางบ้านไม่มีใครช่วยเหลือในวันที่จขกท.ล้มได้แต่ร้องหายให้กับโชคชะตาตัวเองและพยายามหางานใหม่ ตกงานอยู่เกือบ 2 ปีในระหว่าง 2 ปีนั้นก็มีได้งานอื่นทำบ้างแต่ยังไม่ดีพอที่จะทำให้ยึดเป็นงานหลักได้จนเงินเก็บหมดไม่เหลือ แล้วจังหวะนั้นคุณพ่อคุณแม่ล้มป่วยท่านไม่ยอมให้พี่สาวคนโตดูแเพราะทะเลาะกันเลยขอให้จขกท.กลับไปช่วยดูแลและคุณพ่อยอมปิดหนี้รถที่เหลือให้ 170,000 บาทและพ่อก็ป่าวประกาศให้คนรู้กันทั่วว่ารถคันนั้นพ่อเป็นคนซื่อให้แต่ก่อนกน้านั้นจขกท.ได้นำเงินจากบัตรกดเงินสดของ SCB ออกมาใช้จ่ายเพื่อเป็นเงินหมุนค่ากินค่าใช้จ่ายส่วนตัวจนเกิดเป็นหนี้ก้อนใหม่ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครช่วยได้แล้วจุดนี้คือจุดที่ทำให้จขกท.เกิดความน้อยเหนือต่ำใจ ถูกพี่สาวพลักภาระมาให้จะให้จขกท.กลับมาเลี้ยงพ่อแม่ทั้งๆที่ไม่มีอะไร ทั้งที่ความเป็นจริงพี่สาวทั้ง 3 คนได้รับมรดกจากพ่อแม่เป็นที่ดินคนละแปลงไปแล้วและพี่สาวก็ขายกันไปแล้วมีจขกท.ที่ยังไม่ได้อะไร แต่ก็คิดแค่ว่าอย่างน้อยคุณพ่อช่วยปิดงวดรถให้
หลังจากคุณพ่อคุณแม่หายป่วย จขกท.ก็กลับเข้ามาในกรุงเทพและได้งานบริษัทเล็กๆทำไปชั่วคราวก่อนได้รับเงินเดือนที่ 23,000 บาทก็พยายามแบ่งส่งทางบ้าน จ่ายหนี้บัตร และใช้จ่ายส่วนตัว แต่บริษัทก็ดูจะไปไม่รอดแจ้งออกมาอาจจะปิดตัวลง จขกท.ก็เริ่มเครียดอีกครั้งเพราะอายุ 43 แล้วงานไม่มั่นคง เงินเก็บไม่มี ความสามารถพิเศษอะไรก็ไม่มี แต่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ จังหวะนั้นได้คุยกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งเขาไปทำงานผิดกฎหมายคือไปเป็นผีน้อยที่เกาหลี และช่วงนั้นจขกท.ได้พยายามหางานพิเศษทำจนไปโดนหลอกให้ลงทุน จขกท.ใช้เงินจากบัตรกดเงินสดที่มี 2 ใบเกือบ 300000 บาทไปร่วมลงทุนแล้วโดนโกง สุดท้ายแจ้งตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตจากจะหมดหนี้เลยเพิ่มหนี้มาเกือบ 4 แสนคิดอยากฆ่าตัวตายมากๆพยายามไปยืนอยู่ที่ตึกสูงไปคิดจะกระโดดลงมาก็หลายครั้ง แต่วันหนึ่งได้คุยกับเพื่อนที่เขาทำงานเปึผีน้อยที่เกาหลีเลยตัดสินใจลองทำตาคำแนะนำเขาลองเสี่ยงดวงไปเกาหลีอาจจะมีทางรอดเพราะช่วงนั้นสับสนมากตัวคนเดียวไม่ว่าจะหาเงิน แก้ไขปัญหาทางครอบครัวไม่มีใครสามารถช่วยได้ขนะจะไปเกาหลีจขกท.แอบคุยกับพี่สาวก็หสังเพื่อเขาจะหยิบยื่นค่าใช้จ่สยใก้บ้าง แต่ก็ไม่มีใครช่วยซักบาท แต่สิ่งที่ได้ยินคือพวกเขาดีใจที่จขกท.จะไปถ้าผ่านเข้าเกาหลีได้พวกเขามองว่าจขกท.จะได้ส่งเงินให้ทางบ้านได้ทุกเดือนเหมือนเดิม เพราะพี่สาวต่างพูดว่าถ้าจะให้พี่สาวคนโตดูแลพ่อแม่รอจขกท.ก็ต้องส่งเงินให้ทุกเดือนถึงจะอยู่ดูแลให้ พวกเขาพูดเหมือนพ่อแม่เป็นของจขกท.คนเดียว พอได้ยินก็ได้แต่แอบร้องให้กับตัวเองคงเป็นเพราะจขกท.ทำให้พวกเขาเคยตัวคอยเป้นผู้ให้มาตลอด จขกท.เลยไม่เคยได้รับอะไรจากพวกเขา ในปี 2522 จขกท.ตัดสินใจเข้าเกาหลีแบบไม่คิดอะไรจะผิดกฏหมายก๋ต้องทำดีกว่ายอมอดตายแถมหนี้สินอีก 4 แสนตอนนั้นจนมุมมากๆเลยแอบเอารถเข้าไฟแนนซ์โดยที่ครอบครัวยังไม่รู้จนถึงทุกวันนี้ จขกท.คิดว่ามันคือโชคชะตาได้เข้าเกาหลีแบบง่ายดายอาจจะเป็นเพราะจขกท.เคยมีประวัติเดินทางไปเที่ยว สิงค์โปร์ 4 ครั้ง,มาเลเซีย 2 ครั้ง และ ฮ่องกง 1 ครั้งที่ไปแต่ละรอบนั้นจขกท.ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยเงินตัวเองนะคะ ช่วงนั้นได้แฟนเป็นคนออสเตรเลียเขาเลย Support พาไปเที่ยว(แต่สุดท้ายก็เลิกกันไปคะ) พอเข้ามาที่เกาหลีก็มาขายแรงเยี่ยงทาสทำงานสวนที่แสนจะหนักมากๆทำทุกงานที่มีงานโรงงาน งานสวนอะไรก็ทนทำแต่อุปสรรคมันยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เนื่องจากจขกท.ไม่ได้ภาษาเกาหลีเลยเวลาติดต่องานผ่านคนอื่นตลอดและคนอื่นก็เจอแต่ที่ไม่ดีเอาเปรียบกลั่นแกล้งสารพัดเจอ แต่ก็สู้เพราะอยากปลดหนี้ สู้แบบเหนื่อยใจมากกเพราะกำลังใจจากครอบครัวก็ไม่มีให้ตั้งหน้าตั้งตารอรับแต่เงิน พอรู้ว่าจขกท.เข้าเกาหลีได้พวกเขาก็นับรายได้ที่จขกท.จะได่รับต่อเดือนแล้วแต่ไม่เคยมีใครถามว่าจขกท.เจออะไรบ้างกินอยู่อย่างไร ชีวิตผีน้อยต้องหลบซ่อนๆทำตัวเปิดเผยมากไม่ได้อันตรายอาจจะดูตม.ตร.จับส่งกลับไทย เข้าปีที่ 2 แล้วจขกท.ยังปลดหนี้ไม่หมดเหมือนเพื่อนพูดเลยเพราะเข้ามาไม่ได้โชคดีเจองานดีเงินดีเจ้านายดี แต่ก็ถือว่าได้ปลดหนี้ไปบางส่วนจาก 4 แสนตอนนี้ก็เหลือราวๆ 150,000 บาท ใครจะด่าจะว่าจขกท.ว่าเป็นตัวทำให้คนไทยเสียหายที่แอบมาทำงานก็คงต้องปล่อยให้ด่าและต้องบอกว่าจขกท.ขอโทษเพราะจนมุมกับชีวิตจริงๆ
ชีวิตในต่างแดนแบบผีน้อยมันไม่ใช่เรื่องง่ายและก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้อดทนสู้มา 1 ปีลดหนี้ลงได้บางส่วนแต่ยังไม่มีเงินเก็บส่งทางบ้าน เดือนละ 5-6 พันบาทพอแต่ทางบ้านกลับมองว่าส่งให้น้อยและคิดว่าจขกท.มาเป็นปีคงมีเงินเก็บ 5-6 แสนแล้ว ซึ่งความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นทำงานเกาหลีไม่ได้เจอที่ดีดีก็ไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น ทำงานส่วนได้เป็นวันถ้าฝนตกก็ไม่ได้ทำงาน ฤดูหนาวก็ไม่มีงานสวนให้ทำ ถึงมีก็ทำไม่ได้เพราะอากาศเยือกเย็น ถ้างานผโรงงานก็ต้องสื่อสารภาษาเกาหลีได้บ้างถึงจะหางานได้ สรุปแล้ว 1 ปีจะได้ทำงานแค่ 7-8 เดือน อีก 3-4 เดือนจะไม่มีงานนั้นคือช่วงฤดูหนาวจขกท.ต้องมีเงินสำรองไว้กินไว้ใช้และต้องสำรองไว้ซื้อตั๋วเผื่อถูกจับส่งกลับไทย และเดือนไหนไม่มีเงินไม่ได้ส่งทางบ้านก็ถูกบ่นว่าหาเงินยังไงไม่ได้เงินถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าคนอื่นมาเขาร่ำรวยได้เดือนละเป็นแสน กำลังใจไม่เคยให้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีทันสมัยเฟสไลน์ใช้ติดต่อสื่อสารได้รอบโลก แต่ไม่เคยมีเลย
ทุกครั้งที่จขกท.โอนเงินให้ทางบ้านแล้วแจ้งสลิปทางไลน์ให้พี่สาวเขาอ่านและรับรู้ตลอดว่าส่งเงินใก้แต่ไม่เคยมีตอบกลับไม่เคยมีคำว่าขอบคุณ ไม่เคยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ มีแต่รอรับเงินและรอจขกท.ติดต่อกลับ กำลังใจไม่เคยได้ ความช่วยเหลือไม่เคยมี พี่บางคนทักมายืมเงินด้วยซ้ำทั้งที่ไม่เคยใยดีอะไร จะผิดไหมถ้า จขกท.ตัดพี่ๆออกไปพวกเขาพูดกับจขกท.ว่าตัวใครตัวมัน ครอบครัวของใครของมัน ซึ่งมันคือคำพูดที่ได้ยินจากปากพี่สาวทั้ง 3 คนแล้วทำให้จขกท.เสียใจมากและน้อยใจสุดๆเพราะตลอดเวลาไม่เคยคิดว่าพี่สาวแต่งงานแยกออกไปเป้นึนอื่นคิดเสมอว่สยังคือครอบครัวถึงแม้จะมีพี่เขยและหลานมาเพิ่มกับคิดตลอดว่าครอบครัวเรามีสมาชิกเพิ่ม เหมือนจขกท.รักพวกเขาฝ่ายเดียว
** ป.ล ต้องขอโทษที่เขียนยาวมากเพราะไม่รู้จะระบายทางไหนได้รู้สึกแย่มากๆเพราะตอนนี้ยังไม่มีงานทำคะรองานอยู่คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ทำงานแต่ทางบ้านก็กดดันโทรกลับถามหาแต่รายได้ที่จขกท.ได้รับไม่เคยถามถึงสุขภาพความเป็นอยู่เลยน้อยใจสุดๆเหมือนคนหาไม่ได้ใช้ึนใช้ไม่ได้หา เพราะคำว่าความกตัญญูจึงทนสู้เพื่อทุกคนจนตัวเองไม่มีความสุขเลย อยากให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ใครเจอแบบนี้แชร์ประสบการณ์การหรือแนะนำหน่อยนะคะว่าควรกำจัดความรู้สึกนี้ยังไงดี เครียดและกดดันมากๆคะ