สวัสดีค่ะ วันนี้จะหยิบเอาเรื่องเล่าเขย่าขวัญตอนหนึ่งจากเว็บงานแปลของเราเองที่ชื่อว่า "นอนไม่หลับ" ซึ่งเราเลือกเอาเรื่องเล่าหลอนๆ จากบอร์ดฝรั่ง มาแปลให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน โดยปกติเราจะอัปเดตบ่อยๆ อาทิตย์ละประมาณ 2-3 เรื่องในเว็บของเราเองชื่อ "นอนไม่หลับ" ค่ะ (
ิลิงก์นี้นะคะ)
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ อยากให้ตามมาอ่านกันเยอะๆ ค่ะ ^^
**ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้นนะคะ ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะคะ**
มาเริ่มกันเลยค่ะ
**************************************
หวัดดีทุกคน ฉันชื่ออลียาห์ อายุ 33 ปี หรือเรียกสั้นๆ ว่าลียาร์ หลังจากเกิดเหตุในที่ทำงาน ฉันถูกสั่งให้เข้ารับการบำบัดอย่างน้อยแปดครั้ง และเพื่อเป็นการฟื้นฟู หมอแนะนำให้ฉันพูดคุยอย่างเปิดอกเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เจ็บปวดสมัยเด็ก ฉันเลยคิดว่าจะใช้แพลตฟอร์มนี้เล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ฟัง
เอาละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
หน้าร้อนปีนั้น หน้าฉันหาย...
ชื่อเรื่องฟังดูตลกดีใช่มั้ยละ มันเป็นเหตุการณ์ประเภทที่ห่างไกลจากส่วนอื่นๆ ในชีวิตฉัน จนเมื่อมองย้อนกลับไปมันรู้สึกเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นและฉันแค่เล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ และจนถึงทุกวันนี้ ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะคิดกับมันยังไงดี
ช่วงฤดูร้อนในปี 2001 ตอนนั้นฉันอายุแค่สิบเอ็ดปี ฉันเล่นกับ "ไอมานี" เพื่อนของฉันทั้งวันจนลืมเวลา ฉันควรจะกลับบ้านทันทีหลังอาหารเย็นที่บ้านเพื่อน แต่ดันเผลอดูหนังจนจบเรื่องถึงได้รู้ตัวว่ามันเลยเวลากลับบ้านไปเยอะแล้ว แม่ของฉันออกจะเป็นห่วงฉันเอามากๆ เสียด้วยสิ เพราะแม่มีฉันตอนท่านอายุมากแล้วแถมฉันยังเป็นลูกสาวคนเดียวอีกด้วย ฉันถูกเรียกว่า "เด็กปาฏิหาริย์" อยู่บ่อยๆ
ตอนนี้ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว และเส้นทางกลับบ้านที่สั้นที่สุดคือเส้นที่ต้องเดินผ่านทะเลสาปชื่อ "ทะเลสาปกบ" มันเป็นเส้นทางที่ฉันถูกห้ามไม่ให้เดินผ่านเพราะไฟถนนตรงนั้นเสีย แต่เส้นทางนั้นตัดผ่านสวนสาธารณะ มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด ฉันเลยตัดสินใจไปทางนั้น
ฉันเดินตัดผ่านสวนสาธารณะไปได้ครึ่ง พลางหอบหายใจแรงเหมือนม้าแข่ง ผมที่ถักเปียไว้ข้างหนึ่งหลุดลุ่ยและปอยผมคอยจะทิ่มจมูกอยู่ตลอดเวลาทำเอาฉันต้องหยุดเดินเพื่อจามทุกๆ 200 ฟุต ฉันพยายามสุดกำลังที่จะวิ่งให้ได้ตลอดทางแต่ถนนตอนนั้นมืดมากเสียจนเกือบเดินตกถนน ฉันต้องชลอฝีเท้าเพื่อหอบหายใจและพยายามหรี่ตามองเส้นทางให้ชัดเจน คุณไม่อยากหลงทางแถวนี้ เพราะอาจจมน้ำตายเอาง่ายๆ หรือไม่งั้นชายหน้าเหมือนกบจะโผล่มาลากคุณลงทะเลสาปเพื่อกินลูกอ๊อด นั่นเป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่บอกเราอยู่บ่อยๆ หวังจะทำให้เรากลัวจะได้ไม่กล้าเดินไปแถวนั้น
ฉันหยุดที่ทางแยกบนถนนตอนได้ยินเสียงคนร้องไห้ ไม่ได้ดังอะไรมาก แค่เสียงร้องกระซิกเบาๆ ฟังดูเหมือนเสียงเด็กผู้หญิงที่เด็กกว่าฉันเสียอีก ฉันรู้ว่าฉันควรเดินต่อเหมือนอย่างที่แม่สอนไว้ แต่เสียงร้องไห้นั่นทำฉันรู้สึกเศร้า ฉันต้องเช็กดูว่าเด็กคนนั้นโอเคหรือเปล่า
ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่พลางมองไปรอบตัว เห็นใครคนหนึ่งนั่งบนม้านั่งยาวใต้ไฟถนนดวงเดียวที่ส่องสว่างอยู่ตอนนี้ เธอเป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นเดียวกันกับฉัน มัดผมเป็นจุกๆ หลายจุก สวมชุดกระโปรงสีฟ้าสว่าง เธอนั่งขดเอาหน้าซบเข่า
ถึงแม่ฉันจะสอนเสมอให้เชื่อฟังคำที่แม่สอน แต่แม่ก็สอนให้ฉันทำตามที่ใจสั่งด้วยเหมือนกัน ฉันเลยเดินเข้าไปหาเธอ..
ฉันลงนั่งข้างเธอที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้และสูดน้ำมูกฟุดฟิดเบาๆ ราวกับว่าเธอนั่งอยู่แบบนี้มาทั้งวัน ฉันกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด
"หวัดดี" ฉันพูด "ฉันชื่อลียาร์"
เธอไม่ตอบ ขยับหันหลังให้ฉัน
"เธอโอเคหรือเปล่า?" ฉันถาม "ร้องไห้ทำไมเหรอ?"
"ทุกคน.. ทุกคนใจร้าย" เธอพูด "พวกเขาใจร้ายและฉันเกลียดพวกเขา"
"ทำไมเหรอ พวกเขาทำอะไรเธอ?"
"พวกเขาใส่สร้อยข้อมือนี่บนข้อมือฉันและฉันถอดมันไม่ออก" เธอร้องไห้ "พวกเขาบอกว่ามันเป็นสร้อยข้อมือของเด็กขี้เหร่"
เธอยื่นมือให้ฉันดูและสร้อยข้อมือนั่น มันดูเหมือนทำจากทองแดงที่มีสี่เหลี่ยมเล็กๆ เชื่อมกับวงแหวนเหล็ก มีภาพเงาคนหลายคนสีขาวฝังอยู่ในสี่เหลี่ยมพวกนั้นและมีรอยสีแดงเหล็กอยู่ตรงกลาง ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ด้านข้างดูคมมากพอที่จะบาดมือได้เลย มันดูอันตรายยังไงก็ไม่รู้
"ไหนดูซิ" ฉันพูด จับมือเธอแล้วขยับเข้าใกล้อีกหน่อย
ตัวสร้อยข้อมือไม่มีตะขอสำหรับใส่หรือถอด แต่วงแหวนบางส่วนดูสึกกร่อนอยู่บ้าง ฉันลองเอาฟันกัดแรงๆ จนเป็นรอยบุบ จากนั้นใช้ฟันดึงจนมันขาดออกจากกัน ปากฉันโดนบาดนิดหน่อย
ทันทีที่สร้อยข้อมือขาดออก เสียงร้องไห้หยุดลงและเด็กคนนั้นหันมาทางฉัน
"ขอบใจนะลียาร์" เธอพูด "ฉันรอให้คนมาช่วยทั้งวันเลย"
และพอเธอคนนั้นหันมา เธอยิ้มให้ฉัน ดวงตาและจมูกของเธอไม่ได้แดงเหมือนเพิ่งร้องไห้มา เธอดูปกติดีทุกอย่าง
และเธอมีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ...
ฉันมองเธอค้างอยู่แบบนั้น เธอโบกมือให้ฉัน ตอนนี้บนแขนของเธอไม่มีสร้อยข้อมือเส้นนั้นอยู่แล้วและเธอก้าวกระโดดพลางหัวเราะคิกคักอย่างตื่นเต้นขณะเดินห่างออกไป สร้อยข้อมือเส้นนั้นตอนนี้กลายเป็นฝุ่นผงในมือฉัน แสงไฟถนนเหนือหัวที่เป็นไฟดวงเดียวที่ใช้การได้ในสวนสาธารณะแห่งนี้กระพริบ มีบางอย่างผิดปกติเอามากๆ ฉันรีบลุกยืนแล้ววิ่งกลับบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
พอกลับถึงบ้าน พ่อฉันยืนรออยู่ที่ประตู ฉันปิดประตูตามหลัง เตะรองเท้าออกจากเท้าแล้ววิ่งไปหาพ่อร้องไห้โฮ ฉันกอดพ่อไว้แน่นตัวสั่นเทา
หลังเวลาผ่านไปสองสามวินาที ฉันสังเกตว่าพ่อไม่ขยับเขยื้อน ไม่ลูบหลัง ไม่พูดปลอบโยนอะไรทั้งนั้น แถมไม่เรียกชื่อเล่นฉันอย่างรักใคร่เหมือนที่เคย ฉันก้าวถอยหลังแล้วมองพ่อ
พ่อยื่นมือมาข้างหน้าเหมือนเตรียมพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ดวงตาเบิกโพลงอย่างตื่นกลัวและปากอ้าค้างเหมือนปลาขาดน้ำ พ่อไม่เคยมองฉันดวงสีหน้าแบบนี้มาก่อน
"พ่อคะ..?"
พ่อหงายล้มไปข้างหลังทำเอาโคมไฟบนโต๊ะหล่นกระแแทกพื้น เขาคลานออกห่าง
"จะ.. จาด้า!" พ่อตะโกน "จาด้า!"
ฉันยังร้องไห้ไม่หยุด ฉันกลัวและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อมองฉันเหมือนฉันเป็นสัตว์ป่าน่าสะพรึงกลัว เขารีบวิ่งไปหลังบ้านปากตะโกนเรียกแม่ครั้งแล้วครั้งแล่า เสียงพ่อแหลมสูงอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ราวกับว่าเขาบาดเจ็บ ฉันทรุดลงนั่งกับพื้นร้องไห้ไม่หยุด
ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นหลายนาทีจนได้ยินเสียงประตูเปิด ฉันไม่ได้เงยหน้ามอง กลัวเหลือเกินว่าจะเห็นสีหน้าพ่อแบบนั้นอีก
"ลียาร์ลูกรัก?" เสียงแม่พูด "ลูกรัก ลูกอยู่ที่นั่นหรือเปล่า?"
ฉันลุกยืน แม่ฉันร้องเรียกมาจากมุมห้อง แม่มีผ้าปิดตาอยู่
"หนูอยู่นี่" ฉันพูด
"มานี่มาลูกแม่"
ฉันเดินไปหาแม่ขณะแม่ยื่นสองแขนมาข้างหน้า พอฉันยืนห่างจากเธอประมาณ 6 ฟุต แม่ทำมือเหมือนให้ฉันหยุดอยู่กับที่
"ช้าๆ ลูก เดินมาช้าๆ นะ" แม่พูดอย่างอ่อนโยน
ฉันเดินเข้าหาแม่ช้าๆ และเราจับมือกัน
"ลูกไปที่ทะเลสาปมาหรือเปล่า?" แม่ถาม "แม่ต้องรู้ บอกแม่มาตามตรง"
"หนู.. หนูไม่อยากกลับบ้านช้า หนูกลัวแม่โมโห" ฉันพูดเบาๆ
"ลูกเลยใช้เส้นทางที่ต้องเดินผ่านทะเลสาปใช่หรือเปล่า?"
ฉันหายใจเข้าลึก แม่ยังบีบมือฉันไว้แน่น
"ใช่ค่ะ หนูขอโทษ"
แม่ฉันกลืนน้ำลาย หายใจติดขัดอย่างตื่นตระหนก
"เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกันโอเคมั้ย?" แม่พูด "เรา.. เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน"
แม่เดินคลำทางกลับไปที่ห้องครัวแล้วดึงเอาถุงกระดาษออกมา บอกว่าเราจะเล่นเกมกันและฉันจะได้รางวัลถ้าเอาถุงคลุมหัวไว้ ฉันจะเจาะรูถุงให้มองผ่านถุงออกมาได้ถ้าฉันใส่แว่นกันแดดไว้ข้างใน แต่ห้ามถอดถุงกระดาษออกเด็ดขาด ถ้าจะถอดฉันจะต้องเตือนพ่อกับแม่ก่อน
ตลอดเวลาที่แม่อธิบาย ฉันเห็นพ่ออ้วกหมดไส้หมดพุงที่สวนหลังบ้าน
"ลูกต้องเอาถุงคลุมหัวไว้ตลอดนะ" แม่พูด "สัญญากับแม่นะลูกรัก"
และฉันสัญญา..
-----------
คืนนั้น พ่อแทบไม่มองฉันเลย แค่หันมามองด้วยหางตาไวๆ และฉันบอกได้ว่ามันทำพ่อเสียใจ พ่ออยากกอดฉัน อยากปลอบโยนฉัน แต่กลัวเกินกว่าจะทำลง ฉันไม่เคยเห็นพ่อกลัวอะไรมาก่อนเลย การได้เห็นพ่อกลัวฉันแบบนั้นทำฉันใจแตกสลาย ฉันมองเห็นความขัดแย้งในใจพ่อ แต่อย่างน้อยตอนนี้พ่อก็กลับมาเรียกฉันว่า "ลียาร์ลูกรัก" อีกครั้ง
แม่ทำแซนวิชและนมช็อกโกแลตให้ฉันกิน แต่ฉันต้องไปกินในห้องนอน พอกินเสร็จ ฉันต้องเอาถุงคลุมหัวอีกครั้งทันที
คืนนั้น ฉันนั่งกินแซนวิชที่ขอบเตียงเงียบๆ แม่รออยู่นอกห้อง แม่เข้ามาในห้องไม่ได้ถ้าฉันไม่มีถุงคลุมหัว ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันจะเข้าใจได้ยังไงกัน?
"แม่" ฉันพูด "เกิดอะไรขึ้นคะ?"
"มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นน่ะลูก" แม่พูด "แต่เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน ลูกจะไม่เป็นไร"
"หนูไม่ได้รู้สึกป่วยนะแม่"
"แม่รู้จ้ะ ลูกแข็งแรงดี ลูกแค่ต้องอดทนนะ"
"พรุ่งนี้อิมานีมาบ้านเราได้มั้ยคะ?"
"ไม่ได้นะลูกรัก เพื่อนลูกจะมาที่นี่ไม่ได้จนกว่าลูกจะอาการดีขึ้น"
พอกินเสร็จและฉันเอาถุงคลุมหัว แม่ฉันเดินเข้ามาในห้องเพื่อเก็บจานและเอาแก้วน้ำ, แปรงสีฟัน และยาสีฟันมาให้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม่ไม่ให้ฉันแปรงฟันในห้องน้ำ
ฉันแปรงฟันเสร็จแล้วเอาถุงคลุมหัวอีกครั้ง แม่บอกราตรีสวัสดิ์กับฉันผ่านประตู ฉันได้ยินเสียงแม่สะอื้นขณะเดินกลับลงไปชั้นล่าง
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับและใจเต้นเร็วแรงทั้งคืน ในที่สุดฉันตัดสินใจจะเดินไปเข้าห้องน้ำแต่พบว่าเปิดประตูห้องนอนไม่ได้
ฉันได้ยินเสียงพอกับแม่เถียงกันอยู่ชั้นล่าง
"ผมจะโทรหาพวกเขา" พ่อพูด "พรุ่งนี้เช้า"
"คุณคิดว่าพวกเขาจะ.. จะช่วยเราเหรอ? คุณคิดว่าพวกเขาจะทำเพื่อเราหรือไง?"
"งั้นเราจะทำยังไงล่ะ?" พ่อพูด
"คุณลืมแล้วหรือไงว่าคราวก่อนเราต้องเสียอะไรไป? ลืมไปแล้วเหรอว่าเราแลกลูกของเรามาด้วยอะไร?"
"ผมไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้น แต่เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ล่ะถ้าไม่โทรหาพวกนั้นน่ะ?"
"เราต้องใช้ปืน"
-------
วันรุ่งขึ้นฉันตื่นแต่เช้าตรู่ แม่ฉันมาเปิดประตูให้ฉันออกจากห้องในที่สุด แต่แม่บอกว่ามีกฎสองสามข้อที่ฉันต้องทำตามจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
หนึ่งคือ ฉันจะต้องอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปข้างนอก
สอง ฉันต้องไม่มองเงาสะท้อนของตัวเอง ไม่ว่าจะจากแอ่งน้ำ กระจกหน้าต่าง หรือกระจกเงาในห้องน้ำ ห้ามทั้งหมด
สาม ห้ามฉันแตะต้องหน้าของตัวเองโดยไม่ใส่ถุงมือเด็ดขาด (แม่เอาถุงมือเตาอบให้ฉันใส่)
และท้ายที่สุด ถ้าฉันจะถอดถุงกระดาษที่คลุมหัวออก ฉันจะต้องบอกพ่อกับแม่ก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง
---------
วันแรกวันนั้นมันแย่มากเลยล่ะ ฉันรู้สึกอึดอัดเพราะไอ้ถุงคลุมหัวบ้าๆ นั่นทำเอาหายใจลำบาก มีอยู่ครั้งนึงที่ฉันเผลอดึงถุงกระดาษออก แม่รีบยกมือขึ้นปิดตาตัวเองก่อนจะสายเกินไป พอฉันเอาถุงคลุมหัวอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าแม่โมโหน่าดู แม่เกือบจะพลั้งมือตีฉันเข้าให้แล้ว ฉันไม่เคยเห็นแม่มองฉันแบบนั้นมาก่อนเลย
"ได้โปรดละ.. ลูก.. ลูกจะถอดถุงกระดาษออกไม่ได้นะ" แม่พูด "ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเลย"
ส่วนพ่อก็ไม่เคยอยู่บ้านเลย ออกไปข้างนอกตลอดวัน จะกลับมาก็แค่เพื่อมาเอาอะไรบางอย่างจากโรงจอดรถ พ่อกับแม่คุยกันนิดหน่อยตรงถนนทางเข้าบ้านก่อนพ่อจะขับกลับออกไปข้างนอกอีกครั้ง ดูเหมือนพ่อร้องไห้แทบตลอดเวลาเลย
ตลอดเวลาช่วงนั้น ฉันใช้ชีวิตในทุกวันโดยมีถุงกระดาษคลุมหัวและสวมถุงมือ แม่เก็บกระจกเงาทุกบานออกจากบ้าน และพ่อเอาเทปสีน้ำตาลแปะคลุมหน้าต่างทุกบานในบ้าน
แม่พยายามทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นโดยการอนุญาตให้ฉันโทรคุยกับไอมานี ตราบเท่าที่ฉันไม่บอกอะไรเพื่อนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
-----------
(เดี๋ยวมาต่อค่ะ)
หน้าร้อนปีนั้น หน้าฉันหาย - เรื่องแปลหลอนๆ
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ อยากให้ตามมาอ่านกันเยอะๆ ค่ะ ^^
**ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้นนะคะ ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะคะ**
มาเริ่มกันเลยค่ะ
**************************************
เอาละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
หน้าร้อนปีนั้น หน้าฉันหาย...
ชื่อเรื่องฟังดูตลกดีใช่มั้ยละ มันเป็นเหตุการณ์ประเภทที่ห่างไกลจากส่วนอื่นๆ ในชีวิตฉัน จนเมื่อมองย้อนกลับไปมันรู้สึกเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นและฉันแค่เล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ และจนถึงทุกวันนี้ ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะคิดกับมันยังไงดี
ช่วงฤดูร้อนในปี 2001 ตอนนั้นฉันอายุแค่สิบเอ็ดปี ฉันเล่นกับ "ไอมานี" เพื่อนของฉันทั้งวันจนลืมเวลา ฉันควรจะกลับบ้านทันทีหลังอาหารเย็นที่บ้านเพื่อน แต่ดันเผลอดูหนังจนจบเรื่องถึงได้รู้ตัวว่ามันเลยเวลากลับบ้านไปเยอะแล้ว แม่ของฉันออกจะเป็นห่วงฉันเอามากๆ เสียด้วยสิ เพราะแม่มีฉันตอนท่านอายุมากแล้วแถมฉันยังเป็นลูกสาวคนเดียวอีกด้วย ฉันถูกเรียกว่า "เด็กปาฏิหาริย์" อยู่บ่อยๆ
ตอนนี้ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว และเส้นทางกลับบ้านที่สั้นที่สุดคือเส้นที่ต้องเดินผ่านทะเลสาปชื่อ "ทะเลสาปกบ" มันเป็นเส้นทางที่ฉันถูกห้ามไม่ให้เดินผ่านเพราะไฟถนนตรงนั้นเสีย แต่เส้นทางนั้นตัดผ่านสวนสาธารณะ มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด ฉันเลยตัดสินใจไปทางนั้น
ฉันเดินตัดผ่านสวนสาธารณะไปได้ครึ่ง พลางหอบหายใจแรงเหมือนม้าแข่ง ผมที่ถักเปียไว้ข้างหนึ่งหลุดลุ่ยและปอยผมคอยจะทิ่มจมูกอยู่ตลอดเวลาทำเอาฉันต้องหยุดเดินเพื่อจามทุกๆ 200 ฟุต ฉันพยายามสุดกำลังที่จะวิ่งให้ได้ตลอดทางแต่ถนนตอนนั้นมืดมากเสียจนเกือบเดินตกถนน ฉันต้องชลอฝีเท้าเพื่อหอบหายใจและพยายามหรี่ตามองเส้นทางให้ชัดเจน คุณไม่อยากหลงทางแถวนี้ เพราะอาจจมน้ำตายเอาง่ายๆ หรือไม่งั้นชายหน้าเหมือนกบจะโผล่มาลากคุณลงทะเลสาปเพื่อกินลูกอ๊อด นั่นเป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่บอกเราอยู่บ่อยๆ หวังจะทำให้เรากลัวจะได้ไม่กล้าเดินไปแถวนั้น
ฉันหยุดที่ทางแยกบนถนนตอนได้ยินเสียงคนร้องไห้ ไม่ได้ดังอะไรมาก แค่เสียงร้องกระซิกเบาๆ ฟังดูเหมือนเสียงเด็กผู้หญิงที่เด็กกว่าฉันเสียอีก ฉันรู้ว่าฉันควรเดินต่อเหมือนอย่างที่แม่สอนไว้ แต่เสียงร้องไห้นั่นทำฉันรู้สึกเศร้า ฉันต้องเช็กดูว่าเด็กคนนั้นโอเคหรือเปล่า
ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่พลางมองไปรอบตัว เห็นใครคนหนึ่งนั่งบนม้านั่งยาวใต้ไฟถนนดวงเดียวที่ส่องสว่างอยู่ตอนนี้ เธอเป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นเดียวกันกับฉัน มัดผมเป็นจุกๆ หลายจุก สวมชุดกระโปรงสีฟ้าสว่าง เธอนั่งขดเอาหน้าซบเข่า
ถึงแม่ฉันจะสอนเสมอให้เชื่อฟังคำที่แม่สอน แต่แม่ก็สอนให้ฉันทำตามที่ใจสั่งด้วยเหมือนกัน ฉันเลยเดินเข้าไปหาเธอ..
ฉันลงนั่งข้างเธอที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้และสูดน้ำมูกฟุดฟิดเบาๆ ราวกับว่าเธอนั่งอยู่แบบนี้มาทั้งวัน ฉันกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด
"หวัดดี" ฉันพูด "ฉันชื่อลียาร์"
เธอไม่ตอบ ขยับหันหลังให้ฉัน
"เธอโอเคหรือเปล่า?" ฉันถาม "ร้องไห้ทำไมเหรอ?"
"ทุกคน.. ทุกคนใจร้าย" เธอพูด "พวกเขาใจร้ายและฉันเกลียดพวกเขา"
"ทำไมเหรอ พวกเขาทำอะไรเธอ?"
"พวกเขาใส่สร้อยข้อมือนี่บนข้อมือฉันและฉันถอดมันไม่ออก" เธอร้องไห้ "พวกเขาบอกว่ามันเป็นสร้อยข้อมือของเด็กขี้เหร่"
เธอยื่นมือให้ฉันดูและสร้อยข้อมือนั่น มันดูเหมือนทำจากทองแดงที่มีสี่เหลี่ยมเล็กๆ เชื่อมกับวงแหวนเหล็ก มีภาพเงาคนหลายคนสีขาวฝังอยู่ในสี่เหลี่ยมพวกนั้นและมีรอยสีแดงเหล็กอยู่ตรงกลาง ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ด้านข้างดูคมมากพอที่จะบาดมือได้เลย มันดูอันตรายยังไงก็ไม่รู้
"ไหนดูซิ" ฉันพูด จับมือเธอแล้วขยับเข้าใกล้อีกหน่อย
ตัวสร้อยข้อมือไม่มีตะขอสำหรับใส่หรือถอด แต่วงแหวนบางส่วนดูสึกกร่อนอยู่บ้าง ฉันลองเอาฟันกัดแรงๆ จนเป็นรอยบุบ จากนั้นใช้ฟันดึงจนมันขาดออกจากกัน ปากฉันโดนบาดนิดหน่อย
ทันทีที่สร้อยข้อมือขาดออก เสียงร้องไห้หยุดลงและเด็กคนนั้นหันมาทางฉัน
"ขอบใจนะลียาร์" เธอพูด "ฉันรอให้คนมาช่วยทั้งวันเลย"
และพอเธอคนนั้นหันมา เธอยิ้มให้ฉัน ดวงตาและจมูกของเธอไม่ได้แดงเหมือนเพิ่งร้องไห้มา เธอดูปกติดีทุกอย่าง
และเธอมีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ...
ฉันมองเธอค้างอยู่แบบนั้น เธอโบกมือให้ฉัน ตอนนี้บนแขนของเธอไม่มีสร้อยข้อมือเส้นนั้นอยู่แล้วและเธอก้าวกระโดดพลางหัวเราะคิกคักอย่างตื่นเต้นขณะเดินห่างออกไป สร้อยข้อมือเส้นนั้นตอนนี้กลายเป็นฝุ่นผงในมือฉัน แสงไฟถนนเหนือหัวที่เป็นไฟดวงเดียวที่ใช้การได้ในสวนสาธารณะแห่งนี้กระพริบ มีบางอย่างผิดปกติเอามากๆ ฉันรีบลุกยืนแล้ววิ่งกลับบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
พอกลับถึงบ้าน พ่อฉันยืนรออยู่ที่ประตู ฉันปิดประตูตามหลัง เตะรองเท้าออกจากเท้าแล้ววิ่งไปหาพ่อร้องไห้โฮ ฉันกอดพ่อไว้แน่นตัวสั่นเทา
หลังเวลาผ่านไปสองสามวินาที ฉันสังเกตว่าพ่อไม่ขยับเขยื้อน ไม่ลูบหลัง ไม่พูดปลอบโยนอะไรทั้งนั้น แถมไม่เรียกชื่อเล่นฉันอย่างรักใคร่เหมือนที่เคย ฉันก้าวถอยหลังแล้วมองพ่อ
พ่อยื่นมือมาข้างหน้าเหมือนเตรียมพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ดวงตาเบิกโพลงอย่างตื่นกลัวและปากอ้าค้างเหมือนปลาขาดน้ำ พ่อไม่เคยมองฉันดวงสีหน้าแบบนี้มาก่อน
"พ่อคะ..?"
พ่อหงายล้มไปข้างหลังทำเอาโคมไฟบนโต๊ะหล่นกระแแทกพื้น เขาคลานออกห่าง
"จะ.. จาด้า!" พ่อตะโกน "จาด้า!"
ฉันยังร้องไห้ไม่หยุด ฉันกลัวและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อมองฉันเหมือนฉันเป็นสัตว์ป่าน่าสะพรึงกลัว เขารีบวิ่งไปหลังบ้านปากตะโกนเรียกแม่ครั้งแล้วครั้งแล่า เสียงพ่อแหลมสูงอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ราวกับว่าเขาบาดเจ็บ ฉันทรุดลงนั่งกับพื้นร้องไห้ไม่หยุด
ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นหลายนาทีจนได้ยินเสียงประตูเปิด ฉันไม่ได้เงยหน้ามอง กลัวเหลือเกินว่าจะเห็นสีหน้าพ่อแบบนั้นอีก
"ลียาร์ลูกรัก?" เสียงแม่พูด "ลูกรัก ลูกอยู่ที่นั่นหรือเปล่า?"
ฉันลุกยืน แม่ฉันร้องเรียกมาจากมุมห้อง แม่มีผ้าปิดตาอยู่
"หนูอยู่นี่" ฉันพูด
"มานี่มาลูกแม่"
ฉันเดินไปหาแม่ขณะแม่ยื่นสองแขนมาข้างหน้า พอฉันยืนห่างจากเธอประมาณ 6 ฟุต แม่ทำมือเหมือนให้ฉันหยุดอยู่กับที่
"ช้าๆ ลูก เดินมาช้าๆ นะ" แม่พูดอย่างอ่อนโยน
ฉันเดินเข้าหาแม่ช้าๆ และเราจับมือกัน
"ลูกไปที่ทะเลสาปมาหรือเปล่า?" แม่ถาม "แม่ต้องรู้ บอกแม่มาตามตรง"
"หนู.. หนูไม่อยากกลับบ้านช้า หนูกลัวแม่โมโห" ฉันพูดเบาๆ
"ลูกเลยใช้เส้นทางที่ต้องเดินผ่านทะเลสาปใช่หรือเปล่า?"
ฉันหายใจเข้าลึก แม่ยังบีบมือฉันไว้แน่น
"ใช่ค่ะ หนูขอโทษ"
แม่ฉันกลืนน้ำลาย หายใจติดขัดอย่างตื่นตระหนก
"เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกันโอเคมั้ย?" แม่พูด "เรา.. เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน"
แม่เดินคลำทางกลับไปที่ห้องครัวแล้วดึงเอาถุงกระดาษออกมา บอกว่าเราจะเล่นเกมกันและฉันจะได้รางวัลถ้าเอาถุงคลุมหัวไว้ ฉันจะเจาะรูถุงให้มองผ่านถุงออกมาได้ถ้าฉันใส่แว่นกันแดดไว้ข้างใน แต่ห้ามถอดถุงกระดาษออกเด็ดขาด ถ้าจะถอดฉันจะต้องเตือนพ่อกับแม่ก่อน
ตลอดเวลาที่แม่อธิบาย ฉันเห็นพ่ออ้วกหมดไส้หมดพุงที่สวนหลังบ้าน
"ลูกต้องเอาถุงคลุมหัวไว้ตลอดนะ" แม่พูด "สัญญากับแม่นะลูกรัก"
และฉันสัญญา..
-----------
คืนนั้น พ่อแทบไม่มองฉันเลย แค่หันมามองด้วยหางตาไวๆ และฉันบอกได้ว่ามันทำพ่อเสียใจ พ่ออยากกอดฉัน อยากปลอบโยนฉัน แต่กลัวเกินกว่าจะทำลง ฉันไม่เคยเห็นพ่อกลัวอะไรมาก่อนเลย การได้เห็นพ่อกลัวฉันแบบนั้นทำฉันใจแตกสลาย ฉันมองเห็นความขัดแย้งในใจพ่อ แต่อย่างน้อยตอนนี้พ่อก็กลับมาเรียกฉันว่า "ลียาร์ลูกรัก" อีกครั้ง
แม่ทำแซนวิชและนมช็อกโกแลตให้ฉันกิน แต่ฉันต้องไปกินในห้องนอน พอกินเสร็จ ฉันต้องเอาถุงคลุมหัวอีกครั้งทันที
คืนนั้น ฉันนั่งกินแซนวิชที่ขอบเตียงเงียบๆ แม่รออยู่นอกห้อง แม่เข้ามาในห้องไม่ได้ถ้าฉันไม่มีถุงคลุมหัว ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันจะเข้าใจได้ยังไงกัน?
"แม่" ฉันพูด "เกิดอะไรขึ้นคะ?"
"มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นน่ะลูก" แม่พูด "แต่เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน ลูกจะไม่เป็นไร"
"หนูไม่ได้รู้สึกป่วยนะแม่"
"แม่รู้จ้ะ ลูกแข็งแรงดี ลูกแค่ต้องอดทนนะ"
"พรุ่งนี้อิมานีมาบ้านเราได้มั้ยคะ?"
"ไม่ได้นะลูกรัก เพื่อนลูกจะมาที่นี่ไม่ได้จนกว่าลูกจะอาการดีขึ้น"
พอกินเสร็จและฉันเอาถุงคลุมหัว แม่ฉันเดินเข้ามาในห้องเพื่อเก็บจานและเอาแก้วน้ำ, แปรงสีฟัน และยาสีฟันมาให้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม่ไม่ให้ฉันแปรงฟันในห้องน้ำ
ฉันแปรงฟันเสร็จแล้วเอาถุงคลุมหัวอีกครั้ง แม่บอกราตรีสวัสดิ์กับฉันผ่านประตู ฉันได้ยินเสียงแม่สะอื้นขณะเดินกลับลงไปชั้นล่าง
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับและใจเต้นเร็วแรงทั้งคืน ในที่สุดฉันตัดสินใจจะเดินไปเข้าห้องน้ำแต่พบว่าเปิดประตูห้องนอนไม่ได้
ฉันได้ยินเสียงพอกับแม่เถียงกันอยู่ชั้นล่าง
"ผมจะโทรหาพวกเขา" พ่อพูด "พรุ่งนี้เช้า"
"คุณคิดว่าพวกเขาจะ.. จะช่วยเราเหรอ? คุณคิดว่าพวกเขาจะทำเพื่อเราหรือไง?"
"งั้นเราจะทำยังไงล่ะ?" พ่อพูด
"คุณลืมแล้วหรือไงว่าคราวก่อนเราต้องเสียอะไรไป? ลืมไปแล้วเหรอว่าเราแลกลูกของเรามาด้วยอะไร?"
"ผมไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้น แต่เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ล่ะถ้าไม่โทรหาพวกนั้นน่ะ?"
"เราต้องใช้ปืน"
-------
วันรุ่งขึ้นฉันตื่นแต่เช้าตรู่ แม่ฉันมาเปิดประตูให้ฉันออกจากห้องในที่สุด แต่แม่บอกว่ามีกฎสองสามข้อที่ฉันต้องทำตามจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
หนึ่งคือ ฉันจะต้องอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปข้างนอก
สอง ฉันต้องไม่มองเงาสะท้อนของตัวเอง ไม่ว่าจะจากแอ่งน้ำ กระจกหน้าต่าง หรือกระจกเงาในห้องน้ำ ห้ามทั้งหมด
สาม ห้ามฉันแตะต้องหน้าของตัวเองโดยไม่ใส่ถุงมือเด็ดขาด (แม่เอาถุงมือเตาอบให้ฉันใส่)
และท้ายที่สุด ถ้าฉันจะถอดถุงกระดาษที่คลุมหัวออก ฉันจะต้องบอกพ่อกับแม่ก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง
---------
วันแรกวันนั้นมันแย่มากเลยล่ะ ฉันรู้สึกอึดอัดเพราะไอ้ถุงคลุมหัวบ้าๆ นั่นทำเอาหายใจลำบาก มีอยู่ครั้งนึงที่ฉันเผลอดึงถุงกระดาษออก แม่รีบยกมือขึ้นปิดตาตัวเองก่อนจะสายเกินไป พอฉันเอาถุงคลุมหัวอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าแม่โมโหน่าดู แม่เกือบจะพลั้งมือตีฉันเข้าให้แล้ว ฉันไม่เคยเห็นแม่มองฉันแบบนั้นมาก่อนเลย
"ได้โปรดละ.. ลูก.. ลูกจะถอดถุงกระดาษออกไม่ได้นะ" แม่พูด "ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเลย"
ส่วนพ่อก็ไม่เคยอยู่บ้านเลย ออกไปข้างนอกตลอดวัน จะกลับมาก็แค่เพื่อมาเอาอะไรบางอย่างจากโรงจอดรถ พ่อกับแม่คุยกันนิดหน่อยตรงถนนทางเข้าบ้านก่อนพ่อจะขับกลับออกไปข้างนอกอีกครั้ง ดูเหมือนพ่อร้องไห้แทบตลอดเวลาเลย
ตลอดเวลาช่วงนั้น ฉันใช้ชีวิตในทุกวันโดยมีถุงกระดาษคลุมหัวและสวมถุงมือ แม่เก็บกระจกเงาทุกบานออกจากบ้าน และพ่อเอาเทปสีน้ำตาลแปะคลุมหน้าต่างทุกบานในบ้าน
แม่พยายามทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นโดยการอนุญาตให้ฉันโทรคุยกับไอมานี ตราบเท่าที่ฉันไม่บอกอะไรเพื่อนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
-----------
(เดี๋ยวมาต่อค่ะ)