จากกรณีที่มีข่าวน้องหยก ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิ์ในการแต่งชุดไปรเวทได้เพื่อมาเรียนหนังสือ จนเกิดกรณีน้องหยกปีนรั้วเข้ามาภายในโรงเรียน แต่งกายด้วยชุดไปรเวทเดินเข้ามาเรียนปกติ และนำมาสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับสิทธิ์ในการเป็นนักเรียนของน้องหยกว่ามาจากชุดนักเรียนหรือการรายงานตัวที่ไม่ถูกต้องตามเกณฑ์ของโรงเรียนกันแน่นั้น
สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับข้อสรุปตรงนี้นะครับ เพราะยังไงเราก็ยังต้องติดตามข่าวกันต่อไป แต่สิ่งที่ผมอยากจะชวนถกกันคือ ประเด็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนการแต่งชุดนักเรีนนมาเรียน เป็นชุดไปรเวท (ที่สุภาพ) ว่า สมัยนี้ ชุดนักเรียนยังมีความจำเป็นอยู่มั้ย เนื่องจากตอนนี้สังคมค่อนข้างเสียงแตกกับประเด็นนี้มาก และเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายของก้าวไกลด้วย
ขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนยุคกึ่งความคิดเก่า/ใหม่นะครับ (90s') ยุคผมสื่อยังไม่ค่อยมากเท่าตอนนี้ ผมก็แต่งชุดนักเรียนตามปกติ แต่พอมารุ่นหลัง ผมกลับรู้สึกว่า เป็นไปได้ก็ควรที่จะยกเลิก แต่ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า สิ่งที่ผมมองเกี่ยวกับประเด็นน้องหยก ผมมองว่า น้องใช้วิธีการเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง บุ่มบ่ามไป แบบนี้อาจจะทำให้หลายคนเดือดร้อน และมองน้องว่าเป็นคนหัวแข็งได้ อยากให้น้องใช้วิธีการตั้งคำถามไปกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า ผมเชื่อครับว่า น้ำหยดลงหินนานเท่าไหร่ หินก็กร่อย ในสักวัน ผู้ใหญ่ก็ต้องยอมตามสักวันครับ
ใช่ครับและถึงแม้ว่า จะมีหลายคนว่า ไปอยู่สังคมนั้นก็ต้องปฏิบัติตามกฏที่สังคมนั้นกำหนดสิ อย่านอกคอก ถ้าไม่อยากใส่ชุดนักเรียน ก็หาโรงเรียนใหม่ที่ให้ใส่ไปรเวทได้สิ ผมเชื่อว่ามันต้องมีคนเห็นแบบนี้
แต่ทุกคนน่าจะลืมไปว่า ทำไมเราถึงต้องมาคุยกันในประเด็นว่าควรยกเลิกใส่ชุดนักเรียนหรือไม่ยกเลิกดีนะ ชุดนักเรียนมีเกียรตินะ แสดงว่าเราคือนักเรียนนะ ก็ว่ากันไปครับ ถ้าเราจะพูดถึงประเด็นนี้กัน ถกเถียกยังไงก็ไม่จบครับ
ทำไมเราไม่มาแก้ปัญหากันที่ "ราคา" ชุดนักเรียนกันละครับ เรื่องราคานี่แหละคือตัวบอกความเหลื่อมล้ำชั้นดีเลย นึกตามสิครับ ครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ เขาต้องทำงานหนัก กู้ยืมมา เพื่อเอาเงินมาซื้อชุดนักเรียนต่อปีให้ลูกตัวเอง (ถึงแม้ว่า รร.รัฐอาจจะมีสวัสดิการในส่วนนี้ให้ แต่ก็ไม่ทั้งหมดครับ) แต่กลับกัน ครอบครัวที่มีเงิน หาซื้อชุดให้ลูกได้ เขาก็รอดตัวไป แค่นี้ก็เหลื่อมล้ำละครับจริงมั้ย สิ่งที่ภาครัฐควรต้องทำคือ จัดการเรื่องราคาค่าชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ ชุดอื่นๆ ที่นักเรียนต้องใส่ ให้มันราคาถูกลงกว่านี้นิดหน่อย ให้ครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำเขาสามารถซื้อได้ และลดปริมาณการใส่ชุดนักเรียนลงก็ได้ อาจจะกำหนดว่า อ่ะ ใน5 วัน ให้ใส่ชุดนักเรียนแค่ 2 วันพอ อะไรแบบนี้ ที่เหลือก็ไปรเวทได้ แต่ให้เหมาะสมกับฐานะ ต้องสุภาพเหมาะกับวัย โดยเรื่องพวกนี้ก็ให้ครูนี่แหละครับแนะนำลูกศิษย์ของตัวเอง ในคาบประชุม ,Homeroom ก็ได้ (แต่อย่างว่าแหละครับ พอจะทำให้ค่าชุดนักเรียนถูกลง คนที่จะเสียเปรียบก็คือร้านค้าชุดนักเรียนที่ รร.ไปดีลไว้นั่นแหละ ให้พูดตรงๆเลย)
ทุกท่านมีความเห็นยังไงกับประเด็นนี้ และการแก้ไขที่ถูกวิธี แชร์กันได้ครับ ไม่มีถูกผิด ขอบคุณครับ
ถกกันด้วยประเด็นการแต่งชุดไปรเวทไปเรียนของน้องหยก ที่เป็นข่าวตอนนี้ครับ ทุกคนคิดยังไงกันบ้าง นี่คือมุมมองผมครับ
สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับข้อสรุปตรงนี้นะครับ เพราะยังไงเราก็ยังต้องติดตามข่าวกันต่อไป แต่สิ่งที่ผมอยากจะชวนถกกันคือ ประเด็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนการแต่งชุดนักเรีนนมาเรียน เป็นชุดไปรเวท (ที่สุภาพ) ว่า สมัยนี้ ชุดนักเรียนยังมีความจำเป็นอยู่มั้ย เนื่องจากตอนนี้สังคมค่อนข้างเสียงแตกกับประเด็นนี้มาก และเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายของก้าวไกลด้วย
ขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนยุคกึ่งความคิดเก่า/ใหม่นะครับ (90s') ยุคผมสื่อยังไม่ค่อยมากเท่าตอนนี้ ผมก็แต่งชุดนักเรียนตามปกติ แต่พอมารุ่นหลัง ผมกลับรู้สึกว่า เป็นไปได้ก็ควรที่จะยกเลิก แต่ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า สิ่งที่ผมมองเกี่ยวกับประเด็นน้องหยก ผมมองว่า น้องใช้วิธีการเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง บุ่มบ่ามไป แบบนี้อาจจะทำให้หลายคนเดือดร้อน และมองน้องว่าเป็นคนหัวแข็งได้ อยากให้น้องใช้วิธีการตั้งคำถามไปกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า ผมเชื่อครับว่า น้ำหยดลงหินนานเท่าไหร่ หินก็กร่อย ในสักวัน ผู้ใหญ่ก็ต้องยอมตามสักวันครับ
ใช่ครับและถึงแม้ว่า จะมีหลายคนว่า ไปอยู่สังคมนั้นก็ต้องปฏิบัติตามกฏที่สังคมนั้นกำหนดสิ อย่านอกคอก ถ้าไม่อยากใส่ชุดนักเรียน ก็หาโรงเรียนใหม่ที่ให้ใส่ไปรเวทได้สิ ผมเชื่อว่ามันต้องมีคนเห็นแบบนี้
แต่ทุกคนน่าจะลืมไปว่า ทำไมเราถึงต้องมาคุยกันในประเด็นว่าควรยกเลิกใส่ชุดนักเรียนหรือไม่ยกเลิกดีนะ ชุดนักเรียนมีเกียรตินะ แสดงว่าเราคือนักเรียนนะ ก็ว่ากันไปครับ ถ้าเราจะพูดถึงประเด็นนี้กัน ถกเถียกยังไงก็ไม่จบครับ
ทำไมเราไม่มาแก้ปัญหากันที่ "ราคา" ชุดนักเรียนกันละครับ เรื่องราคานี่แหละคือตัวบอกความเหลื่อมล้ำชั้นดีเลย นึกตามสิครับ ครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ เขาต้องทำงานหนัก กู้ยืมมา เพื่อเอาเงินมาซื้อชุดนักเรียนต่อปีให้ลูกตัวเอง (ถึงแม้ว่า รร.รัฐอาจจะมีสวัสดิการในส่วนนี้ให้ แต่ก็ไม่ทั้งหมดครับ) แต่กลับกัน ครอบครัวที่มีเงิน หาซื้อชุดให้ลูกได้ เขาก็รอดตัวไป แค่นี้ก็เหลื่อมล้ำละครับจริงมั้ย สิ่งที่ภาครัฐควรต้องทำคือ จัดการเรื่องราคาค่าชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ ชุดอื่นๆ ที่นักเรียนต้องใส่ ให้มันราคาถูกลงกว่านี้นิดหน่อย ให้ครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำเขาสามารถซื้อได้ และลดปริมาณการใส่ชุดนักเรียนลงก็ได้ อาจจะกำหนดว่า อ่ะ ใน5 วัน ให้ใส่ชุดนักเรียนแค่ 2 วันพอ อะไรแบบนี้ ที่เหลือก็ไปรเวทได้ แต่ให้เหมาะสมกับฐานะ ต้องสุภาพเหมาะกับวัย โดยเรื่องพวกนี้ก็ให้ครูนี่แหละครับแนะนำลูกศิษย์ของตัวเอง ในคาบประชุม ,Homeroom ก็ได้ (แต่อย่างว่าแหละครับ พอจะทำให้ค่าชุดนักเรียนถูกลง คนที่จะเสียเปรียบก็คือร้านค้าชุดนักเรียนที่ รร.ไปดีลไว้นั่นแหละ ให้พูดตรงๆเลย)
ทุกท่านมีความเห็นยังไงกับประเด็นนี้ และการแก้ไขที่ถูกวิธี แชร์กันได้ครับ ไม่มีถูกผิด ขอบคุณครับ