ชีวิตที่หลงผิด

หวัดดีวันนี้เราอยากมารีวิวชีวิต ที่หลงผิดของเราอยากจะมาเตือนทุกๆคนที่กำลังใช้ชีวิต
คือต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนต่างจังหวัดที่เกิดทางภาคอีสานก็จะมีครอบครัว ฐานะค่อนข้างปานกลางไปถึงยากจนก็คือไม่ได้มีอะไรพร้อมไปซะหมด
พ่อแม่เรามีอาชีพค้าขายในตลาดตอนเย็น ชีวิตช่วงเด็กเราก็จะโตมากับการที่เลิกเรียนมาแล้วมาช่วยพ่อแม่ขายของไม่ค่อยได้เล่นเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ
การเรียนก็จัดอยู่ในช่วงกลางกลาง  
เราเห็นพ่อแม่ลำบากมาตั้งแต่เด็กเราก็เลยรู้ว่าเราอ่ะจะต้องพยายามให้มากเรียนในคณะที่จะต้องหาเงินให้ได้มากที่สุดก็เลยเลือกเรียนพยาบาลแต่ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ได้เก่งอะไรมากทำให้เราสอบไม่ติดในวิทยาลัยของรัฐบาล  เราก็ไม่หมดความพยายามเลือกเรียนพยาบาลของเอกชนในค่าใช้จ่ายที่มันค่อนข้างสูงพ่อแม่ของเราส่งได้ในระดับหนึ่งโดยการกู้หนี้ยืมสินมาให้เราบ้าง แล้วก็บวกกับการยืม กรอ ทำให้เราเรียนจบมา
หลังจากจบพยาบาลจะมีการสอบใบประกอบวิชาชีพซึ่งมอ.ที่เราจบมามันจะจบทัน2 รอบที่สองเราตกไปหนึ่งวิชาทำให้ตอนนั้นเรา เสียโอกาสในการทำงานไปทั้งหมด6 เดือน คือช่วงที่เราจบมาค่ะมันเป็นช่วงโควิดรอบ 2 ทำให้เด็กที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพแบบเรา ส่วนมากที่ทำงานไม่ค่อยรับเราก็เลยเลือกที่จะไปช่วยแม่ขายของแล้วก็ขายพวกของเล็กๆเพื่อหารายได้ให้ตัวเอง แต่ช่วงนั้นขายของยากมาก  เราทำอย่างงั้นรอสอบรอบ 3 จนกระทั่งสอบรอบ3
 ช่วง มกราปี64  เราตัดสินใจมาหางานที่แถวกรุงเทพ ช่วงแรกเราได้งานเป็นพยาบาลที่ขึ้นโรงแรมเพื่อดูแลผู้ป่วยโควิดกับโรงบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านรังสิต รายได้ค่อนข้างดีเฉลี่ยต่อเดือนเราได้ 40,000ถึง 50,000 เราก็มีการส่งมาใช้หนี้ให้แม่แล้วก็เก็บไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตัวเองบ้าง
เราทำงานที่นั่นจนสนิทกับพี่พี่ที่ทำงานประจำในโรงพยาบาลนั้นเขาจึงมีการชวนเราเพื่อเข้าไปเป็นพนักงานประจำที่โรงพยาบาลพยาบาลนั้น  ช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 64 เราตัดสินใจสมัครเป็นพยาบาลประจำที่โรงพยาบาลนั้นด้วยความที่เราทำเกี่ยวกับโควิดมาก่อนเราจึงได้อยู่วร์อดโควิด ทำช่วงสี่ถึงห้าเดือนแรกเงินดีนะ 35,000- 40,000เหมือนเดิม  แต่พอเข้า ปี 65 โควิดก็เริ่มน้อยลงทำให้วอร์อด เราคนไข้น้อย โดดoff เวรบ่อยจนค้างเวร พี่ที่ เรารู้จัก ชวนเราลงทุนเพื่อที่จะได้ รายรับเข้ามาเพิ่ม เป็นการเทรดหุ้น ตอนนั้นจำได้ว่าเรามีเงินเก็บอยู่ในบัญชีแค่37,000เราก็ลงทุนกับพี่เขาจนหมดเพราะ คิดว่าจะได้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นและต่อให้เราทำงานโรงบาลช่วงนั้นคนไข้น้อยยังไงเราก็ต้องค้างเวรเงินเดือนก็ได้น้อย ต่อให้เราค้างเวรเรายังมีรายได้จากเงินเดือนเข้ามาอยู่อย่างต่ำก็เดือนละ 25,000 
สุดท้ายเราก็โดนโกงเงินเก็บก็ไม่เหลืออะไรจึงเริ่มเก็บเงินใหม่ จาก เม.ย - ธ.ค. ปี65 เรามีเงินประมาณ 50,000
ช่วงปี 66 เรามีเงินเก็บอยู่ประมาณ 50,000 บาท
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใช้เงินเยอะมากของเรา ทั้งเงินที่ส่งให้พ่อให้แม่และค่าใช้จ่ายอื่น  เราเห็นเพื่อนที่ทำงานของเราเล่นปั่นสล็อต แล้วเค้าได้เงินดีได้เงินแสน
ด้วยความที่เราอยากร้องเราก็เลยลง ช่วงแรกเราลงแค่หลักร้อย หลักพัน แต่มันเสีย พอเสีย เราก็อยากได้คืนทำให้เราขาดสติใช้เงินเก็บเป็นหมื่นๆ ของตัวเองเพื่อ การพนันนี้พอยิ่งเสียเรายิ่งอยากได้คืนยิ่งเสียเค้าไปใหญ่( อันนี้ขอเตือนเลยว่าทุกคนอย่าไปเล่นยิ่งเล่นยิ่งเสีย) เราโมโหตัวเองมากตอนนั้น เรามีบัตรเครดิตอยู่สองใบ วงเงินใบล่ะ 100,0000 เรา อยากได้เงินเราคืนมากเราเอาเงินในบัตรเครดิตของเรามันเล่นทั้งสองใบ สุดท้ายเราก็เสียเงินเป็นแสนๆๆ จนสุดท้ายเราเป็นหนี้บัตรเครดิต 200,000บาท เรา ด้วยความที่เราเป็นหนี้เปญสินเยอะเราเลยตัดสินใจอยสกลดค่าใช้จ่ายของตัวเอง เพื่อเริ่มต้นใหม่
 เราตัดสินใจกลับมาอยู่ต่างจังหวัดกับพ่อกับแม่เราไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับพ่อกับแม่เลยทุกวันนี้เรายังเครียดอยู่เพราะเรามีเงินติดตัวมาแค่ 10,000 กว่าบาท เราบอกท่านเราอยากกลับมาทำงานที่โรงบาลใกล้บ้าน เราสมัครงานไปแล้วสองเดือนตอนนี้รอแค่โรงพยาบาลเรียกตัวแต่ตอนนี้ก็ยังไม่เรียกเราเครียดมากเราแค่อยากละบายไม่ได้อยากให้ใครเห็นใจหรือสงสารเพราะมันคือความผิดพลาดของเรา 
ที่เรามาโพสต์ เราแค่อยากมาเตือนสติทุกคน ไม่อยากให้คนที่กำลังเล่นพวกพนันแบบนี้หมดตัวแบบเรา
สุดท้ายนี้การพนันไม่ทำให้ใมีแต่เสียกับเสียจากเราคนที่เคยมีเงินเก็บอาจจะมีน้อย จนสุดท้ายมันหมดตัว จนต้องติดหนี้บัตร ตั้ง200,000 อย่าหลงผิดแบบเรานะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่