
ก่อนจะดูเรื่องนี้คิดกับตัวเองว่าจะต้องใช้เวลาทำความรู้จักเรื่องราวกันนานหรือเปล่า หลังจากดูจบสำหรับผมมันค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร แต่จะค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ มากกว่า เปิดเรื่องมาถึงก็เกริ่นนำฉากย้อนยุคสมัยล่าอาณานิคม พาเราไปดูพิธีกรรมของบรรดาแม่มดกลางป่าเขาแล้วภาพตัดฉากมาที่ตัวลูกสาวนั่งดู Music Video ของวงนตรีเพลง Rock ในห้องนอนของเธอด้วยเสียงร้องที่สดใสและหนักแน่น เพียงเท่านี้ก็พอที่ทำให้เราสามารถประติดประต่อเรื่องได้อย่างรวดเร็วว่าโทนเรื่องมันจะมาประมาณไหน ซึ่งมีความอินดี้กึ่ง ๆ จะออกไปทางเกรด B หน่อย ๆ ขณะเดียวกันแอบผสมกลิ่นไอ Feminist ลอยอบอวลอยู่ทั้งเรื่องที่ไม่ได้รู้สึกว่ายัดเยียดลงในบทเล็ก ๆ จนเกินไป แม้ว่าระหว่างทางในการดำเนินเรื่องจะยังดูขรุขระ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรเท่าไหร่ ขนาดว่าใช้เสียงดนตรีประกอบแทรกคั่น Scene เป็นระยะแล้ว ทั้งที่ตอนเปิดเรื่องปูทางทิ้งปมได้น่าสนใจก็ไม่สามารถกลบความเงียบของบรรยากาศร่มรื่นชวนวังเวงแวดล้อมทั้งมวลขณะนั้นไปได้เลย ดูไปบอกกับตัวเองตลอดว่าอย่าหลับ ๆ สุดท้ายก็ไม่พ้นตามเคยจนวูบหลับจนได้ แต่ข้อดีที่ซ่อนอยู่ก็มีคือได้ความเป็น Movie เป็นรากฐานที่แข็งแรงเวลาจับ Details แต่ละอย่างรู้สึกว่าจับต้องมูลเหตุต่าง ๆ ชวนน่าติดตามไปจนจบได้ไม่ยากมาก เช่นกัน

ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 26 นาทีให้ปริมาณกำลังดี แต่ถ้าต่อให้เพิ่มเวลาอีกสักหน่อยเพื่อเล่า Details ความเป็นมาให้ละเอียดขึ้นไปอีกก็จะดีไม่น้อย ภาพรวมผมว่าเหมือนเป็นหนังเชิงวิจัยทดลองสำหรับเป็นกรณีศึกษาให้แก่นักศึกษาวิชาภาพยนตร์หรือคนรักภาพยนตร์สนใจเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการทำหนังมากกว่าการมอบความบันเทิงของหนังที่ควรจะเป็นในแนวนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การใส่ลูกเล่นต่าง ๆ นานา ๆ ทั้ง CG ที่ดูสมจริงเกินเหตุจนตกใจไม่คิดว่านี่หรือคือหนังทุนต่ำแต่ใช้เทคนิค Effect เทียบเท่าได้กับหนังฟอร์มยักษ์ของ Hollywood อย่างภาคภูมิใจ , สีที่ใช้ในแต่ละ Scene มีความวินเทจ Old School ของยุค 90s – 2000s เข้ากันกับ Theme ภูตผีปีศาจ อย่างการ Design ตัวเผ่าพันธุ์แม่มดในสไตล์ Gothic ก็ดี หรือ โลกสมมติของเหล่าแม่มดก็งาม , การแสดงที่เป็นธรรมชาติของตัวละครทั้งหมด (คนในครอบครัวร่วมเล่นกันเอง) มีส่วนช่วยเพิ่มสีสันให้จัดจ้านมากขึ้น หรือกระทั่ง ดนตรีประกอบในเรื่องที่ใช้เพลงแนว Heavy Metal ก็เข้ากันกับ Theme Rock ๆ ดิบ ๆ ได้ร่วมสมัยของเรื่องอีกเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาระยิบระย่อยก็มาจากความชื่นชอบส่วนตัวของครอบครัวนี้นั่นแหล่ะ แอบคิดตัวเองอีกแล้วว่าเหมือนนั่งดู Music Video ยุค 90s มากกว่าดูหนังยังไงงั้น

แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูล Addams Family แต่อย่างใดก็ตาม แต่จะว่านี่คือผลงานการผลิตรังสรรค์หนังของอุตสาหกรรมครอบครัว Adams ของจริงก็ว่าได้เลย นับตั้งแต่ John Adams ผู้พ่อเป็นผู้กำกับ , Toby Poser ผู้เป็นแม่เป็นคนเขียนบทและร่วมแสดงด้วย และ Zelda Adams ผู้เป็นลูกสาวเป็นผู้แสดงนำร่วมกันเป็นแม่ลูกทั้งในหนังและชีวิตจริง เรียกว่า คิดเอง ทำเอง ออกทุนเองทั้งหมด นักเลงพอมั้ยล่ะ แถมถ่ายทำในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิดด้วยมาตรการการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดช่วงนั้น ชนิดที่ว่าถ่ายทำไป คิดบทไป ตัดต่อไปแบบแอบ ๆ หลบ ๆ ซุ่มกองกำลังโจรเลยทีเดียว สถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่จะอยู่ในบ้านหลังเดียวล้อมรอบด้วยป่าทั้งเรื่อง มีออกไปในเมืองบ้างแวะไปบ้านเพื่อนบ้างแต่เป็นส่วนน้อย ดังนั้นแทบจะทั้งเรื่องเราจะเห็นการวนเวียนอยู่กับชีวิตประจำวันของ 2 แม่ลูก ทั้ง เล่นดนตรี , กินข้าว , ดูโทรทัศน์ และ ออกไปเดินเล่นในป่าสลับหมุนเวียนไปในสถานที่จำกัดเหล่านี้ ด้วยความที่มีตัวละครไม่กี่คน รวมถึง Amber สาวข้างบ้านที่รับบทโดย Lulu Adams ก็เป็นลูกสาวตัวเองอีกน้อ จึงทำให้เราสามารถโฟกัสไปที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวแม่และลูกสาวรวมถึงปมในอดีตได้อย่างเต็มที่ ฉากที่ผมชอบมากคือฉากที่แม่กับลูกสาวประดับมือไปที่ประตูที่มีรูปอะไรซักอย่างจากนั้นลูกกุญแจโผล่ออกมาจากบนมือ เป็นอะไรที่ Surprise มาก ตะลึงใน Idea ความคิดสร้างสรรค์ของครอบครัวนี้มาก ๆ สมแล้วที่มีความเป็นศิลปินสูงจนเข็มขัดสั้นจริง ๆ เคารพเลย

สรุป ไม่ได้ประทับใจมาก และ ไม่ได้แย่เกินไป รู้สึกเหนือความคาดหมายสำหรับจุดยืนของแนวนี้มากกว่าว่าอย่างน้อยมันก็มีทางเลือกที่ฉีกกฎจากเดิมไปอีกแบบนึงได้น่าสนใจอยู่ บทสรุปสร้างความอึ้ง ทึ่ง และ เหวอจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะมาแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าจัดการปมได้รวบรัดไปหน่อยเลยพอให้อภัยได้ ที่เห็นชัดเลยคือ ผู้กำกับแกเน้นโชว์เทคนิคพิสดารซะเต็มคาราเบลจนมันไปบด

ศทางการลำดับเรื่องที่เดินอยู่ในเส้นดี ๆ ให้สะเปะสะปะกลิ้งไปตามข้างทางไปด้วย แถมตัดต่อข้ามกระโดดจากฉากหนึ่งไปอีกฉากหนึ่งอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้อินใน Moment ให้เสร็จสรรพ ส่วน Part ดราม่า กับ Part สยองยังทำได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่รู้ว่าจะโฟกัสความบันเทิงตรงไหนดี ยอมรับว่าขายไอเดียดีแล้วแต่มันสามารถไปต่อได้กว่านี้หน่อย บางอย่างก็ยังไม่เคลียร์ เช่น ประวัติความเป็นมาของต้นตระกูลแม่มดเริ่มต้นมาจากไหน , สาเหตุการเสียชีวิตของพ่อคืออะไร ก็ไม่บอกกล่าวหรือเจาะลึกลงไปกว่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจไม่แพ้กัน รวมถึงเหตุผลการกระทำตัวแม่กับลูกสาวที่ไม่ค่อยรู้สึกเห็นใจเท่าไหร่ ไม่แปลกใจเลยที่ขณะดูผมนึกถึงอารมณ์คล้ายกับ Carrie (1978) ผสม The Blair Witch Project (1999) จริง ๆ ถึงแม้จะนำเสนอความหลอนในรูปแบบใหม่แต่ความน่ากลัวนี้ยังห่างชั้นกว่า Hereditary (2018) , Suspiria (2018) หรือ Midsommar (2019) อีกมาก

ถ้าตัดภาพความสยองเหล่านี้ออกไปมันก็คือหนังดราม่า Coming of Age ที่แทรกความเป็น Cult Horror ภูติผีปีศาจปรัมปราผสมจิตวิทยาว่าด้วยการศึกษาสภาวะความเป็นอยู่ในครอบครัวผ่านการอบรมเลี้ยงดูในสังคมปัจจุบัน การส่งต่อความเชื่อจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ก็คือตัวแม่กับลูกสาวชวนให้คิดตามเป็นระยะ ขณะเดียวกันเราจะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกความสมบูรณ์แบบก็คือช่องว่างระหว่างวัยของคน 2 รุ่นที่กำลังต่อสู้ยื้อยุดฉุดอำนาจกันว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ครอบครองฝ่ายไหนเป็นผู้ถูกควบคุม เช่น ฉากแม่ยืนบนขั้นบันไดส่วนลูกยืนอยู่ใต้บันได , การตั้งคำถามของลูกสาวในเรื่องอายุขัยของแม่ และ ฉากที่ทั้งคู่นอนอ้วกเลือดใส่หน้ากันกลางหิมะ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่ากลัวไปพร้อมกันแต่อย่างนี้เรื่องนี้ช่วยทำให้เกิดแรงบันดาลใจของคนที่รักงานศิลปะงานภาพยนตร์ขึ้นมาว่าไม่จำเป็นต้องเรียนจบด้านภาพยนตร์ หรือ มีประสบการณ์มาก่อน แค่มีไอเดียในหัวก็สามารถสร้างสรรค์เรื่องราวขึ้นมาเป็นของตนเองได้เช่นกัน ถ้าได้สะสมชั่วโมงบินมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เผลอ ๆ ได้เป็นผู้กำกับหนังสยองขวัญรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองต่อไปในวงการได้ไม่ยาก

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.44 Hellbender : แม่มดคลั่งร็อค สาวกคลั่งเจ้า
ก่อนจะดูเรื่องนี้คิดกับตัวเองว่าจะต้องใช้เวลาทำความรู้จักเรื่องราวกันนานหรือเปล่า หลังจากดูจบสำหรับผมมันค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร แต่จะค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ มากกว่า เปิดเรื่องมาถึงก็เกริ่นนำฉากย้อนยุคสมัยล่าอาณานิคม พาเราไปดูพิธีกรรมของบรรดาแม่มดกลางป่าเขาแล้วภาพตัดฉากมาที่ตัวลูกสาวนั่งดู Music Video ของวงนตรีเพลง Rock ในห้องนอนของเธอด้วยเสียงร้องที่สดใสและหนักแน่น เพียงเท่านี้ก็พอที่ทำให้เราสามารถประติดประต่อเรื่องได้อย่างรวดเร็วว่าโทนเรื่องมันจะมาประมาณไหน ซึ่งมีความอินดี้กึ่ง ๆ จะออกไปทางเกรด B หน่อย ๆ ขณะเดียวกันแอบผสมกลิ่นไอ Feminist ลอยอบอวลอยู่ทั้งเรื่องที่ไม่ได้รู้สึกว่ายัดเยียดลงในบทเล็ก ๆ จนเกินไป แม้ว่าระหว่างทางในการดำเนินเรื่องจะยังดูขรุขระ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรเท่าไหร่ ขนาดว่าใช้เสียงดนตรีประกอบแทรกคั่น Scene เป็นระยะแล้ว ทั้งที่ตอนเปิดเรื่องปูทางทิ้งปมได้น่าสนใจก็ไม่สามารถกลบความเงียบของบรรยากาศร่มรื่นชวนวังเวงแวดล้อมทั้งมวลขณะนั้นไปได้เลย ดูไปบอกกับตัวเองตลอดว่าอย่าหลับ ๆ สุดท้ายก็ไม่พ้นตามเคยจนวูบหลับจนได้ แต่ข้อดีที่ซ่อนอยู่ก็มีคือได้ความเป็น Movie เป็นรากฐานที่แข็งแรงเวลาจับ Details แต่ละอย่างรู้สึกว่าจับต้องมูลเหตุต่าง ๆ ชวนน่าติดตามไปจนจบได้ไม่ยากมาก เช่นกัน
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 26 นาทีให้ปริมาณกำลังดี แต่ถ้าต่อให้เพิ่มเวลาอีกสักหน่อยเพื่อเล่า Details ความเป็นมาให้ละเอียดขึ้นไปอีกก็จะดีไม่น้อย ภาพรวมผมว่าเหมือนเป็นหนังเชิงวิจัยทดลองสำหรับเป็นกรณีศึกษาให้แก่นักศึกษาวิชาภาพยนตร์หรือคนรักภาพยนตร์สนใจเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการทำหนังมากกว่าการมอบความบันเทิงของหนังที่ควรจะเป็นในแนวนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การใส่ลูกเล่นต่าง ๆ นานา ๆ ทั้ง CG ที่ดูสมจริงเกินเหตุจนตกใจไม่คิดว่านี่หรือคือหนังทุนต่ำแต่ใช้เทคนิค Effect เทียบเท่าได้กับหนังฟอร์มยักษ์ของ Hollywood อย่างภาคภูมิใจ , สีที่ใช้ในแต่ละ Scene มีความวินเทจ Old School ของยุค 90s – 2000s เข้ากันกับ Theme ภูตผีปีศาจ อย่างการ Design ตัวเผ่าพันธุ์แม่มดในสไตล์ Gothic ก็ดี หรือ โลกสมมติของเหล่าแม่มดก็งาม , การแสดงที่เป็นธรรมชาติของตัวละครทั้งหมด (คนในครอบครัวร่วมเล่นกันเอง) มีส่วนช่วยเพิ่มสีสันให้จัดจ้านมากขึ้น หรือกระทั่ง ดนตรีประกอบในเรื่องที่ใช้เพลงแนว Heavy Metal ก็เข้ากันกับ Theme Rock ๆ ดิบ ๆ ได้ร่วมสมัยของเรื่องอีกเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาระยิบระย่อยก็มาจากความชื่นชอบส่วนตัวของครอบครัวนี้นั่นแหล่ะ แอบคิดตัวเองอีกแล้วว่าเหมือนนั่งดู Music Video ยุค 90s มากกว่าดูหนังยังไงงั้น
แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูล Addams Family แต่อย่างใดก็ตาม แต่จะว่านี่คือผลงานการผลิตรังสรรค์หนังของอุตสาหกรรมครอบครัว Adams ของจริงก็ว่าได้เลย นับตั้งแต่ John Adams ผู้พ่อเป็นผู้กำกับ , Toby Poser ผู้เป็นแม่เป็นคนเขียนบทและร่วมแสดงด้วย และ Zelda Adams ผู้เป็นลูกสาวเป็นผู้แสดงนำร่วมกันเป็นแม่ลูกทั้งในหนังและชีวิตจริง เรียกว่า คิดเอง ทำเอง ออกทุนเองทั้งหมด นักเลงพอมั้ยล่ะ แถมถ่ายทำในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิดด้วยมาตรการการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดช่วงนั้น ชนิดที่ว่าถ่ายทำไป คิดบทไป ตัดต่อไปแบบแอบ ๆ หลบ ๆ ซุ่มกองกำลังโจรเลยทีเดียว สถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่จะอยู่ในบ้านหลังเดียวล้อมรอบด้วยป่าทั้งเรื่อง มีออกไปในเมืองบ้างแวะไปบ้านเพื่อนบ้างแต่เป็นส่วนน้อย ดังนั้นแทบจะทั้งเรื่องเราจะเห็นการวนเวียนอยู่กับชีวิตประจำวันของ 2 แม่ลูก ทั้ง เล่นดนตรี , กินข้าว , ดูโทรทัศน์ และ ออกไปเดินเล่นในป่าสลับหมุนเวียนไปในสถานที่จำกัดเหล่านี้ ด้วยความที่มีตัวละครไม่กี่คน รวมถึง Amber สาวข้างบ้านที่รับบทโดย Lulu Adams ก็เป็นลูกสาวตัวเองอีกน้อ จึงทำให้เราสามารถโฟกัสไปที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวแม่และลูกสาวรวมถึงปมในอดีตได้อย่างเต็มที่ ฉากที่ผมชอบมากคือฉากที่แม่กับลูกสาวประดับมือไปที่ประตูที่มีรูปอะไรซักอย่างจากนั้นลูกกุญแจโผล่ออกมาจากบนมือ เป็นอะไรที่ Surprise มาก ตะลึงใน Idea ความคิดสร้างสรรค์ของครอบครัวนี้มาก ๆ สมแล้วที่มีความเป็นศิลปินสูงจนเข็มขัดสั้นจริง ๆ เคารพเลย
สรุป ไม่ได้ประทับใจมาก และ ไม่ได้แย่เกินไป รู้สึกเหนือความคาดหมายสำหรับจุดยืนของแนวนี้มากกว่าว่าอย่างน้อยมันก็มีทางเลือกที่ฉีกกฎจากเดิมไปอีกแบบนึงได้น่าสนใจอยู่ บทสรุปสร้างความอึ้ง ทึ่ง และ เหวอจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะมาแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าจัดการปมได้รวบรัดไปหน่อยเลยพอให้อภัยได้ ที่เห็นชัดเลยคือ ผู้กำกับแกเน้นโชว์เทคนิคพิสดารซะเต็มคาราเบลจนมันไปบด
ถ้าตัดภาพความสยองเหล่านี้ออกไปมันก็คือหนังดราม่า Coming of Age ที่แทรกความเป็น Cult Horror ภูติผีปีศาจปรัมปราผสมจิตวิทยาว่าด้วยการศึกษาสภาวะความเป็นอยู่ในครอบครัวผ่านการอบรมเลี้ยงดูในสังคมปัจจุบัน การส่งต่อความเชื่อจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ก็คือตัวแม่กับลูกสาวชวนให้คิดตามเป็นระยะ ขณะเดียวกันเราจะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกความสมบูรณ์แบบก็คือช่องว่างระหว่างวัยของคน 2 รุ่นที่กำลังต่อสู้ยื้อยุดฉุดอำนาจกันว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ครอบครองฝ่ายไหนเป็นผู้ถูกควบคุม เช่น ฉากแม่ยืนบนขั้นบันไดส่วนลูกยืนอยู่ใต้บันได , การตั้งคำถามของลูกสาวในเรื่องอายุขัยของแม่ และ ฉากที่ทั้งคู่นอนอ้วกเลือดใส่หน้ากันกลางหิมะ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่ากลัวไปพร้อมกันแต่อย่างนี้เรื่องนี้ช่วยทำให้เกิดแรงบันดาลใจของคนที่รักงานศิลปะงานภาพยนตร์ขึ้นมาว่าไม่จำเป็นต้องเรียนจบด้านภาพยนตร์ หรือ มีประสบการณ์มาก่อน แค่มีไอเดียในหัวก็สามารถสร้างสรรค์เรื่องราวขึ้นมาเป็นของตนเองได้เช่นกัน ถ้าได้สะสมชั่วโมงบินมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เผลอ ๆ ได้เป็นผู้กำกับหนังสยองขวัญรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองต่อไปในวงการได้ไม่ยาก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้