JJNY : 'พระเคร้อยล้าน' อบรมคุณธรรม│อังคณา จี้ กสม. แสดงท่าที│440 บริษัทไทยตั้งรับ EU CBAM│“แนวทางสันติภาพ” ยุติการสู้รบ

'พระเคร้อยล้าน' อบรมคุณธรรมนักเรียน เด็กแฉ ไปฉี่ไม่ได้ ก้มหน้าเจอเลเซอร์ส่องตา
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7719956
 
 
‘พระเคร้อยล้าน’ อบรมคุณธรรมนักเรียน เด็กแฉ ไปฉี่ไม่ได้ ก้มหน้าเลเซอร์ส่องตา ชาวเน็ตซัดยับโรงเรียนคิดอะไรอยู่ ใครคือพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้
 
17 มิ.ย. 2566 – เยาวชนสุรินทร์เพื่อประชาธิปไตย – Surin youth for Democracy” โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สุรินทร์ นำ เค ร้อยล้าน เป็นวิทยากรอบรมคุณธรรมให้นักเรียน ทั้งที่ เค ร้อยล้าน มีอาการทางจิต มีประวัติเป็นภัยต่อสังคม
โดยโรงเรียนได้จัดโครงการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ผ่านกิจกรรมค่ายพุทธบุตร ซึ่งมีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 จำนวนกว่า 900 คน มาเข้าร่วมกิจกรรมนี้
 
หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก และยังมีนักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นมาแสดงความคิดเห็น เช่นกัน
 
“แค่ก้มหน้าก็โดนด่าค่ะ บางคนก็โดนเรียกไปนั่งข้างหน้า แล้วก็บังคับให้นั่งให้ตรงแถว นั่งตรงแค่ไหนก็บอกว่าไม่ตรง ปวดฉี่ก็ไม่ให้ไปค่ะ ถ้าออกไปเขาก็จะไปตามถึงห้องน้ำเลยค่ะ”
 
“แค่ก้มหน้าก็โดนเรียกไปนั่งข้างหน้าแล้วก็โดนเลเซอร์ชี้เข้ามาที่ตาบังคับไม่ให้ไปเข้าห้องน้ำอีกปล่อยก็ปล่อยช้าให้นั่งจนปวดหลังปวดขาหมด”
 
คิดได้ยังไง เอามาได้ไง โรงเรียนคิดอะไรอยู่…. คนที่เชิญมาแสดงว่าไม่เคยดูข่าว คิดอะไรอยู่เนี้ย ใครคือพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้ ไม่ตรวจสอบประวัติก่อนรึไง บวชกี่พรรษาครับถึงเป็นวิทยากรได้
  
https://www.facebook.com/SurinyouthforDemocracy/posts/pfbid0TqQzFtnunURof6CFpwFBid36ojijtiLx3aYBoxG95V5BGejHontJ8br3Q1nd6annl
 


อังคณา จี้ กสม. แสดงท่าที หลังเตรียมพัฒน์ฯ ผุดแถลงการณ์ ฉ.2 ปมสถานภาพ ‘หยก’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4035034

อังคณา จี้ กสม. แสดงท่าที หลังเตรียมพัฒน์ฯ ผุดแถลงการณ์ ฉ.2 ย้ำ ‘หยก’ ไม่มีสถานภาพ น.ร.แต่แรก
 
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก “Angkhana Neelapaijit” กรณีหยก โดยระบุว่า 
 
กรณีของหยกนำมาสู่การถกแถลงของสังคมที่มีฐานความคิดที่ต่างกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ดี แม้อุดมการณ์ทางการเมืองจะต่างกัน แต่กลไกการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กยังคงต้องยืนยันหลักการสิทธิเด็กตามมาตรฐานสากล

จากแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ของเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยืนยันการไม่มีสภาพการเป็นนักเรียนของหยก เนื่องจากไม่มี #ผู้ปกครองมามอบตัวเด็กให้อยู่ในการดูแลของโรงเรียน ตามกฎระเบียบทั่วไปของ สพฐ. เช่นเดียวกับกรณีที่เมื่อหยกถูกควบคุมตัว ศาลไม่อาจปล่อยตัวหยกเนื่องจากไม่มีผู้ปกครองมารับตัว ทำให้เห็นว่าปัญหาการไม่มีผู้ปกครองเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กมีความสำคัญอย่างมากทั้งตามกฎหมายไทย และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิเด็ก รวมถึงความเห็นทั่วไป (General Comments) ต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็กหรือผู้เยาว์ ทั้งนี้ ความหมายของ #ผู้ปกครอง ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ หรือคนในครอบครัว เพราะหลายกรณี บ้านและคนในครอบครัวก็ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของเด็กๆ อย่างไรก็ดี อย่างที่เคยให้ความเห็นไปแล้วว่า การแต่งตั้งผู้ปกครอง ก็ไม่ใช่จะสามารถตั้งกันเองตามอำเภอใจ แต่จะต้องเป็นการแต่งตั้งโดยศาล โดยให้มีการสืบเสาะว่าผู้ที่รับเป็นผู้ปกครองนั้นจะสามารถคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กได้จริงหรือไม่ เพราะหลายครั้งผู้ปกครองบางคนอาจกลายเป็นผู้แสวงประโยชน์จากเด็ก ล่วงละเมิดเด็ก หรืออาจเกี่ยวพันกับการค้ามนุษย์ หรือนำพาเด็กสู่การค้าบริการทางเพศ ดังนั้น จึง #ขอเน้นย้ำ ว่าแม้สิทธิในความเห็นต่างทางการเมือง การแต่งกาย หรือการปฏิบัติตามความเชื่อต่างๆ จะมีความสำคัญ และต้องได้รับการเคารพ แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น คือการที่ #หยกในฐานะผู้เยาว์ถูกรอนสิทธิในการได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมาย ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ #การดำเนินการให้หยกมีผู้คุ้มครองสวัสดิภาพ
 
มีหลายคนถามว่าแล้วเด็กไร้บ้าน เด็กเร่ร่อน หรือเด็กผู้ลี้ภัยที่ไม่มีผู้ปกครองจะอยู่อย่างไร จะเข้าถึงการศึกษา หรือบริการสาธารณสุขได้ไหม – คำตอบ คือ เด็กซึ่งเปราะบางต่างๆ นี้ ศาลจะเป็นผู้แต่งตั้งให้บุคคล องค์กรด้านสิทธิเด็ก หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่คุ้มครองเด็ก เช่น กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เป็นผู้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ส่วนตัวเคยรับรองการประกันตัวผู้ลี้ภัยหลายคน เพื่อให้มีโอกาสออกมาดูแลลูกๆ แทนที่จะอยู่ในห้องกักแบบไม่มีกำหนด ในบางกรณีอาจมีครอบครัวอุปถัมภ์ หรือมูลนิธิต่างๆ ที่ช่วยดูแลเด็ก ในกรณีเด็กไร้บ้าน หรือเด็กเร่ร่อน (สัญชาติไทย) จะเป็นหน้าที่ของบ้านพักเด็กและครอบครัว (พม.) เป็นผู้ดูแล แม้เด็กๆ เหล่านี้บางส่วนจะหนีออกจากบ้านพักเพราะเคยชินกับการใช้ชีวิตเร่ร่อน แต่ก็ยังถือว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษยชน มีหน้าที่และอำนาจเป็นผู้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก

https://www.facebook.com/angkhana.nee/posts/10162005838418268?ref=embed_post
 


440 บริษัทไทยตั้งรับ EU CBAM ส่งออก 4 แสนล. สะเทือนภาษีสิ่งแวดล้อม
https://www.prachachat.net/economy/news-1323865

ทุกครั้งที่สหภาพยุโรป (อียู) ออกมาตรการทวีความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผลกระทบส่งแรงกระเพื่อมมาถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) มีแผนการสนับสนุนประเทศสมาชิกสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions นโยบายที่ต้องการลดการปล่อยให้ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2050 โดยอุณหภูมิของโลกจะต้องไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส

เดดไลน์ CBAM บังคับ 1 ต.ค. 66
 
นำมาสู่มาตรการใหม่ที่เป็นบันไดขั้นแรก “European Green Deal” หรือมาตรการลดคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกลง 55% ภายในปี 2030
กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ผู้ส่งออก ผู้ผลิตสินค้า ผู้นำเข้ายุโรป จำเป็นต้องเตรียมรับมือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งด้านศักยภาพการแข่งขัน การผลิตตลอดซัพพลายเชน เพราะการนำสินค้าเข้ายุโรปได้ต้องผ่าน “กลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน” หรือ CBAM-Carbon Border Adjustment Mechanism ที่ยุโรปได้ออกประกาศล่วงหน้าว่า จะมีการบังคับใช้ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 นี้

ไทม์ไลน์ระหว่างการปรับตัว ยุโรปได้กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายไตรมาส ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2568 จากนั้นดีเดย์ 1 มกราคม 2569 จะบังคับใช้จริง ผลกระทบคือจะมีการเก็บภาษี และการทำรายงาน ดังนั้น ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตอุตสาหกรรมไทย จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อการส่งออกและการแข่งขันในตลาดยุโรป
 
แม้ว่าประเทศไทยส่งออกสินค้าเข้ายุโรปในกลุ่มสินค้าที่ออกประกาศลอตแรก 6 รายการ คือ “เหล็กและหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน” จำนวนน้อยมาก แต่อนาคตยังต้องติดตามและรับมือ หากจะมีการขยายผลไปยังสินค้ากลุ่มอื่น
 
ทั้งนี้ ตลาดสหภาพยุโรปนับเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย สถิติปี 2565 มีการส่งออก 26,812.3 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากยุโรป 20,395.38 ล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุดช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย. 2566) ส่งออก 8,843.77 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้า 7,174.93 ล้านเหรียญสหรัฐ
 
“ต้นทุนอนาคต” เตรียมควักจ่ายค่าใบรับรอง
 
เรื่องเดียวกันนี้ “อัทธ์ พิศาลวานิช” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยในการสัมมนาหัวข้อ “ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) : ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยและการปรับตัว” จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า ศูนย์ศึกษาฯประเมินและรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากนโยบาย CBAM อาจมองได้ว่าเป็นมาตรการกีดกันทางการค้ารูปแบบหนึ่ง
โดยไทยส่งออกสินค้ากลุ่ม “อะลูมิเนียม เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า” คิดเป็น 0.1% ส่วน “ไฟฟ้า ซีเมนต์ ปุ๋ย” ไทยไม่ได้ส่งออกไปอียู สำหรับสินค้าประเภทอื่น เช่น “พลาสติก” ไทยส่งออกไปอียู 0.2% “ผลิตภัณฑ์ยาง” ส่งออก 3.2% “สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย” ส่งออก 0.2% และ “อาหาร” ส่งออก 0.5% ประเด็นอยู่ที่ในอนาคตมีโอกาสที่อียูจะเพิ่มรายการสินค้ามากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องมีแผนรับมือตั้งแต่เนิ่น ๆ
ศูนย์ศึกษาฯได้ประเมินค่าใบรับรอง CBAM (CBAM Certificate) แต่ละสินค้าที่ต้องจ่าย ซึ่งนับเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่มีการส่งออก พบว่า เหล็กและเหล็กกล้า มีค่าใบรับรอง 8.12 ล้านเหรียญสหรัฐ/ตัน, อะลูมิเนียม 7.66 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปุ๋ย 0.001 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นต้น
 
ส่วนสินค้าที่อียูนำเข้าจากไทย แต่ยังไม่อยู่ในมาตรการ CBAM ซึ่งในอนาคตหากมีการบังคับใช้ CBAM จะทำให้มีต้นทุนเพิ่มในการออกใบรับรอง ดังนี้ สินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 456.81 ล้านเหรียญสหรัฐ อาหาร 233.51 ล้านเหรียญสหรัฐ

สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย 130.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลิตภัณฑ์ยาง 91.23 ล้านเหรียญสหรัฐ พลาสติก 60.64 ล้านเหรียญสหรัฐ เคมีภัณฑ์ 43.74 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมมูลค่าที่ต้องจ่ายเพิ่ม 1,016.78 ล้านเหรียญสหรัฐ
 
เท่ากับว่าเมื่อมีการบังคับใช้มาตรการ CBAM จะส่งผลกระทบกับสินค้าไทย คือ 1.ทำให้ราคานำเข้าสินค้าไทยไปอียูแพงขึ้น 2.ทำให้ส่งสินค้าไปอียูได้น้อยลง และ 3.ผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าของไทย และจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย (ดูกราฟิกประกอบ)
 
440 บริษัทร่วมมือลดปล่อยก๊าซ CO2
 
ด้าน “นางสาวภคมณ สุภาพพันธ์” ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันมีภาคเอกชนที่เข้าร่วมลดการปล่อยก๊าซกว่า 440 บริษัท มีการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตแล้วประมาณ 4 แสนตัน
ขณะที่คาร์บอนเครดิตที่มีปริมาณ 14 ล้านตัน ถือว่าเป็นคาร์บอนเครดิตก้อนใหญ่ซึ่งเอกชนยังไม่ได้นำมาทำการซื้อ-ขายแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยุโรปเปิดให้ผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าได้มาลงทะเบียน กำหนดสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2567 นี้ เพราะหากไม่ลงทะเบียนไว้จะทำการส่งออกสินค้าเข้าอียูยากลำบากกว่าเดิม

ทั้งนี้ ทางองค์การอยู่ระหว่างการส่งเสริม สนับสนุน ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมลดการปล่อยก๊าซ และเพิ่มพื้นที่ดูดซับก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย และเพื่อให้มีพื้นที่ปล่อยก๊าซและดูดซับให้อยู่ในปริมาณที่เท่ากัน เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับประเทศไทยและโอกาสการแข่งขันในตลาดได้

เอกชนตื่นตัว-สร้างความพร้อมรับ CBAM

“นายหลักชัย กิตติพล” ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเตรียมพร้อมมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว โดยเป็นคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากการลงทุนปลูกยางพาราใน สปป.ลาว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าต้นยางพาราเป็นต้นไม้ที่ดูดซับคาร์บอนได้ดี คำนวณ 1 ไร่ ดูดซับได้ 4 ตัน ทำให้บริษัทสามารถซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้ 1 ปี ประมาณ 5 ล้านบาท
 
ขณะที่รัฐบาลไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้มีการส่งเสริมให้ยางพารา หรือแม้แต่สินค้าเกษตรอื่น ๆ เช่น มันสำปะหลัง ในการดูดซับการปล่อยก๊าซ
ข้อเสนอแนะ ภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามาส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน สถาบันทางการเงินก็ต้องดูแลเพื่อให้เดินหน้าเรื่องการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ รวมทั้งจำเป็นจะต้องมีกฎหมาย กฎระเบียบ และต้องมีการบูรณาการในการทำงานให้ชัดเจน เนื่องจากมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่