[SR] Review The Flash ( สปอยล์เนื้อหาบางส่วน ไม่สปอยล์ เซอร์ไพรส์ )

THE FLASH

หลังจาก Covid ผ่านไป นับแต่ปี 2020 หนังเรื่องสุดท้ายที่ผมดู ก็คือ 1917 หนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือนที่ไม่ได้เข้าโรงหนังเลย แต่ เนื่องด้วยส่วนตัวคือแฟนการ์ตูน JL ที่ได้ชมทาง Cartoon Network ประจำสมัยก่อน The Flash คือ 1 ในหนังที่ส่วนตัวแล้วจะไม่ยอมพลาด เช่นเดียวกับ ยุค Spider Man ภาคแรก ของ โทบี้ แม็คไกวร์ และ Green Lantern ที่ส่วนตัวมองว่า ไม่ชอบเลยหลังจากได้ดู มาวันนี้ไปดู The Flash มา

The Flash ภาคนี้ ช่วงแรกของหนัง มีเหตุการณ์ให้ พระเอกโชว์ความเป็น ฮีโร่ ตามสไตล์ที่ดี เพราะช่วง 10 นาทีแรก ถ้ามัวแต่ไปหาแหล่งที่มาว่าทำไมพระเอกเรา กลายเป็น The Flash คงโบราณมากไป และ หลายคนคงได้ดู JL จาก ปี 2017 แล้ว ถือว่า รู้จักพระเอกกันพอควร วีรกรรม ผสมความฮาหน่อยๆ ก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้าครับ ผมชอบที่ภาพสวย ทุกอย่างถูกวางภาพให้ผ่านไปรวดเร็วแต่ ตัว The Flash กลับ สโลว์โชว์ภาพสวยๆ มันก็เป็น ไอเดีย โอเค 

ดีกว่า ให้เห็นแต่ภาพเบลอๆไปยาวๆ แบบการ์ตูน การสร้าง The Flash มันมีโจทย์ที่ยากตรงนี้ ทำไงให้คนเห็น The Flash ทำอะไร และ ต้องเร็วด้วยนะ

พระเอกที่ว่ามีปัญหา การแสดง ไม่มีปัญหา นอกจอก็เรื่องของเขา ผมมองว่าหนัง The Flash ไม่เกี่ยวกับพระเอกเลย พระเอกแค่แสดง ไม่ได้ลงทุน แค่เขาจ้างมาแสดง เราก็ไปดูหนังในภาพรวม พระเอก ก็แสดงได้ โอเคน่ะ ไม่มีอะไรขัดหูขัดตา การแสดงสีหน้า ทำได้ดี ผมชอบนะ โดยเฉพาะตอน ซื้ออาหาร ตอนต้นๆเรื่องก็ ขำๆ ตอนคนขายทำอาหารเสร็จแล้วถามพระเอกน่ะ แล้วพระเอก ทำตาเหล่ๆ ใส่ ทำนองว่า ยังจะถามแบบนี้อีกนะ 

ตัวละครอื่น แม่ ก็คือหาคนแสดงได้เหมาะสม ดูแล้วรู้สึกอบอุ่น 

แบทแมน คือ อันนี้คงไม่เรียกว่า สปอยล์นะ เพราะ ผมว่า มันมี Trailer เผยชัดเจนเยอะแยะแล้ว ว่า แบทแมน คนนี้คือ จุดขาย เรียกคนดูเลย  MK น่ะละกันนะ เรียกเขาแอบๆหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าสปอยล์มาก ไม่เซอร์ไพรส์ เพราะผมเห็น TRailler นับเป็นจุดขายหลักๆเลย เพราะบทแกเยอะ

Kara รู้สึกแปลกๆ แต่ก็คงจะต้องการทำเหมือน ดีสนีย์คือ ให้มันแตกต่างบ้าง เธอผมดำ แถมสั้นๆ ไม่ตรงกับ ภาพเก่าๆ เรียกว่า คนละ universe ว่างั้น 

ภาพรวมของหนังเลยละกัน ผมว่า หนัง 144 นาที ถือว่า มีจุดน่าอึดอัดเล็กน้อย ประมาณ 20 นาที ในตอนที่ แฝดคนละฝา นั่งเถียงกัน คนนึงก็ต๊องๆ คนนึงก็ไม่รอบคอบ มันดูจะเสียเวลา และ ทำให้หนังดรอปจาก โทนของ ฮีโร่ ตัวที่คนดูรอคอย ( อาจจะเฉพาะแฟน The Flash )  

พล็อตเรื่อง คงไม่พ้นเทรนด์ปัจจุบันคือ ต้องมีเรื่อง โลกคู่ขนาน ซึ่ง The Flash ชอบเล่นกับเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ ซีรีส์แล้ว ไม่แปลกอะไร ซ้ำซากด้วยซ้ำ

Super Girl ดูโอเค แม้จะแตกต่างจาก สาวผมบลอนด์ยาว มาเป็น ผมดำสั้น ถือว่าผ่าน 

แบทแมน นี่ต่างหากละ ที่ ขโมยความ โดดเด่น หรืออาจจะ มีอะไรให้คนดู นึกในใจว่า มันต้องอย่างนี้ ความองอาจ สง่างาม ทักษะลีลาท่าต่อสู้ ที่อยู่ในสปีดของมนุษย์ธรรมดา กลับมีเสน่ห์ มากๆ ตอนแบทแมน วาดลวดลาย ที่รัสเซีย ผมชอบฉากต่อสู้นั้นมากสุดมั้งครับ มันคลาสดีนะ จังหวะจะโคน ดูโอเค ที่ คน 1 คน จะล้มคนหลายๆคนด้วย Utility ต่างๆ ที่เขามี และ ยามเจอกับคู่ต่อสู้ตัวใหญ่ แบทแมน ยืนตระหง่าน ไม่มีคำว่าถอย เท่ห์ เลย

อย่างนึงที่ แบทแมน ทุกโลกคู่ขนานมีคือ เขารู้ว่า โลกคู่ขนานคืออะไร และ อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ไม่ว่าจะโลกไหนก็ตาม 

พล็อตหนัง ง่ายๆ แต่อาศัย การข้ามโลกคู่ขนาน ไป ก็ไม่ได้ใหม่อะไร แต่ ประเด็นของหนังคือ อะไรจะเป็น มันก็ต้องเป็น เพลงเก่าสมัย ดอรีส เดย์ ร้องไว้

บางอย่าง เราแก้ไขได้ บางอย่างแก้ไม่ได้ โชคชะตามีไว้ให้คนรับ รับได้แค่ไหน ก็แค่นั้น  มันก็เป็น มุมมองนะครับ ไม่ใช่บทสรุป แล้วแต่บุคคลจะเชื่อ

สรุป The Flash ภาคนี้ ไม่ได้มีอะไรใหม่ แห่ะๆๆๆ และ ไม่มีอะไรว้าว ไม่มีอะไรน่าประทับใจ แต่ ก็ไม่ใช่หนังห่วยๆ คือตัวหนัง มีช่วงสนุก และก็สนุกใช้ได้ ไม่ได้น่าอาขอะไร เพียงแต่การใช้เวลาในบางช่วงของหนัง ดูธรรมดาไป ทำให้หนังหย่อนๆไปหน่อย ไม่กระชับ ตามสไตล์ DC ที่บทไม่กระชับซักเรื่อง สำหรับหนัง Superhero 

ถ้ามีเพื่อนมาถามผมว่า The Flash เป็นไง ผมจะตอบว่า ก็ โอเค สนุกดี ตามด้วยประโยคท้ายว่า แต่ก็แล้วแต่คนชอบนะ บางคนอาจไม่ชอบ แล้วแต่ 

ก็คือ ไม่ขัดขวาง แต่ไม่รับประกันนะครับว่า หนังเรื่องนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร เพราะความคาดหวังแต่ละคน ไม่เท่ากัน ประมาณนั้น

3 ดาวครับ ที่ผมให้ จะให้ 2.5 ก็ดูจะต่ำไป แต่ไม่ถึง 4 ดาว ด้วยเนื้อหา ไม่แปลกใหม่ แต่ เน้น เซอร์ไพรส์ที่ถ้าใคร ไม่อ่านรีวีวอะไรเลย คงจะแฮปปี้ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ไม่มากก็น้อย 

ปล ผมชอบ เฮเลน มากๆ บอกแค่นี้ละครับ