เนื่องจากต้องการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน
เลยย้ายไปจังหวัดที่ไม่ร้อนเหมือน กทม
หาเจอจังหวัดหนึ่งอยู่ชายแดนขึ้นชื่อว่าฝนตกบ่อย
(กทม 34 องศา แต่ที่นี่ 28-29 องศา)
ตอนมาก็ไม่ได้คิดว่าอยู่ชายแดนแล้วบรรยากาศมันจะเป็นแบบนี้
เข้าเรื่อง บรรยากาศมันไม่มีความไว้ใจซึ่งกันและกัน
ชาวประเทศเพื่อนบ้าน มาเปิดธุรกิจขายของกันเยอะมาก
พอคนเพื่อนบ้านอยู่เยอะ เขาก็จะซื้อแต่ของคนประเทศตัวเอง
ไม่รว่าคาดหวังเยอะไปไหมว่า ตำรวจควรออกตรวจตราเยอะๆ
ยิ่งเมืองชายแดน แต่ไม่เคยเห็นตำรวจอยู่เลย
ประชากรครึ่งต่อครึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ร้านทุกร้านมีป้ายสองภาษา
เจอครั้งเดียวตอนเกิดเหตุไฟไหม้ ตึกแถวไกล้ๆ
หลังจากนั้นไม่เคยเห็นอีกเลย
ปัญหาอีกอย่างที่เจอคือ เพื่อนบ้านแว๊น
มอเตอร์ไซค์ต่อดัง ไม่ได้มีแค่คนไทย เพื่อนบ้านเราเอาด้วย
ท่อดังขับวนทั้งเมือง
ด้วยความที่เป็นคนผิวเข้ม เดินไปไหนมีแต่คนมอง
คนไทยก็จะมองว่าเป็นเพื่อนบ้านไหม
คนเพื่อนบ้านก็จะมองว่าคนไทยจะไปหาเรื่องไหม
ที่พักที่ผมอยู่ตอนนี้ 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนจากประเทศเพื่อนบ้านหมดเลย
ธุรกิจบ้านเช่ามีขึ้นป้ายให้เช่าเพียบเลย แต่ไม่มีคนเช่า
คิดว่าถ้าเป็นที่อื่นคงแย่งกันเพียบ
จังหวัดชายแดนบรรยากาศมันจะเป็นเหมือนๆกันหมดไหม
เลยย้ายไปจังหวัดที่ไม่ร้อนเหมือน กทม
หาเจอจังหวัดหนึ่งอยู่ชายแดนขึ้นชื่อว่าฝนตกบ่อย
(กทม 34 องศา แต่ที่นี่ 28-29 องศา)
ตอนมาก็ไม่ได้คิดว่าอยู่ชายแดนแล้วบรรยากาศมันจะเป็นแบบนี้
เข้าเรื่อง บรรยากาศมันไม่มีความไว้ใจซึ่งกันและกัน
ชาวประเทศเพื่อนบ้าน มาเปิดธุรกิจขายของกันเยอะมาก
พอคนเพื่อนบ้านอยู่เยอะ เขาก็จะซื้อแต่ของคนประเทศตัวเอง
ไม่รว่าคาดหวังเยอะไปไหมว่า ตำรวจควรออกตรวจตราเยอะๆ
ยิ่งเมืองชายแดน แต่ไม่เคยเห็นตำรวจอยู่เลย
ประชากรครึ่งต่อครึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ร้านทุกร้านมีป้ายสองภาษา
เจอครั้งเดียวตอนเกิดเหตุไฟไหม้ ตึกแถวไกล้ๆ
หลังจากนั้นไม่เคยเห็นอีกเลย
ปัญหาอีกอย่างที่เจอคือ เพื่อนบ้านแว๊น
มอเตอร์ไซค์ต่อดัง ไม่ได้มีแค่คนไทย เพื่อนบ้านเราเอาด้วย
ท่อดังขับวนทั้งเมือง
ด้วยความที่เป็นคนผิวเข้ม เดินไปไหนมีแต่คนมอง
คนไทยก็จะมองว่าเป็นเพื่อนบ้านไหม
คนเพื่อนบ้านก็จะมองว่าคนไทยจะไปหาเรื่องไหม
ที่พักที่ผมอยู่ตอนนี้ 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนจากประเทศเพื่อนบ้านหมดเลย
ธุรกิจบ้านเช่ามีขึ้นป้ายให้เช่าเพียบเลย แต่ไม่มีคนเช่า
คิดว่าถ้าเป็นที่อื่นคงแย่งกันเพียบ