เศรษฐา จี้ กกท. ทบทวนมติยกเลิกจัดแข่งเอเชียนอินดอร์ฯ ชี้กระทบภาพลักษณ์ปท.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7702259
เศรษฐา จี้บอร์ดการกีฬาฯ ทบทวนการยกเลิกเป็นเจ้าภาพจัดแข่ง‘เอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ตเกมส์’ ชี้ทำไทยเสียโอกาสด้านกีฬา-ท่องเที่ยว กระทบภาพลักษณ์ประเทศ
วันที่ 7 มิ.ย.2566 นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า
ได้ทราบข่าวจากเพื่อนในวงการกีฬา ที่ฟังแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะบอร์ดการกีฬาแห่งประเทศไทย มีมติจะขอยกเลิกการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6 หรือเลื่อนออกไปก่อน หลังจากเลื่อนมาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เพราะไม่มีงบประมาณจัดการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
นาย
เศรษฐา ระบุว่า ตนขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณจัดการแข่งขันอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น กกท. ผจก.กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ และรัฐบาล เพราะเรื่องนี้เป็นมากกว่าแค่การแข่งขันกีฬา นอกจากตัวแทนนักกีฬาจาก 45 ประเทศ จำนวนกว่า 5,000 คน ยังมีผู้ชมอีกนับแสนคนที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย และคาดว่าจะมีการรับชมจากทั่วโลกอีกหลายล้านคน
“การยกเลิกการเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ไทยเสียโอกาสในการแสดงศักยภาพต้อนรับทั้งนักกีฬาและนักท่องเที่ยว ที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว และสร้างความสัมพันธ์กับชาติต่างๆ แล้ว ยังอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยหากมีการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติในอนาคต อยากให้ทบทวนดูอีกครั้ง”
https://twitter.com/Thavisin/status/1666264223557758976
ช็อก! โรงเรียนดังจันทบุรี จับเด็กเข้าค่ายทหาร เจอครูฝึกชกอก ไม้ฟาด เหตุแค่มองหน้า
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7702054
ช็อก! โรงเรียนดังจันทบุรี จับนักเรียนที่มีคะแนนความประพฤติไม่ถึง 60 เข้าค่ายทหารดัดนิสัย เจอครูฝึกชกอก ไม้ฟาด เหตุแค่มองหน้า ขณะที่ครูยืนมองเฉยๆ
6 มิ.ย. 2566 – แฟนเพจเฟซบุ๊ก
“นักเรียนเลว” ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักเรียน โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง จ.จันทบุรี หลังจับนักเรียนเข้าค่ายดัดนิสัย มีทหารทำร้ายเด็ก และไม่มีแม้แต่ครูห้ามปราม โดยระบุข้อความดังนี้
โรงเรียนคลั่งกฎ จับนักเรียนที่มีคะแนนความประพฤติต่ำกว่า 60 เข้าค่ายปรับพฤติกรรมที่ค่ายทหารเพื่อแลกคะแนน
ผู้ร้องเรียน เปิดเผยว่า โรงเรียนมีการบังคับใช้กฎระเบียบที่เคร่งครัด ไม่ดูบริบท จนทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยต้องเสียคะแนน-ได้รับโทษเกินกว่าเหตุ เช่น มาสายหลัง 07:50 น. หัก 2 คะแนน แต่ครูมักกักแถวสายเอาไว้ ทำให้นักเรียนไปแสกนหน้าไม่ทัน กลายเป็นโดนหัก 5 คะแนน หรือกรณีทำผิดระเบียบทรงผม ครูจะหักคะแนนวันละ 5 คะแนน จนกว่าจะแก้ไขให้ถูกตามดุลยพินิจของครู ทำให้นักเรียนต้องเข้าออกร้านตัดผมอยู่บ่อยครั้ง
นักเรียนชั้น ม.6 ที่มีคะแนนความประพฤติไม่ถึง 60 ทางโรงเรียนจะไม่ออกใบ ปพ. ให้ ซึ่งจะมีปัญหาในการยื่นศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทำให้นักเรียนที่สอบตกคะแนนความประพฤติต้องเข้าค่ายซ่อมพฤติกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจ่ายเงิน 250 บาทเพื่อเข้าค่ายด้วย
ค่ายถูกจัดในค่ายทหาร โดยนำทหารครูฝึกเข้ามาจัดกิจกรรม เน้นสอนระเบียบวินัยแบบทหาร มากกว่าการสอนในวิธีการของพลเรือน ซึ่งมีนักเรียนถูกใช้ความรุนแรงในค่าย เพียงเพราะครูฝึกไม่พอใจในรูปร่างหน้าตา จับกระชากคอเสื้อ ด่าทอหยาบคาย จนถึงขั้นเสียน้ำตา ทั้งที่นักเรียนคนดังกล่าวก็ให้ความร่วมมือในกิจกรรมอย่างดี ในขณะที่ครูจากโรงเรียรกลับยืนเพิกเฉย ไม่เข้าไปห้ามปราม และไม่มีการเยียวยาหลังจบกิจกรรม
ทั้งนี้ยังมีผู้ระบุด้วยว่า อยู่ในเหตุการณ์ และคนโดนซ้อมเป็นเพื่อนตัวเอง เล่าว่า “
ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่มองหน้า ทหารก็เดินมาชกอกเพื่อนกูซ้ำแล้วซ้ำอีก ถาทำไเก่งมากหรอ และเพื่อนก็โดนเล็ง ทำอะไรก็โดน ยิ่งช็อตเอาไม้ฟาด ครูยืนมองเฉยๆ นักเรียนคือหน้าเสียหลายคน แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นพูด ตนที่ปกติกล้าเถียงตลอด รอบนี้ก็ไม่กล้าเพราะสถานการณ์ตอนนั้นปกป้องตัวเองไม่ได้ ทหารล้อมรอบ โทรศัพท์ก็โยนยึด ทุเรศเกิน“
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่ถูกแฉอีกมาก ซึ่งติดตามได้จากแฮชแท็ก #เบญจัน บนทวิตเตอร์
– ครูทัก นร. ขอยืมเงินหลายครั้ง
– ครูวิชาดนตรีลำเอียง ให้คะแนน นร. ชายและหญิงไม่เท่ากัน
– ผู้บริหารฯ ถือโทรโข่งประจานเด็กให้อับอาย บางคนถึงขั้นร้องไห้
https://www.facebook.com/Badstudent.th/photos/a.122750796183540/781519143640032/
ซัด ทปอ.ของบทำวิจัยพัฒนา ปท.เพิ่ม ชี้ 60% ใช้ ‘ขอตำแหน่งวิชาการ-จัดเรตติ้ง ม.’
https://www.matichon.co.th/education/news_4013537
ซัด ทปอ.ของบทำวิจัยพัฒนา ปท.เพิ่ม ชี้ 60%ใช้ ‘ขอตำแหน่งวิชาการ-จัดเรตติ้ง ม.’ ตอบโจทย์ประเทศแค่ 7% ชู ‘เดชรัต’ คุม อว.
ศ.ดร.
สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ให้สัมภาษณ์ และฝากถึงรัฐบาลใหม่ ว่ามหาวิทยาลัยอยากได้งบประมาณด้านการวิจัยเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในเรื่องของการพัฒนาประเทศมากขึ้นนั้น ตนมองว่า ทปอ.ควรจะต้องตระหนัก และเรียนรู้บางเรื่อง ว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่การหางบวิจัยเท่านั้น ที่ผ่านมาตนในฐานะกรรมการสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้ข้อมูลสำคัญกับอธิการบดีของแต่ละมหาวิทยาลัย ว่างบวิจัยที่แต่ละมหาวิทยาลัยได้รับ เป็นงบจำนวนมหาศาล บางมหาวิทยาลัยได้รับงบวิจัยหลายพันล้านบาท แต่ผลการศึกษาวิจัยที่ได้มากลับไม่ตอบโจทย์ประเทศ งบวิจัยถูกนำไปใช้ในงานวิชาการ 50-60% สำหรับการตีพิมพ์ การขอตำแหน่งทางวิชาการ และนำไปช่วยเรื่องของการจัดอันดับมหาวิทยาลัย กลายเป็นว่าคนในแวดวงวิชาการ และผู้บริหารเท่านั้น ที่ได้ผลประโยชน์จากงานวิชาการ แต่งานวิจัยที่ตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาล และนำไปประยุกต์ใช้ได้มี 7% และทำให้เกิดประโยชน์กับชุมชนเพียง 30% เท่านั้น
“
เราจะเห็นว่า งบวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ้างว่าเอาไปช่วยพัฒนาประเทศนั้น ต่ำมาก ไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมคิดว่ารัฐบาลใหม่ยินดีที่จะให้งบวิจัยกับมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว แต่ว่าผลของการศึกษาวิจัย ต้องไม่ใช่แค่เรื่องของการตีพิมพ์ และการได้ตำแหน่งทางวิชาการเท่านั้น แต่ควรมาคิดว่างบวิจัยที่ได้มา จะเกิดประโยชน์อะไรกับสังคม และประเทศชาติบ้าง” ศ.ดร.
สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวต่อว่า สิ่งที่ ทปอ.ควรจะต้องตระหนักก็คือ รัฐบาลใหม่ทำงานโดยใช้งานวิจัยเป็นฐานมาตั้งแต่ที่เป็นฝ่ายค้านแล้ว ดังนั้น ท่าทีของ ทปอ.ไม่ใช่แค่เรียกร้องขอเงินจำนวนมากเพื่อทำวิจัย และตอบโจทย์ความต้องการของบุลคากรในมหาวิทยาลัย แต่ต้องทำงานวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศชาติ ตอบโจทย์นโยบายที่พรรคร่วมทั้ง 8 พรรค จัดทำ MOU และตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำในเรื่องต่างๆ ตนคิดว่า ทปอ.ยังมองแต่ตัวเอง และยังไม่เปลี่ยนความคิดที่มุ่งจะเอาเงินงบวิจัยจำนวนมาก
“
จะเห็นว่าที่ผ่านมามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ไม่สนใจคลื่นนิสิต นักศึกษาเลย มีการปิดมหาวิทยาลัยไม่ให้จัดกิจกรรม หรือแสดงออกทางการเมือง สุดท้ายก็ผลักเด็กลงถนน ท่าทีของมหาวิทยาลัยแบบนี้ ค่อนข้างที่จะไม่เป็นมิตรกับคนรุ่นใหม่ คิดว่าชาวอุดมศึกษายังไม่ตระหนักว่าการผลักให้เด็กลงถนน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ซึ่งในความจริงแล้ว มหาวิทยาลัยควรจะเปิดพื้นที่ ให้อิสระเสรีภาพ และให้คำแนะนำกับเด็กที่ต้องการแสดงออกทางการเมือง” ศ.ดร.
สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และสภามหาวิทยาลัย ควรจะตระหนัก และปรับบทบาท ทิศทางของมหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2566 เข้าใจบริบทของคนรุ่นใหม่ และเปิดมหาวิทยาลัยให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย แตกต่างมากขึ้น ไม่ใช่ไปล็อกคอนิสิต นักศึกษา หรือลงโทษทางวินัยกับนิสิต นักศึกษา
“
ทั้งนี้ มองว่าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) หรือรัฐบาลใหม่ จะต้องเข้ามาดูเรื่องมหาวิทยาลัย เพราะเป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ เพื่อทนแทนคนรุ่นเก่า ควรมองให้เห็นถึงการเชื่อมโยง ที่จะทำอย่างไรให้มหาวิทยาลัยสร้างความเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ กับคนรุ่นปัจจุบัน และพัฒนาประเทศให้สู่ระดับสากลเพื่อมากขึ้น” ศ.ดร.
สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวว่า ส่วนใครที่เหมาะสมที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นั้น มองว่านาย
เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center สถาบันวิชาการนโยบายของพรรคก้าวไกล เป็นคนที่เหมาะสม เพราะเป็นคนทะลุทะลวง เป็นคนรุ่นใหม่ มีความเชื่อมั่นในตนเอง และรู้ธรรมชาติของอุดมศึกษาเป็นอย่างดี
JJNY : เศรษฐาจี้ กกท.ทบทวน│ช็อก! รร.ดังจันทบุรี จับเด็กเข้าค่ายทหาร│ซัด ทปอ.ของบทำวิจัย│พยาบาล พ้อ ‘ควรไปต่อหรือพอแค่นี้
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7702259
เศรษฐา จี้บอร์ดการกีฬาฯ ทบทวนการยกเลิกเป็นเจ้าภาพจัดแข่ง‘เอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ตเกมส์’ ชี้ทำไทยเสียโอกาสด้านกีฬา-ท่องเที่ยว กระทบภาพลักษณ์ประเทศ
วันที่ 7 มิ.ย.2566 นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า
ได้ทราบข่าวจากเพื่อนในวงการกีฬา ที่ฟังแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะบอร์ดการกีฬาแห่งประเทศไทย มีมติจะขอยกเลิกการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6 หรือเลื่อนออกไปก่อน หลังจากเลื่อนมาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เพราะไม่มีงบประมาณจัดการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
นายเศรษฐา ระบุว่า ตนขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณจัดการแข่งขันอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น กกท. ผจก.กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ และรัฐบาล เพราะเรื่องนี้เป็นมากกว่าแค่การแข่งขันกีฬา นอกจากตัวแทนนักกีฬาจาก 45 ประเทศ จำนวนกว่า 5,000 คน ยังมีผู้ชมอีกนับแสนคนที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย และคาดว่าจะมีการรับชมจากทั่วโลกอีกหลายล้านคน
“การยกเลิกการเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ไทยเสียโอกาสในการแสดงศักยภาพต้อนรับทั้งนักกีฬาและนักท่องเที่ยว ที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว และสร้างความสัมพันธ์กับชาติต่างๆ แล้ว ยังอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยหากมีการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติในอนาคต อยากให้ทบทวนดูอีกครั้ง”
https://twitter.com/Thavisin/status/1666264223557758976
ช็อก! โรงเรียนดังจันทบุรี จับเด็กเข้าค่ายทหาร เจอครูฝึกชกอก ไม้ฟาด เหตุแค่มองหน้า
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7702054
ช็อก! โรงเรียนดังจันทบุรี จับนักเรียนที่มีคะแนนความประพฤติไม่ถึง 60 เข้าค่ายทหารดัดนิสัย เจอครูฝึกชกอก ไม้ฟาด เหตุแค่มองหน้า ขณะที่ครูยืนมองเฉยๆ
6 มิ.ย. 2566 – แฟนเพจเฟซบุ๊ก “นักเรียนเลว” ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักเรียน โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง จ.จันทบุรี หลังจับนักเรียนเข้าค่ายดัดนิสัย มีทหารทำร้ายเด็ก และไม่มีแม้แต่ครูห้ามปราม โดยระบุข้อความดังนี้
โรงเรียนคลั่งกฎ จับนักเรียนที่มีคะแนนความประพฤติต่ำกว่า 60 เข้าค่ายปรับพฤติกรรมที่ค่ายทหารเพื่อแลกคะแนน
ผู้ร้องเรียน เปิดเผยว่า โรงเรียนมีการบังคับใช้กฎระเบียบที่เคร่งครัด ไม่ดูบริบท จนทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยต้องเสียคะแนน-ได้รับโทษเกินกว่าเหตุ เช่น มาสายหลัง 07:50 น. หัก 2 คะแนน แต่ครูมักกักแถวสายเอาไว้ ทำให้นักเรียนไปแสกนหน้าไม่ทัน กลายเป็นโดนหัก 5 คะแนน หรือกรณีทำผิดระเบียบทรงผม ครูจะหักคะแนนวันละ 5 คะแนน จนกว่าจะแก้ไขให้ถูกตามดุลยพินิจของครู ทำให้นักเรียนต้องเข้าออกร้านตัดผมอยู่บ่อยครั้ง
นักเรียนชั้น ม.6 ที่มีคะแนนความประพฤติไม่ถึง 60 ทางโรงเรียนจะไม่ออกใบ ปพ. ให้ ซึ่งจะมีปัญหาในการยื่นศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทำให้นักเรียนที่สอบตกคะแนนความประพฤติต้องเข้าค่ายซ่อมพฤติกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจ่ายเงิน 250 บาทเพื่อเข้าค่ายด้วย
ค่ายถูกจัดในค่ายทหาร โดยนำทหารครูฝึกเข้ามาจัดกิจกรรม เน้นสอนระเบียบวินัยแบบทหาร มากกว่าการสอนในวิธีการของพลเรือน ซึ่งมีนักเรียนถูกใช้ความรุนแรงในค่าย เพียงเพราะครูฝึกไม่พอใจในรูปร่างหน้าตา จับกระชากคอเสื้อ ด่าทอหยาบคาย จนถึงขั้นเสียน้ำตา ทั้งที่นักเรียนคนดังกล่าวก็ให้ความร่วมมือในกิจกรรมอย่างดี ในขณะที่ครูจากโรงเรียรกลับยืนเพิกเฉย ไม่เข้าไปห้ามปราม และไม่มีการเยียวยาหลังจบกิจกรรม
ทั้งนี้ยังมีผู้ระบุด้วยว่า อยู่ในเหตุการณ์ และคนโดนซ้อมเป็นเพื่อนตัวเอง เล่าว่า “ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่มองหน้า ทหารก็เดินมาชกอกเพื่อนกูซ้ำแล้วซ้ำอีก ถาทำไเก่งมากหรอ และเพื่อนก็โดนเล็ง ทำอะไรก็โดน ยิ่งช็อตเอาไม้ฟาด ครูยืนมองเฉยๆ นักเรียนคือหน้าเสียหลายคน แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นพูด ตนที่ปกติกล้าเถียงตลอด รอบนี้ก็ไม่กล้าเพราะสถานการณ์ตอนนั้นปกป้องตัวเองไม่ได้ ทหารล้อมรอบ โทรศัพท์ก็โยนยึด ทุเรศเกิน“
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่ถูกแฉอีกมาก ซึ่งติดตามได้จากแฮชแท็ก #เบญจัน บนทวิตเตอร์
– ครูทัก นร. ขอยืมเงินหลายครั้ง
– ครูวิชาดนตรีลำเอียง ให้คะแนน นร. ชายและหญิงไม่เท่ากัน
– ผู้บริหารฯ ถือโทรโข่งประจานเด็กให้อับอาย บางคนถึงขั้นร้องไห้
https://www.facebook.com/Badstudent.th/photos/a.122750796183540/781519143640032/
ซัด ทปอ.ของบทำวิจัยพัฒนา ปท.เพิ่ม ชี้ 60% ใช้ ‘ขอตำแหน่งวิชาการ-จัดเรตติ้ง ม.’
https://www.matichon.co.th/education/news_4013537
ซัด ทปอ.ของบทำวิจัยพัฒนา ปท.เพิ่ม ชี้ 60%ใช้ ‘ขอตำแหน่งวิชาการ-จัดเรตติ้ง ม.’ ตอบโจทย์ประเทศแค่ 7% ชู ‘เดชรัต’ คุม อว.
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ให้สัมภาษณ์ และฝากถึงรัฐบาลใหม่ ว่ามหาวิทยาลัยอยากได้งบประมาณด้านการวิจัยเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในเรื่องของการพัฒนาประเทศมากขึ้นนั้น ตนมองว่า ทปอ.ควรจะต้องตระหนัก และเรียนรู้บางเรื่อง ว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่การหางบวิจัยเท่านั้น ที่ผ่านมาตนในฐานะกรรมการสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้ข้อมูลสำคัญกับอธิการบดีของแต่ละมหาวิทยาลัย ว่างบวิจัยที่แต่ละมหาวิทยาลัยได้รับ เป็นงบจำนวนมหาศาล บางมหาวิทยาลัยได้รับงบวิจัยหลายพันล้านบาท แต่ผลการศึกษาวิจัยที่ได้มากลับไม่ตอบโจทย์ประเทศ งบวิจัยถูกนำไปใช้ในงานวิชาการ 50-60% สำหรับการตีพิมพ์ การขอตำแหน่งทางวิชาการ และนำไปช่วยเรื่องของการจัดอันดับมหาวิทยาลัย กลายเป็นว่าคนในแวดวงวิชาการ และผู้บริหารเท่านั้น ที่ได้ผลประโยชน์จากงานวิชาการ แต่งานวิจัยที่ตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาล และนำไปประยุกต์ใช้ได้มี 7% และทำให้เกิดประโยชน์กับชุมชนเพียง 30% เท่านั้น
“เราจะเห็นว่า งบวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ้างว่าเอาไปช่วยพัฒนาประเทศนั้น ต่ำมาก ไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมคิดว่ารัฐบาลใหม่ยินดีที่จะให้งบวิจัยกับมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว แต่ว่าผลของการศึกษาวิจัย ต้องไม่ใช่แค่เรื่องของการตีพิมพ์ และการได้ตำแหน่งทางวิชาการเท่านั้น แต่ควรมาคิดว่างบวิจัยที่ได้มา จะเกิดประโยชน์อะไรกับสังคม และประเทศชาติบ้าง” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า สิ่งที่ ทปอ.ควรจะต้องตระหนักก็คือ รัฐบาลใหม่ทำงานโดยใช้งานวิจัยเป็นฐานมาตั้งแต่ที่เป็นฝ่ายค้านแล้ว ดังนั้น ท่าทีของ ทปอ.ไม่ใช่แค่เรียกร้องขอเงินจำนวนมากเพื่อทำวิจัย และตอบโจทย์ความต้องการของบุลคากรในมหาวิทยาลัย แต่ต้องทำงานวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศชาติ ตอบโจทย์นโยบายที่พรรคร่วมทั้ง 8 พรรค จัดทำ MOU และตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำในเรื่องต่างๆ ตนคิดว่า ทปอ.ยังมองแต่ตัวเอง และยังไม่เปลี่ยนความคิดที่มุ่งจะเอาเงินงบวิจัยจำนวนมาก
“จะเห็นว่าที่ผ่านมามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ไม่สนใจคลื่นนิสิต นักศึกษาเลย มีการปิดมหาวิทยาลัยไม่ให้จัดกิจกรรม หรือแสดงออกทางการเมือง สุดท้ายก็ผลักเด็กลงถนน ท่าทีของมหาวิทยาลัยแบบนี้ ค่อนข้างที่จะไม่เป็นมิตรกับคนรุ่นใหม่ คิดว่าชาวอุดมศึกษายังไม่ตระหนักว่าการผลักให้เด็กลงถนน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ซึ่งในความจริงแล้ว มหาวิทยาลัยควรจะเปิดพื้นที่ ให้อิสระเสรีภาพ และให้คำแนะนำกับเด็กที่ต้องการแสดงออกทางการเมือง” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และสภามหาวิทยาลัย ควรจะตระหนัก และปรับบทบาท ทิศทางของมหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2566 เข้าใจบริบทของคนรุ่นใหม่ และเปิดมหาวิทยาลัยให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย แตกต่างมากขึ้น ไม่ใช่ไปล็อกคอนิสิต นักศึกษา หรือลงโทษทางวินัยกับนิสิต นักศึกษา
“ทั้งนี้ มองว่าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) หรือรัฐบาลใหม่ จะต้องเข้ามาดูเรื่องมหาวิทยาลัย เพราะเป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ เพื่อทนแทนคนรุ่นเก่า ควรมองให้เห็นถึงการเชื่อมโยง ที่จะทำอย่างไรให้มหาวิทยาลัยสร้างความเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ กับคนรุ่นปัจจุบัน และพัฒนาประเทศให้สู่ระดับสากลเพื่อมากขึ้น” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวว่า ส่วนใครที่เหมาะสมที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นั้น มองว่านายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center สถาบันวิชาการนโยบายของพรรคก้าวไกล เป็นคนที่เหมาะสม เพราะเป็นคนทะลุทะลวง เป็นคนรุ่นใหม่ มีความเชื่อมั่นในตนเอง และรู้ธรรมชาติของอุดมศึกษาเป็นอย่างดี