คือผมนั่งดูข่าว กับที่บ้าน เรื่อง แม่ค้าที่เข้าไปขายของข้างสนามฟุตบอล แล้วถูกลูกบอลเตะลงกระทะ โดนลวกทั้งหน้า
ซึ่ง แม่ค้าคนนั้นเรียกร้องกับผู้จัด แต่ผู้จัดบอกว่า ไม่ได้อนุญาตให้มาขายแต่แรก เพราะฉะนั้นเค้าไม่รับผิดชอบ
ทีนี้ก็มีผู้ประกาศข่าว คนนึงบอกประมาณว่า "เรื่องแบบนี้ มันก็ต้องมองถึงความมีมนุษยธรรมแล้วหละครับ"
.
.
.
คือความคิดผม ผมว่า ฝ่ายคนจัด เค้าก็พูดถูก คือถ้าเค้าเป็นคนเช่าสถานที่ และไม่ได้อนุญาตให้แม่ค้าเข้ามาขาย ผมก็ว่าเค้าก็ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องรับผิดชอบอะไร
(จริงๆ มันควรจะต้องไปเรียกร้องกับคนที่เตะฟุตบอลลงกระทะ ซึ่งผมก็ยังไม่คิดว่ามันถูกหรอก แต่มันเป็นไปตามเหตุของกฎหมายมากที่สุดแล้ว)
.
.
.
แต่ผมติดใจตรงผู้ประกาศข่าว ที่แกบอกไว้ ผมว่า แกก็คงรู้ว่าที่แม่ค้าทำ มันผิด ลองคิดตามนะครับ สมมติว่าคุณเผลอเปิดประตูรั้วทิ้งไว้ แล้วมีคนขับแกร๊บ แอบเข้ามาจอดหลบแดดในสวนบ้านคุณ คนขับแกร๊บปวดเยี่ยว เยี่ยวเสร็จก็เดินไปเปิดก๊อกล้างมือโดยไม่รู้ว่ามันมีไฟรั่วอยู่ จนโดนไฟดูด อาการสาหัส ต้องนอนติดเตียงเป็นเดือน
แล้วครอบครัวคนขับแกร๊บ จะมาเรียกร้องให้คุณชดใช้ค่าเสียหาย มันถูกมั้ย
แต่ผู้ประกาศข่าวคนนั้น พูดเหมือนจะไกด์ให้คนที่ฟังข่าว รู้สึกคล้อยตาม ว่าฝ่ายคนจัดงานนั่นแหละควรจะรับผิดชอบบ้าง
ซึ่งแทนที่ผู้ประกาศข่าวคนนั้น จะออกเงินช่วยแม่ค้าที่โดนน้ำมันลวกเอง --- ก็ไม่
หรือจะเปิด บช. รับบริจาคช่วยแม่ค้า --- ก็ไม่อีก
.
.
.
ผมฟังแล้วตอนนี้ผมเลยรู้สึกอยู่ 2-3 อย่าง
1. ผู้ประกาศข่าว คือไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายเลย ข่าว ก็เป็นข่าวของชาวบ้าน ตัวเองเอาเรื่องเค้ามาเล่าให้คนอื่นฟัง ก็ไม่ต้องเสียอะไร แถมมีรายได้จากโฆษณาอีกต่างหาก และนอกจากนั้น ข่าวที่เค้าเอามาเล่า บางข่าวที่เป็นปัญหา ได้รับการแก้ไข คนที่ติดตามเค้าก็จะมองเค้าเป็นผู้มีพระคุณอีกต่างหาก
2. พอเค้ากลายเป็นคนที่ใครๆก็นับถือเกรงใจ ทีนี้เค้าก็จะเหมือนผู้มีอิทธิพลคนนึง ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวก นักการเมือง หรือพวกข้าราชการระดับสูงอะไรเลย ผมมองแบบนี้ถูกมั้ย มันก็จะเหมือนสังคมบ้านนอกสมัยก่อน ที่เวลาชาวบ้านทะเลาะกัน ก็ต้องเอาไปให้ผู้ใหญ่ในถิ่นนั้นจัดการ ทีนี้ ถ้าฝั่งไหนอยู่ข้างผู้มีอิทธิพล ฝั่งนั้นก็ได้เปรียบแล้ว และมันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้มีอิทธิพลคนนั้นๆแล้ว ว่าความคิดของเค้ามันจะถูกต้องแค่ไหน หรือเค้าเลือกที่จะทำให้ถูกใจคนส่วนมากมากกว่าความถูกต้อง
3. เมื่ออะไรก็ตาม ที่คนในบ้านเรายังต้องพึ่งพานักข่าว ให้แก้ปัญหาแบบนี้ มันก็เหมือนกับการพึ่งพาผู้มีอิทธิพล กลายๆ
คือผมว่าแบบนี้มันก็เหมือนกับการพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลนั่นแหละ เพียงแต่มันเป็นการเปลี่ยนสถานะพึ่งพิง จากพวกนักเลง นักการเมือง ตำรวจ มาเป็นนักข่าวแค่นั้นเอง
พวกผู้ประกาศข่าวนี่ จัดเป็นคนที่ลงทุนลงแรงน้อยที่สุดเพรราะใช้เสียงของตัวเองอย่างเดียว ถูกมั้ย
ซึ่ง แม่ค้าคนนั้นเรียกร้องกับผู้จัด แต่ผู้จัดบอกว่า ไม่ได้อนุญาตให้มาขายแต่แรก เพราะฉะนั้นเค้าไม่รับผิดชอบ
ทีนี้ก็มีผู้ประกาศข่าว คนนึงบอกประมาณว่า "เรื่องแบบนี้ มันก็ต้องมองถึงความมีมนุษยธรรมแล้วหละครับ"
.
.
.
คือความคิดผม ผมว่า ฝ่ายคนจัด เค้าก็พูดถูก คือถ้าเค้าเป็นคนเช่าสถานที่ และไม่ได้อนุญาตให้แม่ค้าเข้ามาขาย ผมก็ว่าเค้าก็ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องรับผิดชอบอะไร
(จริงๆ มันควรจะต้องไปเรียกร้องกับคนที่เตะฟุตบอลลงกระทะ ซึ่งผมก็ยังไม่คิดว่ามันถูกหรอก แต่มันเป็นไปตามเหตุของกฎหมายมากที่สุดแล้ว)
.
.
.
แต่ผมติดใจตรงผู้ประกาศข่าว ที่แกบอกไว้ ผมว่า แกก็คงรู้ว่าที่แม่ค้าทำ มันผิด ลองคิดตามนะครับ สมมติว่าคุณเผลอเปิดประตูรั้วทิ้งไว้ แล้วมีคนขับแกร๊บ แอบเข้ามาจอดหลบแดดในสวนบ้านคุณ คนขับแกร๊บปวดเยี่ยว เยี่ยวเสร็จก็เดินไปเปิดก๊อกล้างมือโดยไม่รู้ว่ามันมีไฟรั่วอยู่ จนโดนไฟดูด อาการสาหัส ต้องนอนติดเตียงเป็นเดือน
แล้วครอบครัวคนขับแกร๊บ จะมาเรียกร้องให้คุณชดใช้ค่าเสียหาย มันถูกมั้ย
แต่ผู้ประกาศข่าวคนนั้น พูดเหมือนจะไกด์ให้คนที่ฟังข่าว รู้สึกคล้อยตาม ว่าฝ่ายคนจัดงานนั่นแหละควรจะรับผิดชอบบ้าง
ซึ่งแทนที่ผู้ประกาศข่าวคนนั้น จะออกเงินช่วยแม่ค้าที่โดนน้ำมันลวกเอง --- ก็ไม่
หรือจะเปิด บช. รับบริจาคช่วยแม่ค้า --- ก็ไม่อีก
.
.
.
ผมฟังแล้วตอนนี้ผมเลยรู้สึกอยู่ 2-3 อย่าง
1. ผู้ประกาศข่าว คือไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายเลย ข่าว ก็เป็นข่าวของชาวบ้าน ตัวเองเอาเรื่องเค้ามาเล่าให้คนอื่นฟัง ก็ไม่ต้องเสียอะไร แถมมีรายได้จากโฆษณาอีกต่างหาก และนอกจากนั้น ข่าวที่เค้าเอามาเล่า บางข่าวที่เป็นปัญหา ได้รับการแก้ไข คนที่ติดตามเค้าก็จะมองเค้าเป็นผู้มีพระคุณอีกต่างหาก
2. พอเค้ากลายเป็นคนที่ใครๆก็นับถือเกรงใจ ทีนี้เค้าก็จะเหมือนผู้มีอิทธิพลคนนึง ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวก นักการเมือง หรือพวกข้าราชการระดับสูงอะไรเลย ผมมองแบบนี้ถูกมั้ย มันก็จะเหมือนสังคมบ้านนอกสมัยก่อน ที่เวลาชาวบ้านทะเลาะกัน ก็ต้องเอาไปให้ผู้ใหญ่ในถิ่นนั้นจัดการ ทีนี้ ถ้าฝั่งไหนอยู่ข้างผู้มีอิทธิพล ฝั่งนั้นก็ได้เปรียบแล้ว และมันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้มีอิทธิพลคนนั้นๆแล้ว ว่าความคิดของเค้ามันจะถูกต้องแค่ไหน หรือเค้าเลือกที่จะทำให้ถูกใจคนส่วนมากมากกว่าความถูกต้อง
3. เมื่ออะไรก็ตาม ที่คนในบ้านเรายังต้องพึ่งพานักข่าว ให้แก้ปัญหาแบบนี้ มันก็เหมือนกับการพึ่งพาผู้มีอิทธิพล กลายๆ
คือผมว่าแบบนี้มันก็เหมือนกับการพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลนั่นแหละ เพียงแต่มันเป็นการเปลี่ยนสถานะพึ่งพิง จากพวกนักเลง นักการเมือง ตำรวจ มาเป็นนักข่าวแค่นั้นเอง