เมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับพวกเขากับบ้านในฝันของเรา

เรากับสามีเดิมทีอยู่อพาทเมนต์ใกล้ตัวเมืองแต่ราคาค่อนข้างสูง อยู่ได้ประมาณ 2 ปี ราคาเช่าก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเลยตกลงหาอพาทเมนต์หลังใหม่ที่ราคาถูกลง จนเรามาเจอห้องหนึ่งผ่านทางเว็บไซต์ ดูจากรูปภาพภายนอกตึกเป็นตึกอิฐ นั่นหมายความว่าตึกนึ้ถูกสร้างมาไม่ต่ำกว่า 70 ปี ณ ตอนนั้นครั้งแรกที่เห็นรูปภาพจากในเว็บไซต์ก็มองว่าตึกอิฐก็จริงแต่ยังดูใหม่สะอาด แล้วรูปภาพที่เอเจ้นเอาลงโปรโมทภายในห้องก็ดูสะอาดกว้างขวางตรงตามแบบที่เราชอบ เพราะเราเคยคิดไว้ว่าถ้าจะซื้อบ้านก็อยากได้ลักษณะคล้ายแบบนี้ เราเลยทำการจองวันเวลาเพื่อนัดหมายเข้าไปดูห้องของจริง แต่ในวันที่ไปดูห้องสามีเราไปคนเดียวเพราะเราทำงาน ซึ่งสามีก็ไม่ได้อยากมาดูห้องนี้ตั้งแต่แรกเพราะเขาไม่ชอบตึกรูปแบบเก่า 

เมื่อมาถึงวันนัดหมาย สามีก็เดินทางไปดูห้องแล้วรีบโทรศัพท์กลับมาบอกเราด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า สวยมาก ห้องสะอาดโอ่โถง แบ่งสัดส่วนชัดเจนที่สำคัญครัวใหญ่กว่าที่เดิมอีก เธอจะต้องชอบแน่ ๆ เราก็เลยถามสามีกลับว่าแล้วเธอล่ะชอบไหม ตึกดูเก่าหรือเปล่า สามีก็บอกว่าไม่เก่าเลย พื้นที่รอบ ๆ สะอาดแล้วตัวเขาเองก็ชอบมากเช่นกันแต่เสียดายที่เอเจ้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเราเลยไม่ได้เห็นห้องว่าแตกต่างจากในรูปที่เขาลงโฆษณาไหม 

ขอเพีมเติมนิดนึงนะคะ การจะเช่าอพาทเมนต์แต่ละยูนิตของที่นี่เราไม่สามารถเดินไปดูห้องที่ชอบ ทำสัญญาแล้วจ่ายเงินเข้าอยู่ได้ทันทีเหมือนที่ไทย เราจะต้องทำการนัดหมายวันเวลาตามที่เอเจ้นประกาศแล้วก็ต้องไปรอลุ้นหน้างานอีกว่าจะมีคนมาดูกี่คน อย่างวันที่สามีเราไปก็มีคนมาดูสิบกว่าคน ซึ่งถือเป็นคู่แข่งทั้งหมด หลังจากดูห้องเสร็จแล้วก็ต้องมากรอกใบสมัครเพื่อยื่นให้เอเจ้น ขั้นตอนนี้เขาจะดูประวัติการทำงาน รายรับรวมถึงจดหมายแนะนำตัวแล้วเอเจ้นก็จะทำการคัดกรองใบสมัครที่น่าสนใจส่งให้เจ้าของโครงการหรือเจ้าของห้องเช่าพิจารณาอีกที เมื่อเจ้าของเลือกใบสมัครของใครก็จะแจ้งผ่านเอเจ้นแล้วเราจะได้รับการติดต่อกลับมาเพื่อทำสัญญาเช่าห้องต่อไป 

ย้อนกลับมาหลังจากที่สามีเราไปดูห้องมาแล้วเขาชอบมากก็เลยทำการส่งใบสมัครให้เอเจ้น หลังจากนั้นก็ทำได้แค่รอแล้วก็รอ รอได้ 3 วัน ก็ได้รับอีเมล์ว่าพวกเราได้ห้องนี้ เราดีใจมากเลย เพราะฟังจากที่สามีบอกว่าเป็นห้องที่เราเคยฝันไว้ว่าถ้าจะซื้อบ้านอยากได้ประมาณนี้  เราก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะย้ายเข้า

เมื่อถึงวันขนของเข้าบ้าน วันนี้จะเป็นวันแรกที่เราจะได้เห็นห้องครั้งแรก เราแบกกล่องเปิดประตูเข้าห้องปุป ความรู้สึกแรกเลยคือ ว้าวววว นี่คือห้องแบบที่เราอยากได้จริง ๆ สวยและสะอาดตรงปกไม่จกตา พื้นไม้ ผนังขาว หน้าต่างรอบห้อง รับแสงธรรมชาติได้ไม่ต้องเปิดไฟ ที่สำคัญครัวใหญ่กว่าที่เดิม ในคืนแรกของการย้ายเข้าบ้านก็ยังไม่ได้เก็บของเข้าที่อย่างเรียบร้อย กล่องยังกระจายตามห้องต่าง ๆ มีแค่ฟูกนอนที่เตรียมไว้สำหรับนอนเท่านั้น

คืนที่1
หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการขนของ เรากับสามีก็เริ่มเอนหลังนอนสักประมาณสามทุ่ม ในห้องยังไม่ได้จัดให้เป็นระเบียบ กล่องวางสุมกันกลางห้อง หลับไปนานเท่าไหร่จำไม่ได้เราก็ได้ยินเสียงกล่องในห้องเลื่อน เหมือนมีคนเลื่อน ครืด ครืด จนเราลืมตาขึ้นมาเพราะคิดว่าหนู แต่ก็๋ เอ๊ะ หนูต้องตัวใหญ่ขนาดไหนล่ะ ถึงขยับกล่องที่ใส่ของเลื่อนได้ เราก็นอนฟังอยู่แบบนั้นเพราะอยากรู้ว่าเสียงกล่องจะเลื่อนไปถึงไหน เสียงยังเลื่อนต่อไปเรื่อย ๆ แต่เพราะเหนื่อยมากเลยเผลอหลับไป พอตอนเช้าสิ่งแรกที่เราทำคือเดินไปจุดที่กล่องวางอยู่กลางห้องแล้วเอาขาเตะกล่องทุกกล่องว่าเราสามารถเลื่อนกล่องได้ด้วยขาไหม ปรากฏว่าเลื่อนไม่ได้เพราะกล่องหนักมาก แล้วเสียงกล่องเลื่อนมาจากไหน เราถามสามีว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงกล่องเลื่อนไหม สามีบอกไม่ได้ยินอะไรเลย หาว่าเราหูฝาด 

เช้าวันต่อมา เรานึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จุดธูปบอกเจ้าที่ เราเลยจัดแจงจุดธูปปักใส่กระถางต้นไม้ริมระเบียงแล้วบอกกล่าวเจ้าที่ว่าเราย้ายมาอยู่ใหม่นะ ให้ปกปักรักษาด้วย ในคืนนั้นนอนหลับไม่ได้ยินเสียงอะไร เราเลยคิดว่าสงสัยคืนแรกจะเป็นหนูจริง ๆ มันคงแอบเข้ามาตอนเราเปิดประตูแล้วขนของเข้าบ้าน แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่หนู แต่มันไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ก็คิดว่าเป็นหนูไปก่อนแล้วกันเพื่อความสบายใจ

คืนที่3
เราถูกปลุกด้วยเสียงรองเท้าเดินนอกห้องนอน เราลืมตานอนฟังเสียงนั้นสักพักว่าเสียงจะเดินไปทางไหน แต่เหมือนเสียงย่ำอยู่กับที่ เราเลยตัดสินใจลุกออกมาดู เปิดไฟแล้วเดินไปดูที่รองเท้า แล้วลองใส่รองเท้าเดินดูว่าเสียงไหนที่เราคิดว่าเราได้ยิน สรุปแล้วเสียงมาจากรองเท้าที่ไว้ใส่ในบ้านของเรา เพราะจะเป็นเสียง แซ่ก แซ่ก ที่พื้นรองเท้าถูกับพื้นไม้ที่ห้อง พอเราได้คำตอบแล้วเราก็เดินไปปลุกสามีแล้วถามว่าเธอได้ยินเสียงใครเดินอยู่นอกห้องนอนไหม สามีก็งัวเงียตอบว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วหาว่าเราหูฝาดตามเคย

เช้าวันต่อมา เราคิดว่าการจุดธูปบอกเจ้าที่ที่กระถางระเบียงห้องคงยังไม่พอ เราเลยไปจุดที่สนามหญ้าหน้าอพาทเมนต์แล้วบอกกล่าวถึงการมาอยู่อาศัย

คืนที่4
เราถูกปลุกด้วยเสียงน้ำหยดในห้องน้ำ ดูนาฬิกาเป็นเวลาตีหนึ่ง นี่เราเพิ่งหลับไปไม่กี่ชั่วโมงเองหรอเนี่ย โอย หงุดหงิดปนสงสัยว่า เอ๊ะ หรือเราปิดก๊อกไม่สนิทหรอ แต่ถ้าปิดไม่สนิททำไมน้ำไม่หยดตั้งแต่ตอนแรก ทำไมถึงเพิ่งมาหยดกลางดึกทั้งที่ก่อนนอนเราก็ตรวจดูน้ำไฟก่อนเข้าห้องแล้ว  ถ้าน้ำหยดจริงพรุ่งนี้อ่างในห้องน้ำต้องเปียกแน่ เราเลยไม่ลุกไปดูแต่นอนฟังเสียงหยดน้ำแบบนั้นไปจนเผลอหลับ เพราะอีกใจหนึ่งคืออยากรู้ให้แจ่มแจ้งด้วยว่าเป็นอย่างที่เราคิดไว้หรือเปล่า  เช้าวันต่อมาเรารีบลุกไปที่ห้องน้ำเพื่อดูว่ามีน้ำหยดจริงไหม ปรากฏว่าห้องน้ำแห้งสนิท อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ แห้งสนิท ถ้าหากก๊อกน้ำรั่วจริง ยังไงเช้านี้อ่างก็ไม่รอด แต่นี่ไม่มีร่องรอยอะไรเลย เราเขย่าหัวก๊อกทุกอันเพื่อดูว่ามีน้ำขังในนั้นไหมปรากฏว่าก็ไม่มี ถามสามีว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงน้ำหยดไหม สามีตอบว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วหาว่าเราหูฝาด (อีกแล้ว)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่