JJNY : 5in1 ยืนหนึ่งเช้าจรดเย็น│‘ปดิพัทธ์’ขอเป็นส่วนผสม│'พิเชษฐ์'พร้อมฟื้น5สภาจว.│KKP จับตา 3ปัจจัย│รัสเซียระดมทหารเพิ่ม

ยืนหนึ่งเช้าจรดเย็น #ประชุมสภา ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ไทย #ประธานสภา ท็อป 5
https://www.matichon.co.th/politics/news_4062786

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสในโลกออนไลน์ให้ความสนใจกับข่าวสารการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 นัดแรก เพื่อเลือกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้แฮชแท็ก ประชุมสภา พุ่งขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ไทย ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูลเมื่อ 17.00 น.) โดยมีผู้ทวีตแล้ว กว่า 5.5 แสนครั้ง
 
ในขณะที่แฮชแท็ก ประธานสภา อยู่ในอันดับที่ 5 เทรนด์ทวิตเตอร์ที่ได้รับความนิยมในไทย



‘ปดิพัทธ์’ ไขก๊อก กก.บห.ก้าวไกล รับงานท้าทาย ขอเป็นส่วนผสม ทำสภาไทยก้าวหน้า 
https://www.matichon.co.th/politics/news_4063122
 
ปดิพัทธ์ ไขก๊อก กก.บห.ก้าวไกล รับรอง ปธ. งานท้าทาย ขอเป็นส่วนผสม ทำสภาก้าวหน้า 
 
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) และ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรค ก.ก. และว่าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 แถลงภายหลังการโหวตเลือกประธานสภา และรองประธานสภาเสร็จสิ้น โดยนายปดิพัทธ์กล่าวว่า ต้องขอบคุณความสนใจ หากได้ติดตามการเลือกประธานสภาที่เป็นความหนักอกหนักใจของประชาชน และสื่อมวลชนที่ต้องการความชัดเจน ปรากฏว่า วันนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี คะแนนเสียงที่ตนได้รับ ถึงแม้จะมีการเสนอชื่อแข่ง ก็เป็นบรรยากาศการแข่งขันแสดงวิสัยทัศน์ และคะแนนที่ออกมา ตนได้รับความไว้วางใจ ซึ่งทางคณะทำงานก็มีข้อตกลง ว่าประธานสภา และทีมจะดำเนินการในวาระอย่างไร เพื่อให้สภาไทยของเราก้าวหน้า โปร่งใส และเป็นของประชาชนมากขึ้น
  
โดยตนและนายวันมูหะมัดนอร์ เห็นตรงกัน ว่าจะผสมผสานระหว่างประสบการณ์ และความรู้ความตั้งใจ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าด้วยกัน จะเป็นส่วนผสมที่ดีมากทำให้สภาก้าวหน้าได้ ในส่วนของสื่อมวลชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในการทำงานการเมือง ตนน้อมรับทุกข้อเสนอ เพื่อให้การทำงานของสื่อมวลชนดีขึ้น เราคิดว่าพื้นที่สภายังมีพื้นที่ให้พัฒนาอีกมาก เพื่อทำให้สื่อมวลชนสามารถทำงานได้ดีขึ้น และประชาชนสามารถเข้ามาใช้งานได้ปลอดภัย รู้สึกถึงอำนาจที่ประชาชนมีในสภาแห่งนี้
 
นายปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า สำหรับตนเป็นบทบาทใหม่ที่ท้าทายมาก เมื่อได้รับความไว้วางใจจากสภาแล้ว ตนได้ลาออกจากกรรมการบริหารพรรค ของพรรค ก.ก. เรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มต้นทำงานอย่างเป็นการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
 
เมื่อถามว่า ในทีมประธานสภา วาระแรกที่ประชาชนจะเห็นอย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร นายปดิพัทธ์กล่าวว่า เรายังไม่สามารถพูดตรงนี้ได้ เพราะจะต้องได้รับการจัดสรรหน้าที่ให้ชัดเจนจากประธานสภาก่อน โดยจะมีการหารือหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ จากนั้นจะรีบฟอร์มทีมในการที่จะทำงานโดยเร็ว แต่วาระที่สามารถทำได้โดยด่วน คือ เรื่องของการพิจารณากฎหมายต่างๆ สัดส่วนการประชุมจะเป็นอย่างไร ก็จะได้ความชัดเจนมากขึ้น
 
นายปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า สนใจเรื่องของเป้าหมายในการตั้งรัฐบาล และการฟอร์มกฎหมายสภานิติบัญญัติที่ดีให้ได้ เราคิดว่าผลที่ออกมาไม่ได้แปลว่าใครยอมใคร ต้องผ่านการเจรจาอย่างดีที่สุด ทุกการเจรจาอยู่ในการจับจ้อง และวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนเสมอ เป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อเราไม่ได้คิดว่าใครจะดำรงตำแหน่งอะไร แต่ยึดเป้าหมายและนโยบายเป็นตัวตั้ง เช่นเดียวกันกับการฟอร์มรัฐบาล การฟอร์มนิติบัญญัติก็จะมีเอกภาพเช่นเดียวกัน

เมื่อถามว่า ในฐานะรองประธานสภา จุดยืนในการโหวตพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สมรสเท่าเทียมนั้นเป็นอย่างไร นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ในฐานะ ส.ส. จากการหารือกับทางพรรคก่อนจะงดออกเสียงในรอบที่แล้ว คือการวางหลักการของศาสนิกชนไว้เพียงวาระที่ 1 เท่านั้น ตนในฐานะ ส.ส.ก็จะโหวตเห็นชอบในวาระที่ 2 และ 3 แน่นอน ส่วนในฐานะรองประธานสภา เมื่อมีการบรรจุญัตติ วินิจฉัยของประธาน อคติของประธานจะต้องไม่เป็นอุปสรรคในการบรรจุญัตติทุกญัตติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเปิดกว้าง คือหากผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง เรื่องนี้ก็สามารถบรรจุได้ เพราะฉะนั้นวิจารณญาณของประธานจะต้องน้อยลงกว่านี้
 
เมื่อถามว่าข้อตกลงของพรรค พท.และ ก.ก. ในข้อที่ 4 เรื่องนิรโทษกรรม และเรื่องปฏิรูปกองทัพครอบคลุมไปถึงเรื่องใดบ้าง นายปดิพัทธ์กล่าวว่า เรื่องของนิรโทษกรรมเป็นเรื่องของ พ.ร.บ. ในเรื่องของรายละเอียด พรรค ก.ก.มีร่าง พ.ร.บ.เตรียมไว้ แต่ในขณะเดียวกันเป็นเรื่องของนิติบัญญัติ ที่จะต้องมีอภิปรายกันในสภา มีการตั้งคณะกรรมาธิการ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรค ก.ก.เสนอ ก็มีร่าง พ.ร.บ.ชัดเจนอยู่แล้ว
 


'พิเชษฐ์' พร้อมฟื้น 5 สภาจังหวัด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงฝ่ายนิติบัญญัติ
https://voicetv.co.th/read/yPj9bMZfL

'พิเชษฐ์' เล็งเพิ่มเวลาหารือเป็น 3 นาที ให้ ส.ส.นำเสนอแก้ไขปัญหาประชาชนได้มากขึ้น บอกตัวเองทำสภาล่มบ่อย จะหาทางแก้ปัญหาไม่ให้ซ้ำรอย
 
วันที่ 4 ก.ค. ที่อาคารรัฐสภา พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 แถลงข่าวหลังที่ประชุมสภาฯ เห็นชอบให้รับตำแหน่งรองประธานฯ โดยกล่าวว่า ในนามของพรรคเพื่อไทย ขอบคุณสื่อมวลชนที่ติดตามการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภา ตนเพิ่งมารู้ตัวเมื่อคืนนี้ ว่าถูกเสนอชื่อ พรรคเพื่อไทยคงเห็นว่าตนอยู่ในสภามานาน และเข้าประชุมโดยตลอด ดังนั้นจึงเห็นปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับสภามาก
 
พิเชษฐ์ กล่าวว่า ฝ่ายนิติบัญญัติของเราถือว่าเล็กมาก เมื่อเทียบกับฝ่ายตุลาการ หรือฝ่ายบริหาร ตนคิดว่าครั้งนี้ สภาจะต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมา ให้มีศักดิ์ศรี ทั้งสมาชิก องค์กร เพราะการทำงานที่ผ่านมา มีขีดจำกัดในเรื่องของงบประมาณที่น้อยมากและถูกลดลงทุกปี สำนักงานสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ต่างจังหวัดต่างๆ ปัจจุบันมีอยู่ 5 แห่ง เราจะพยายามรื้อฟื้นและขยายให้ครอบคลุมจังหวัดต่างๆ ได้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนจังหวัดได้เข้าถึงฝ่ายนิติบัญญัติ
ทั้งนี้ ยังต้องใช้บุคลากรและงบประมาณอีกจำนวนหนึ่งในการดำเนินการ จึงมองว่าโอกาสนี้ฝ่ายประชาธิปไตยที่กำลังเริ่มฟื้นคืนชีพ ตนต้องการทำให้สภามีศักดิ์ศรีเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนได้มากขึ้น
 
"ปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องสภาล่ม กฎหมาย รวมถึงการหารือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดช่องน้อยมาก ทำให้ ส.ส. ไม่สามารถออกไปสัมผัสประชาชนได้ มีเพียงการหารือ 2 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่มีค่ามากสำหรับ ส.ส.และประชาชน เบื้องต้นที่เพิ่มจาก 2 นาทีเป็น 3 นาทีก็ยังดี ตนเป็น ส.ส.เขต จึงรู้ดีว่าปัญหาของแต่ละพื้นที่ มีความยากที่จะนำเสนอต่อสภา จึงจะเพิ่มเวลาของการหารือดังกล่าว"
 
ตนยังคิดจะหารือกับประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ให้กระทรวงต่างๆ สามารถมาพบปะกับ ส.ส อย่างน้อย 1 ครั้งใน 6 เดือน เพื่อมาทำความเข้าใจเรื่องการพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ
 
"ปัญหาสภาล่ม ขึ้นอยู่ว่ามีการบริหารจัดการของรัฐบาลหรือไม่ หากพรรคฝ่ายรัฐบาลสามารถบริหารจัดการสมาชิกและเวลาต่างๆ ได้ ผมก็เป็นคนที่ทำให้สภาล่มเยอะ ก็เข้าใจดีแล้ว พยายามจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นอีก"
  
เมื่อถามว่า พิเชษฐ์ เมื่อครั้งเป็น ส.ส. ได้ประท้วงบ่อยครั้ง จะมีใครมาทำหน้าที่นั้นแทนหรือไม่ พิเชษฐ์ ตอบติดตลกว่า ตอนนี้ก็มี ส.ส.หลายคนมาเสนอตัวทำหน้าที่นั้นแล้ว ชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาฯ ยังแซวตนว่า "ทำเรื่องไว้เยอะนะ ระวังเขาจะเอาคืน"
 
เมื่อถามถึงการผลักดันกฎหมายต่างๆ ของพรรคก้าวไกล เช่น การเสนอแก้ไขมาตรา 112 สมรสเท่าเทียม หรือสุราก้าวหน้า พิเชษฐ์ ระบุว่า ต้องขึ้นอยู่กับวิปรัฐบาล ว่าจะเห็นสมควรหรือไม่ กฎหมายที่เข้ามาพิจารณาจะผ่านการกลั่นกรองมาระดับหนึ่งแล้ว พร้อมกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ที่มาจากประชาชนเสนอ ตนยินดี เชื่อว่า ประธานสภาฯ และรองประธานฯ ทุกคนเห็นความสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับประชาชน เป็นอันดับแรก



KKP ชี้ศก.ไทยชะลอ แม้ท่องเที่ยวฟื้น จับตา 3ปัจจัยเสี่ยงปลายปี หวั่น ‘การเมือง’ ปะทุหนักเกิดประท้วง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4062652

KKP ชี้ศก.ไทยชะลอ แม้ท่องเที่ยวฟื้น จับตา 3ปัจจัยเสี่ยงปลายปี หวั่น ‘การเมือง’ ปะทุหนักเกิดประท้วง
 
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) เปิดเผยว่า ปี 2566 นับเป็นปีที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 
1. การประกาศเปิดเมืองที่เร็วกว่าคาดของจีนในช่วงต้นปี ที่ทำให้คนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม 
2. การบริโภคในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตามรายได้จากภาคการท่องเที่ยว 
และ 3. ภาคการส่งออกที่คาดว่าจะไม่ชะลอตัวลงมากเพราะการเปิดเมืองของจีนจะช่วยให้อุปสงค์ของเศรษฐกิจโลกปรับดี
 
แต่ช่วงที่ผ่านมาสัญญาณเศรษฐกิจหลายอย่างเริ่มชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อ่อนแอลงกว่าที่ประเมินไว้ แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจอาจจะค่อย ๆ ฟื้นตัวจากตัวเลขนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง และไม่เท่ากัน และคาดว่าภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การท่องเที่ยวอาจจะเผชิญความท้าทายและมีทิศทางที่ชะลอตัวลง ซึ่งเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักที่เปลี่ยนไปจากช่วงต้นปี คือ 
 
1. รายได้จากภาคการท่องเที่ยวไม่กระจายไปภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจนถึงเดือนพฤษภาคมกลับมาได้ประมาณ 11 ล้านคน แต่สัญญาณในภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ กลับยังไม่ได้ฟื้นตัวได้ดีนัก ปัจจุบันการบริโภคในกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ภาคบริการยังฟื้นตัวกลับไปใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดเท่านั้นต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่การบริโภคฟื้นตัวได้ดีมาก สอดคล้องกับที่ประเมินว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยมีความเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจและพื้นที่เศรษฐกิจอื่น ๆ ต่ำ และครอบคลุมรายได้ของแรงงานเพียงประมาณ 11% ของประเทศเท่านั้น
 
2. อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น การชะลอตัวลงของการปล่อยสินเชื่อและการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในภาคธนาคาร เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่อาจทำให้วัฏจักรสินเชื่อกำลังเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง คือ 

1. หนี้ครัวเรือนของไทยที่ปรับสูงขึ้นเกินกว่า 80% ของจีดีพีเป็นระดับที่เริ่มจะส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจ 
2. การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยในปัจจุบันปรับสูงขึ้นมากกว่ารายได้ 
และ 3. ปัญหาหนี้เสียในประเทศที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น

ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และการเติบโตของสินเชื่อเริ่มชะลอลงโดยสินเชื่อในภาพรวมโตได้เพียง 0.6% ในไตรมาส 1 ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ และจะทำให้แนวโน้มการบริโภคสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถยนต์ ชะลอตัวลงตาม

3. การเปิดเมืองของจีนไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีตามที่ตลาดคาด โดยตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดทั้งการบริโภคและการลงทุนของจีนมีสัญญาณชะลอตัว ประเมินว่าการชะลอตัวนี้มีส่วนสำคัญมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยใน 2 มิติ คือ ประการแรก นักท่องเที่ยวจีนมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาได้ไม่ถึง 5 ล้านคนตามที่คาดไว้ โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ที่ออกมาเที่ยวยังเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูงที่เลือกเดินทางไปประเทศในแถบยุโรปมากกว่าอาเซียน ประการที่สอง การส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปีอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นช้า โดยยังคงประมาณการว่าการส่งออกทั้งปีของไทยจะติดลบที่ -3.1%
เงินเฟ้อลด สะท้อนเศรษฐกิจชะลอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่