JJNY : อานนท์ฝาก ถ้า ‘ยึด-ยื้ออำนาจ’ ระวังคน│วิโรจน์ปูดเนื้อหมูเถื่อน│เศรษฐกิจซบ แห่ขายบ้าน-คอนโด│ปูตินขู่ยึดยูเครนเพิ่ม

อานนท์ ฝากให้ประกอบการตัดสินใจ ถ้า ‘ยึด-ยื้ออำนาจ’ ระวังคนนัดลงถนน เหมือนตุลา’63
https://www.matichon.co.th/politics/news_4028091
 
 
อานนท์ ฝากให้ประกอบการตัดสินใจ ถ้าเลือกแนวทาง ‘ยึด-ยื้ออำนาจ’ ระวังคนนัดลงถนน เหมือนตุลา’63 แป๊บเดียวมาพรึบ
 
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ระบุทางเฟซบุ๊กหากมีการเลือกแนวทาง “ยื้อ” หรือ “ยึดอำนาจ” อาจเกิดการนัดกันลงถนนเฉกเช่นม็อบ 2563 ที่ผ่านมา

ความว่า 

เผื่อเอาไปประกอบการตัดสินใจถ้าจะเลือกแนวทางยื้อ หรือยึดอำนาจ คนสนับสนุนก้าวไกลใน กทม.และปริมณฑลหลายล้าน ลงถนนเขานัดกันตามแนวรถไฟฟ้าเหมือนตอนตุลา 63 ใช้เวลา 15-20 นาที พรึบ!
 
สำหรับการชุมนุมที่นายอานนท์กล่าวถึง มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เคยสรุปเหตุการณ์ไว้ในบางช่วงบางตอนว่า ย้อนกลับไปปี 2563 กระแสการต่อ
ต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เพิ่มมากขึ้น ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งวินิจฉัยให้ ยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกแรก รัฐบาลสั่งปิดประเทศ และยุติกิจกรรมนอกบ้าน ทั้งกลางวัน กลางคืน เป็นผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลผ่านสื่อออนไลน์ทุกแขนง

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นในเดือนมิถุนายน ก็เกิดการบังคับสูญหาย นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ในประเทศกัมพูชา เมื่อ 4 มิถุนายน 2563 สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก
 
เกิดการชุมนุมบนท้องถนนครั้งแรกในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 โดย เยาวชนปลดแอก ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยื่น 3 ข้อเสนอ 

1. หยุดคุกคามประชาชน 
2. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
และ 3. ยุบสภา

ก่อนเริ่มมีการปราศรัยถึงการปฏิรูปสถาบัน โดย อานนท์ นำภา เมื่อ 3 สิงหาคม 2563 และการประกาศ 10 ข้อเรียกร้องของ แนวร่วมธรรมศาสตร์ ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 พร้อมกระแสการออกมาเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น

บรรยากาศการชุมนุมเริ่มถูกยกระดับมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ เดือนตุลาคม ทวีความรุนแรงหลังวันที่ 15 ตุลาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในกรุงเทพฯ เปิดทางให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลช่วงเช้ามืด แกนนำ 3 คน คือ ทนายอานนท์ เพนกวิน และ รุ้ง ถูกจับกุมในที่ชุมนุม
 
ช่วงเย็นวันนั้นการชุมนุมยังคงดำเนินต่อ โดยย้ายสถานที่มาเป็นแยกราชประสงค์ มีการปราศรัยแยกจุดย่อยทั้งท้องถนน ก่อนจะย้ายไปในเวลา 22.00 น.
เหตุการณ์เหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 เมื่อ คณะราษฎร 2563 ประกาศนัดชุมนุมที่แยกปทุมวัน ช่วงบ่าย จากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) ตั้งแถวนำรถจีโน่เข้ามายังพื้นที่ ก่อนมีคำสั่งให้สลายการชุมนุมภายใน 5 นาที และใช้รถจีโน่ฉีดน้ำแรงดันสูงและน้ำผสมสีฟ้าเข้าสู่ผู้ชุมนุมในช่วงวลา 18.00 น.
 
ถือเป็นการสลายชุมนุมครั้งแรก และมีการบุกจับผู้ชุมนุมที่มีสารสีฟ้าติดตัว เป็นผลให้การชุมนุมยุติลง ท่ามกลางความโกรธแค้นของประชาชนที่มีมากยิ่งขึ้น และถือเป็นจุดเปลี่ยนของทิศทางการชุมนุมหลังจากนั้น

ต่อมา เกิด กลุ่มราษฎร และ การชุมนุมแบบกระจายตัว ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้พร้อมต่อการป้องกันความปลอดภัย สื่อสารผ่าน “เทเลแกรม” และเกิดการใช้สัญลักษณ์มือ “หมวกกับแว่น” เพื่อขออุปกรณ์เสริม ไปจนถึงการใช้เป็นยางเป็นโล่กำบัง

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid035AQonx2oE67Ff1BYKSX1fuKJhdMbbC31BFjRMy91KtMX5VTKaaPz9M8n1TU6ngoxl&id=100000942179021
 


วิโรจน์ ปูดเนื้อหมูเถื่อน 161ตู้ ไม่ทำลาย ถ้าเกิดโรคระบาด ต้องมีคนรับผิดชอบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4028122

วิโรจน์ ปูดเนื้อหมูเถื่อน 161 ตู้ไม่ทำลาย เสียบปลั๊กให้เปลืองไฟ ถ้าเกิดโรคระบาด ใครรับผิดชอบ?
 
สืบเนืองจากกรณีลักลอบนำเข้าซากสัตว์เถื่อนนั้น มีรายงานการจับกุมอยู่ตลอดและแต่ละครั้งก็มีการลักลอบเข้ามาเป็นบิ๊กล็อต หลายหมื่นกิโลกรัม ทั้งยังนำส่งขายในหลายพื้นที่

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ทวีตข้อความระบุว่า 
 
“การลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรอย่างมาก ซ้ำร้ายยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด ที่กระทบกับประชาชนทั้งประเทศ ถ้ายังปล่อยปละละเลย แล้วเกิดโรคระบาดขึ้น ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ”

และว่า
 
 “เนื้อหมูเถื่อน 161 ตู้ ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ก็ยังไม่นำไปทำลาย เสียบปลั๊กให้เปลืองไฟอยู่อย่างนั้น เอกสารก็ชี้ว่านายทุนหมูเถื่อนที่นำเข้าเป็นใคร ทำไมคดีไม่คืบ รู้ว่าลักลอบนำเข้าจากบราซิล สเปน โดยแจ้งพิกัดเท็จเป็นอาหารทะเล ก็ยังไม่ยอมตรวจเข้ม ถ้าเกิดโรคระบาด ต้องมีคนรับผิดชอบ”
 
https://twitter.com/wirojlak/status/1668674366790598657

https://twitter.com/wirojlak/status/1668783396347334658
 


เศรษฐกิจซบ คนเช่าหาย แห่ขายบ้าน-คอนโด พุ่ง 9 แสนล้าน ‘กทม. ปริมณฑล’ มากสุด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4028196

REIC ชี้เศรษฐกิจไม่ดี ตลาดเช่าเหงา คนแห่ขายบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมือ2 ท่วมตลาดกว่า 1.6 แสนหน่วย มูลค่า 9 แสนล้าน ‘กทม.และปริมณฑล’มากสุด 50% ตะลึงบ้านเก่าพร้อมที่ดิน 1 ไร่ ย่านประดิพัทธ์ราคาพุ่ง 180 ล้าน
 
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่าผลการสำรวจข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 เบื้องต้นตลาดโดยรวมยังทรงตัว มีจำนวนหน่วยประกาศขายประมาณ 1.6 แสนหน่วย มูลค่าประมาณ 9 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับข้อมูลไตรมาส4/2565 ถือว่าลดลงไม่มาก โดยมียอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 1.7% แต่มูลค่ากลับเพิ่มขึ้น 5.8% เนื่องจากมีบ้านราคาต่อหน่วยสูงโอนมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านราคามากกว่า 10 ล้านบาทที่ได้รับการตอบรับในระดับหนึ่ง

นายวิชัยกล่าวว่า การที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลง เนื่องจากช่วงปลายปี 2565 มีการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ไปจำนวนมาก รับมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% เพราะในปี 2566 แม้รัฐบาลจะต่ออายุมาตรการให้ แต่ลดให้เพียง 1% จึงทำให้ต้นปีที่ผ่านมาตลาดบ้านมือสองชะลอตัวและคาดการณ์จะชะลอตัวต่อเนื่องตลอดทั้งปี2566 อย่างไรก็ตามมองว่าที่อยู่อาศัยมือสองยังเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านราคาไม่แพงและอยู่ในทำเลที่ดี ในภาวะที่บ้านใหม่ราคาแพงขึ้น
 
นายวิชัยกล่าวว่า สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยมีการประกาศขายมากที่สุด คือ บ้านเดี่ยว 45% รองลงมาทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม โดยจังหวัดมีมูลค่าประกาศขายสูงสุดอยู่กรุงเทพฯและปริมณฑล 50% แยกเป็น
 
• กรุงเทพฯ 27%
• นนทบุรี 8%
• สมุทรปราการ 6%
• ปทุมธานี 7%
• สมุทรสาคร 2%
 
ส่วนต่างจังหวัดเป็นเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ โดยระดับราคาที่ประกาศขายมากสุด คือ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ราคา 1-2 ล้านบาท และราคา 2-3 ล้านบาทตามลำดับ โดยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทยังได้รับการตอบรับมากสุด เพราะได้อานิสงส์มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง
 
การที่มีประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสองออกสู่ตลาดมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนที่เคยซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า มีภาระต้นทุนการเงินและค่าผ่อนเพิ่ม จากดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตลาดเช่าก็ไม่ค่อยดี เพราะกำลังซื้อไม่มี คนไม่มีรายได้ จะขึ้นค่าเช่าก็ไม่ได้ อีกทั้งรัฐบาลใหม่ยังไม่จัดตั้ง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน เช่น ค่าแรงจะขึ้นไม่ขึ้น คนจึงไม่ค่อยมั่นใจ” นายวิชัยกล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีการนำที่ดินพร้อมบ้านทำเลแนวรถไฟฟ้ามาประกาศขายมากขึ้น ผ่านทางบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินพร้อมบ้านเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ย่านประดิพัทธ์ 4 ใกล้โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ใกล้บีทีเอสสะพานควาย ตั้งราคาขาย 180 ล้านบาท หรือ 390,000 บาทต่อตารางวา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่