รักพิทักษ์ใจ (2)

กระทู้สนทนา


Chalun Ch


                  บทที่ 2 ชายในฝัน

ตอนเช้าฉันรีบตื่นมาดูกระทู้ที่ตัวเองขอคำแนะนำเอาไว้ ปรากฏว่ามีผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานและผู้ใจดียินดีเข้ามาให้คำแนะนำสองสามคน ฉันอ่านและพยักหน้าหงึก ๆ อ่อ... อย่างนี้นี่เอง อ่อ... ต้องเตรียมความพร้อมแบบนี้ ฉันรับทราบเข้าใจจากนั้นก็ไม่ลืมที่จะแจ้งข่าวดีกับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากจบออกมาก็ยังคงติดต่อกันเหมือนเดิมสนิทกันเหมือนเดิม

ฉันเปิดกรุ๊ปไลน์และพิมพ์บอกทุกคน 'ทุกคนคะแพมมีข่าวดีจะมาบอกทุกคนค่ะ'

ข้อความขึ้นอ่านจากนั้นเพื่อนชายแต่ใจสาวของฉันก็ตอบกลับมาเป็นคนแรก

'มีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วเหรอยะ' ไอ้เต้ย พติทัศน์ตอบ ฝีปากยังแรงเสมอต้นเสมอปลายสำหรับเพื่อนคนนี้ เต้ยไม่ใช่กระเทยที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง ต่างกันมากเต้ยกลับหล่อล่ำบึก ถ้าไม่เห็นท่าทางที่ตุ้งติ้งก็จะไม่เชื่อเลยว่าเต้ยรักสวยรักงามและชอบผู้ชาย

'ข่าวดีกว่านั้นย่ะนางเต้ย' ฉันพิมพ์ตอบ

'เตย! กรุณาเรียกฉันให้ถูกด้วย เตย... ไม่ใช่เต้ย' คนใจเป็นหญิงค้อนกลับมาผ่านตัวหนังสือ

'เรื่องอะไรแพม' คุณแซนดี้ศรีอาภาถาม และตามด้วยคุณเนยตุลยดาที่อยากรู้อยากเห็นอยากทราบมาก ๆ สำหรับสองคนนี้เป็นพี่รหัสของฉันกับเต้ยตอนที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย พี่รหัสตัวจริงของฉันคือพี่แซนศรีอาภา ส่วนตุลยดาหรือพี่เนยเป็นพี่รหัสของไอ้เจ้าเพื่อนซี้เต้ยหรือนางเตยพติทัศน์ บังเอิญมากที่พี่รหัสสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันส่วนฉันกับพติทัศน์ก็เป็นเพื่อนสนิทกันจึงทำให้เราสี่คนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันโดยปริยาย

'เร็ว ๆ ฉันอยากรู้แล้วแพม แกมีแฟนแล้วเหรอ" พี่เนยถาม

'เปล่าค่ะ แพมยังไม่มีใครมาจีบ และคาดว่าน่าจะได้รับโล่เป็นคานสีทองเหมือนพี่เนย ฮ่า' ฉันพิมพ์ข้อความและส่งอิโมจิหัวเราะไปด้วย

'อี่แพม!' ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันก็รู้ว่าพี่เนยตะคอก 'ว่ามาเร็ว ๆ แม่นาง เล่นลิ้นอยู่นั่น นี่ฉันเตรียมดีใจกับแกอยู่นะ ถ้าไม่ยอมบอกฉันจะไปทำงานละ ไม่ได้ว่างงานอย่างแกนะ' โดนพี่เนยบ่นชุดใหญ่

'ก็ไม่มีอะไร... แพมแค่จะบอกว่าได้งานละ สัมภาษณ์วันที่หนึ่ง'

'อย่างนี้มันต้องฉลองมั้ยแพม' พี่แซนออกความเห็น นี่ทุกคนไม่คิดจะถามฉันเลยหรือไงว่างานอะไร

'ว่าแต่งานอะไรนังแพม' เต้ยถาม ยังดีที่เต้ยยังนึกได้

'ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเดียวกันกับพี่เนย' ฉันพูดด้วยอาการคนตื่นเต้นสุด ๆ

'จริงดิ งั้นฉลอง ๆ คืนนี้เลยดีมั้ย' พี่เนยเอาด้วย

'โอเค... เจอกันที่เดิมนะคะ' ฉันตอบตกลงทันที รู้ว่าพวกพี่ ๆ ไม่ยอมให้คนจน ๆ อย่างฉันเลี้ยงหรอก ไม่แชร์กันพี่แซนก็จะเป็นคนจ่ายเองทุกที แต่งานนี้ฉันจะเลี้ยงฉลองพวกพี่ ๆ เอง ฉันพอมีเงินเหลือจากการทำงานที่ล่าสุด พอเลี้ยงพวกเขาสามคนได้สบาย ตอนเย็นหนึ่งทุ่มเป็นเวลานัดของพวกเรา

เมื่อจบการบอกข่าวดีแล้วฉันก็กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเว็บบอร์ดจะทำให้ฉันเลิกสนใจโลกโซเชียลจากแอพพลิเคชั่นอื่น แม้กระทั่งแอพลิเคชั่นยอดฮิตที่ฉันติดหนึบตอนนี้มันไม่เป็นที่สนใจของฉันแล้วเพราะเว็บบอร์ดนี่ ไม่ใช่หมกมุ่นทว่ามันเป็นโคตรของโคตรหมกมุ่นเลย ฉันขังตัวเองอยู่ในเว็บบอร์ดหาอ่านเรื่องราวต่าง ๆ เม้นต์ตอบสิ่งที่รู้ที่คนอื่นถามบ้าง

เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องพื้นฐานที่น่าจะได้เรียนรู้จากสถาบันแล้ว ยังมีคนนำมาตั้งกระทู้ถามราวกับว่าไม่เคยรู้มาก่อน ฉันก็ได้แต่ยิ้มและส่ายหัว บางเรื่องก็เป็นเรื่องใหม่ที่ฉันไม่เคยรู้เลย ส่วนมากฉันจะสิงสถิตอยู่ในเรื่องการสอดรู้สอดเห็นปัญหาของชาวบ้านและเรื่องเหนือธรรมชาติดูดวง

ระหว่างที่อ่านบทความไปด้วยในสมองของฉันก็เฝ้าคิดแต่เรื่องงานที่จะไปสัมภาษณ์ ถึงจะเป็นงานที่ฉันเรียนมาทางนี้โดยเฉพาะก็อดที่จะประหม่าไม่ได้ นั่นทำให้ฉันต้องกลับมาตั้งกระทู้ถามผู้มีประสบการณ์อีก

'888999 : งานหลักของผู้สื่อข่าวต้องทำอะไรบ้างคะ พอดีว่าจะไปสัมภาษณ์งานค่ะ เราได้งานเป็นผู้สื่อข่าว'

ฉันตั้งคำถามของเรื่องนี้อีก

'ทำไมเจ้าของกระทู้นี้ถามบ่อยจัง ในกระทู้ก่อนก็ถามและมีคนบอกไปแล้วยังจะมาตั้งกระทู้ถามเรื่องเดิม ๆ อีก ต้องการอะไรจากสังคม'

มีคนมาตอบคำถามของฉัน พออ่านแล้วของขึ้นเลยอีกทั้งก็เขินไปในตัวด้วย ก็จริงอย่างที่เขาบอกเพราะในกระทู้ก่อนมีคนมาบอกรายละเอียดไว้เยอะมาก

แต่ฉันก็อยากถามไม่ได้หรือ แค่นี้ก็ใจร้าย...

อ่านและเบ้หน้าให้ตัวหนังสือ จากนั้นก็มีคนเข้ามาตอบอีก คนโลกสวยก็มี โลกกว้างก็เยอะ และโลกแคบก็แยะด้วยเช่นกัน แต่นั่นไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับฉัน วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวันที่ฉันขังตัวเองเอาไว้ในห้องนอนและขลุกตัวอยู่แต่ในเว็บบอร์ดไม่ยอมทำอะไรและออกไปไหน รอเวลาที่จะออกไปเจอเพื่อน ๆ เท่านั้น
...


ที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถว ๆ ย่านการค้าช่วงกลางคืน มีร้านรวงขายสิ่งของต่าง ๆ ตั้งอยู่เรียงรายและมีร้านอาหารร้านเหล้าอยู่มากมายเช่นกัน ฉันและพวกพี่ ๆ ชอบมานั่งฟังเพลงที่นี่เป็นประจำตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเรื่อยมาจนเรียนจบก็ยังชอบหาเวลานัดกันมานั่งเหมือนเดิม จะบอกว่าเป็นการมิตติ้งก็ได้ ก็มีช่วงที่ฉันตกงานนี่แหละที่พวกพี่ ๆ คล้ายจะเกรงใจไม่ค่อยนัดกันออกมาเท่าที่ควร

ฉันไอ้เต้ยและพี่เนยมาถึงที่ร้านแล้วยังเหลือพี่แซนที่ยังมาไม่ถึง ฉันมองนาฬิกาข้อมือมันเลยเวลานัดมาเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วทว่าเจ้าตัวก็ยังไม่มา ฉันอยากให้พี่รหัสมาร่วมงานนี้มาก ฉลองการได้งานใหม่ของฉัน พี่รหัสสุดรักจะเบี้ยวได้อย่างไร

"พี่เนย พี่แซนถึงไหนแล้ว ครึ่งชั่วโมงแล้วนะยังไม่มาอีก" ฉันถามเพื่อนสนิทของพี่รหัสตัวเอง ถึงฉันจะสนิทไม่แพ้พี่เนยก็นั่นแหละสองคนนี้เขาโตมาด้วยกัน รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมพี่เนยก็ย่อมจะสนิทกว่าอยู่ดี

"แป๊บสิแก พี่ขอทักหามันก่อน" พี่เนยหยิบโทรศัพท์มือถือจะโทรหาพี่แซน แต่เจ้าตัวดันโผล่มาทันเวลาเสียก่อน และไม่ได้มาเพียงคนเดียวยังพาใครมาด้วยอีกก็ไม่รู้ ผู้ชายที่แต่งตัวธรรมดาแต่ละสายตาจากไปไม่ได้เลย ราวกับต้องมนต์สะกดให้จ้องมอง

ผู้ชายในฝัน...นี่มันคือผู้ชายในอุดมคติของฉันชัด ๆ หน้าตาแบบนี้ หุ่นแบบนี้ สเปกที่ฉันตามหาเลย

เพียงวินาทีแรกที่ฉันเห็นคนแปลกหน้าที่ตามคนคุ้นหน้ามาด้วยแทบกรี๊ดออกมาดัง ๆ เกิดมาไม่เคยเห็นผู้ชายหล่อบาดใจขนาดนี้ เคยเห็นน่ะเคยแต่ไม่เคยจะได้อยู่ใกล้ ๆ แบบชนิดที่นั่งร่วมโต๊ะร่วมวงสนทนาด้วยอย่างในตอนนี้ นี่มันเทพบุตรชายในฝันของฉันเลย ตัวสูง ๆ ล่ำ ๆ ผิวขาว คิ้วเข้มจมูกโด่ง ตาชั้นเดียว นัยน์ตาสีนิลคมดุดูน่ากลัวแต่รู้สึกอบอุ่นในคราวเดียวกัน คงจะปกป้องฉันจากภัยอันตรายได้แน่ ไรหนวดขึ้นที่สันกรามยิ่งทำให้เจ้าตัวเซ็กซี่บาดใจเข้าไปอีก ถึงจะดูแก่ไปหน่อยก็ยังรับได้

เลือดกำเดาของฉันแทบพุ่งออกมาจากจมูก แต่ทว่าของฉันยังไม่ทันจะพุ่งของไอ้เต้ยพุ่งออกมาก่อนแล้วมันรีบหยิบทิชชูขึ้นมาซับ

"อี่เต้ยเก็บอาการหน่อย" ฉันปรามเพื่อนแต่สายตาของตัวเองยังจ้องไปที่คนมาใหม่ไม่วางตา

"แกสิแพมเก็บอาการหน่อย มองพี่ซันจนตาจะถลนออกจากเบ้าอยู่แล้ว" พี่เนยปราม แล้วฉันกับไอ้เต้ยก็พยายามทำตัวปกติทั้งที่อยู่ไม่สุขกันแล้วเพราะได้อยู่ใกล้ชายสุดหล่ออันตรงสเปกขนาดนี้

"มาแล้ว ๆ ทุกคนขอโทษด้วยพอดีฉันรอรับพี่ซันอยู่น่ะก็เลยมาสาย ครั้นจะพาไปส่งที่บ้านก่อนก็กลัวพวกแกจะรอนานและพานพากันกลับไปซะก่อน ฉันก็เลยลากมาด้วยเลย" คนมาสายพูดจ้อไม่หยุด อธิบายถึงการมาสายของตนเอง ส่วนผู้ชายที่มาด้วยเอาแต่เงียบ

"พี่ซันไม่ได้เจอกันนานยังหล่อมาดเท่เหมือนเดิมเลยนะคะ" พี่แซนยังไม่ทันแนะนำให้รู้จักพี่เนยก็พูดก่อน ฉันขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยพี่เนยก็รู้จักสุดหล่อคนนี้ด้วยเหรอ เขาเป็นใครนะ ทำไมฉันไม่เคยเห็นและไม่คุ้นหน้าเลย จะคุ้นได้อย่างไรล่ะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ เพิ่งจะเคยเห็นก็วันนี้หรือว่าเป็นกิ๊กพี่แซน

ไม่นะ! เรื่องนี้ต้องถึงหูพี่มาร์คัส เฮียคัสต้องรู้เรื่องนี้แน่ ฉันคาดโทษพี่สายรหัสในใจ 'เดี๋ยวเถอะคุณแซนดี้ศรีอาภา เจ้าชู้ไปเรื่อยแม่จะรายงานมิสเตอร์มาร์คัสให้หมด'

ถ้าผู้ชายคนที่มาด้วยเป็นกิ๊กพี่แซนจริงฉันก็คงอดจีบไปโดยปริยาย นานทีปีหนจะเจอหนุ่มในสเปกทั้งทีดันมีเจ้าของแล้วซะงั้น ถึงจะเป็นแค่กิ๊ก แต่ก็เป็นคนของพี่สาวทางสังคม

คนโดนชมว่าหล่อเผยอปากยิ้มบาง ๆ นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าดุหวานละมุนขึ้นมาทันที

"เราว่าพี่เคยขี้เหร่ด้วยเหรอเนย"

แนะ... ไม่ยอมถ่อมตัวด้วยร้ายไม่เบานะเนี่ยพ่อเสือลายพาดกลอน ฉันนึกและแอบขำกับสิ่งที่นึกและนั่นก็เหมือนเจ้าตัวจะรู้เพราะเจอสายตาของเขาเข้าอย่างจัง ฉันต้องรีบเบือนสายตามองไปทางอื่นเพื่อแก้เขินและแก้ตัวว่าไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ สองคนนี้ต้องสนิทคุ้นเคยกันมาก ๆ แน่ นี่พี่แซนซุกชู้มานานแค่ไหนแล้วพี่เนยยังรู้จัก ฉันนึกและหันกลับมามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และความหล่อบาดใจของเขาทำให้ฉันใจร้ายไม่ลงจริง ๆ คงต้องยอมให้สองคนเป็นชู้กันเพราะความหล่อแท้ ๆ

"อ่อลืมแนะนำไปเลย นี่แพมกับเต้ยพี่ชายพี่จ้ะ พี่น้องท้องเดียวกันเลย แต่ห่างกันไปนิด" พี่แซนแนะนำ

"ไม่นิดล่ะ ห่างกันตั้งสิบห้าปีนิดตรงไหน พี่ซันเป็นพ่อของไอ้เต้ยกับไอ้แพมได้เลยนะ" พี่เนยขัดคอ คนโดนแนะนำกระแอมออกมาเบา ๆ แต่พี่เนยกับพี่แซนหาได้สะทกสะท้านไม่

"นี่คือพี่ซัน พี่ซันเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ เพิ่งมาถึงและพี่ก็ไปรับมานี่เลย หล่อมั้ย ๆ" พี่แซนแนะนำคนที่พามาให้ฉันกับเต้ยได้รู้จัก พวกเราสองคนยกมือไหว้ ก็ได้รับเพียงการผงกศีรษะให้คล้ายพอเป็นมารยาทเท่านั้น

เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันแทบอยากกระโดดเย้ ๆ รอบโต๊ะและรอบร้านที่พวกเรามานั่งสักสิบรอบ ผู้ชายหน้าหล่อคนนี้ไม่ใช่ชู้หรือกิ๊กพี่แซน 'ขอโทษนะพี่แซนที่แพมมองโลกในแง่ร้ายเกินไป' ฉันกล่าวขอโทษพี่สาวทางสังคมที่เคยคาดโทษเอาไว้

"หล่อมากค่ะ เอ้ย! ครับคุณพี่" ไอ้เต้ยชิงตอบก่อน "ตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจพวกเรา" ไอ้เต้ยเห็นคนหล่อเป็นไม่ได้ต้องเกินหน้าเกินตาทุกทีไป

คนหล่อทำเพียงยิ้มบางให้โดยไม่ตอบอะไร ก็แน่ล่ะคงกลัวไอ้เต้ยงับจนตัวสั่น

หลังจากที่พี่แซนแนะนำเสร็จคนถูกแนะนำกลับวางตัวนิ่งเฉย จะคุยบ้างก็เพียงคุยกับพี่เนยเท่านั้น 'หล่อหยิ่ง' นี่คือฉายาที่ฉันตั้งให้เขา แต่ว่าความหล่อชนะทุกอย่างฉันให้อภัยเขาได้เสมอ อีกอย่างหนึ่งคงจะเป็นเพราะวัยที่ห่างกัน แถมยังไม่สนิทกันด้วยจึงทำให้พี่ชายของพี่แซนไม่ค่อยเสวนาเท่าไหร่ ทำเพียงนั่งนิ่ง ๆ ฟังพวกเราคุยกัน มีบ้างที่พูดคุยกับพี่เนยกับพี่แซน ส่วนฉันกับไอ้เต้ยพี่ซันแทบจะไม่คุยด้วยเลย 'หล่อหยิ่ง' ของแท้

สรุปแล้วคนที่พี่แซนพามาไม่ใช่กิ๊กหรือชู้แถมยังเป็นบุคคลสำคัญเสียด้วย พี่แซนมีพี่ชายที่ห่างกันถึงสิบห้าปี จึงทำให้พี่น้องไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเท่าที่ควรอย่างพี่น้องคู่อื่น เพราะโตไม่ทันกันกว่าพี่แซนจะโตพี่ชายก็เป็นวัยรุ่นไปแล้ว แต่ก็ยังรักและสนิทกลมเกลียว

เพราะความเป็นพี่น้องที่ห่างกันมากคนส่วนใหญ่จึงคิดว่าพี่แซนเป็นลูกคนเดียว ฉันพอจะรู้พี่แซนเคยบอกว่ามีพี่ชายแต่ฉันก็ไม่เคยเจอสักทีวันนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้ทำความรู้จักกัน

พี่ซันไปเรียนต่อที่อังกฤษเรียนจบก็ทำงานที่นู่นต่อเลย ปีนี้และตลอดไปทางครอบครัวขอให้กลับมาช่วยธุรกิจ พี่ซันจึงจำต้องกลับมา นอกจากจะมีดีกรีเป็นหนุ่มนักเรียนนอกแล้วยังมีดีกรีเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแนวหน้าของเมืองไทยด้วย

"แพม! แพม... มองตาไม่กะพริบเลยนะ พี่ซันหล่อใช่มั้ย" พี่แซนตัวดีแซวฉันต่อหน้าพี่ชายพร้อมกวัดแกว่งมือเบา ๆ จ่อที่หน้าของฉันไอ้เต้ยกับพี่เนยหัวเราะใหญ่ ส่วนคนเป็นพี่ซันก็มองฉันไม่วางตา คงเพราะฉันนั้นแหละที่เอาแต่จ้องเขาก่อน ก็มันอดใจไม่ไหวนี่นา อยากหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน เผลอหลุดจนได้

"เปล่าค่ะ แฮ่" ฉันตอบแบบเขิน ๆ และแก้เขินด้วยการก้มหน้าดูดน้ำเปล่าในแก้ว

"จะไม่ให้เผลอมองได้ไง พี่ซันหล่อขนาดนี้" พี่เนยยังไม่หยุด พูดออกมาโท่ง ๆ แบบไม่เกรงใจเลย ไม่รู้เลยหรือไรฉันอายแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีแล้ว มันรู้สึกร้อนที่ใบหน้ามาก ๆ เลยตอนนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่