JJNY : หมอรพ.รัฐแห่ไขก๊อก│ชำแหละศก.ไทยปีนี้ ‘กินบุญเก่า’│หวังรบ.ใหม่ ต่อยอด'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์'│ผวาภัยแล้งป่วนจีดีพี

หมอโรงพยาบาล รัฐแห่ ไขก๊อก เงินน้อย-งานหนัก โผซบเอกชน
https://www.matichon.co.th/local/news_4014534
 
 
หมอ รพ.รัฐแห่ไขก๊อก เงินน้อย-งานหนัก โผซบเอกชน
 
สถานการณ์การขาดแคลนแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐเริ่มทวีความรุนแรง จากการที่แพทย์ทยอยลาออกจากระบบราชการเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการให้บริการในโรงพยาบาลของรัฐ แพทย์ที่ยังอยู่ต้องทำงานหนักขึ้น
 
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ในฐานะประธานคณะกรรมการโรงพยาบาลในกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) เปิดเผยว่า 

ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ลาออกจากระบบราชการเป็นเรื่องจริง และไม่ใช่แค่วิชาชีพแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพยาบาลและเภสัชกรมีการลาออกเช่นกัน โดยพบมากในบุคลากรที่ทำงานในระบบราชการในต่างจังหวัด เป็นปัญหาเกิดขึ้นมานานแล้ว และสะท้อนชัดเจนมากขึ้นจาก 3 ปัจจัย คือ
 
1. ภาระงานที่มากขึ้น 
2. ทัศนคติของบุคลากรรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป เรื่องค่าตอบแทน ค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน โอกาสการศึกษาต่อเพื่อพัฒนาตัวเอง รวมถึงการฟ้องร้อง เพราะการรักษาคนไข้ในปัจจุบันก็ไม่เหมือนในอดีต 
และ 3. หลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ภาคเอกชนไทยหรือต่างประเทศมีความต้องการบุคลากรมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยทำให้คนออกนอกระบบ
 
เคยมีการหารือมาแล้วเมื่อต้นปี 2566 ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และยังต้องมีการหารือกันบ่อยครั้ง และอีกส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับคือการบริหารจัดการงบประมาณในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้ภาระงานของแพทย์เพิ่มมากขึ้น ขณะที่เงินบำรุงกลับลดลง” รศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุข พบว่า สัดส่วนแพทย์ต่อประชากรไทยในปี 2564 อยู่ที่แพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 1,680 คน ในขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำสัดส่วนมาตรฐานที่เหมาะสมคือ แพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 1,000 คน จังหวัดที่แพทย์แบกรับภาระมากที่สุด 3 จังหวัดแรก ได้แก่ 
1. บึงกาฬ มีสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อ 6,018 คน 
2. หนองบัวลำภู แพทย์ 1 คนต่อ 4,710 คน 
3. กาฬสินธุ์ แพทย์ 1 คนต่อ 4,081 คน
 
และจังหวัดที่แพทย์แบกรับภาระน้อยที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ แพทย์ 1 คนต่อ 515 คน



ชำแหละเศรษฐกิจไทยปีนี้ ‘กินบุญเก่า’ ลุ้นรัฐบาลใหม่ขันน็อต แนะนโยบายไหนเบาได้เบา!
https://www.matichon.co.th/economy/news_4014795

ชำแหละเศรษฐกิจไทยปีนี้ ‘กินบุญเก่า’ ลุ้นรัฐบาลใหม่ขันน็อต แนะนโยบายไหนเบาได้เบา!
 
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศไทยที่กำลังเผชิญมรสุม 4 ลูก ไม่ว่าค่าแรง ค่าไฟ ดอกเบี้ยขาขึ้น การเมือง ถือว่าเป็นความลำบากและปัจจัยเสี่ยงพอๆกัน แต่ถ้าให้เรียงลำดับผลกระทบหนักสุดถึงเบาสุดแล้ว ผมให้การเมืองเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นต้นเหตุของอะไรหลายอย่าง ถ้าไม่นิ่ง ความมั่นใจในการบริโภคในประเทศและการลงทุนของภาคธุรกิจจะไม่มี

• เร่งตั้งรัฐบาลใหม่เดินหน้าเศรษฐกิจ
 
แต่ถ้าการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องรอรัฐบาลใหม่มาขับเคลื่อน ไม่ว่าการจัดทำงบประมาณปี 2567 การแก้ระเบียบกฎหมายจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ทิศทางนโยบายใหม่ การเจรจาเขตการค้าเสรี(FTA)” นายอธิปกล่าว
 
นายอธิปกล่าวว่า จึงต้องเร่งจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว หากตั้งไม่ได้ภายในไตรมาส 3/2566 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันการที่จีดีพีมีการขยายตัวในกรอบกว่า 3% เพราะกินบุญเก่าจากปี 2565 ที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวดี เลยทำให้เศรษฐกิจในปีนี้เติบโต
 
ยังขาดการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนจากภาครัฐที่ยังชะลอตัว เพราะรัฐบาลรักษาการณ์ไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาขับเคลื่อน ขณะเดียวกันรัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ต้องมีนโยบายในเชิงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ใช่เชิงหาเสียงถึงจะทำให้เศรษฐกิจไทยไปได้ดีกว่านี้” นายอธิปกล่าว
 
• ชี้ขึ้นค่าไฟ-ดอกเบี้ยสูงเกินไปไม่ส่งผลดี
 
นายอธิปกล่าวว่า มรสุมที่ 2 ราคาพลังงานและค่าไฟ เพราะเป็นต้นทุนที่ทุกคนได้รับผลกระทบทั้งหมดไม่ว่าประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งจะเป็นตัวหนึ่งเป็นภาระหนัก กระทบต่อต้นทุนการแข่งขันของประเทศ ถ้าสูงคงไม่มีใครมาลงทุน ขณะที่ต้นทุนสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ภาครัฐจะต้องมีมาตรการออกมาช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และทำให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว
 
นายอธิปกล่าวว่า มรสุมที่3 ดอกเบี้ยขาขึ้น ถ้าขึ้นเร็ว ขึ้นถี่จนเกินไป มีแนวโน้มจะกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ อย่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีผลกระทบที่ชัดเจนต่อผู้ซื้อบ้านในทันที เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทุก 0.25% จะบั่นทอนกำลังซื้อ 2% ทำให้การตัดสินใจซื้อลดลง และการขอกู้ไม่ผ่านสูง
 
ขณะที่ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผ่านไปยังราคาบ้าน ทำให้ผู้บริโภคซื้อบ้านแพงขึ้น ซึ่งเข้าใจว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้น แต่ควรจะค่อยๆปรับขึ้น อย่าถี่และมากเกินไป เพราะคนจะปรับตัวไม่ทัน ต้องยอมรับว่ารายได้ของคนไม่ได้ปรับขึ้นทุกเดือนและกำลังซื้อก็ไม่ได้ปรับตาม
 
• ขึ้นค่าแรงทันทีห่วงธุรกิจช็อก
 
นายอธิปกล่าวว่า มรสุมที่ 4 การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท ถ้ารัฐบาลใหม่มีการประกาศใช้เลย จะส่งผลกระทบในทันทีและเกิดอาการซ็อก เพราะการขึ้นค่าแรงนายจ้างอาจจะจ่ายไม่ไหว โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จะทำให้ไม่เกิดการจ้างงานใหม่ๆหรือปรับแล้วอยู่ไม่ได้ อาจจะทำให้เกิดการจ้างงานลดลง มีคนตกงาน
 
ส่วนที่มีการจ้างงานอยู่แล้วจะได้รับผลกระทบ แม้บางอุตสาหกรรมจะมีการจ่ายค่าแรงสูงกว่า 450 บาทก็ตาม เพราะหากค่าแรงขั้นต่ำปรับทันที 450 บาท จะกลายเป็นภาระลูกโซ่ให้กับนายจ้างต้องปรับค่าแรงทั้งระบบ ทั้งแรงงานไม่มีฝีมือและแรงงานที่มีฝีมือ เพราะการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะไปดันค่าแรงคนมีฝีมือปรับขึ้นไปอีก หากปรับเฉพาะแรงงานไร้ฝีมือ ค่าแรงจะไปเท่ากับคนที่มีฝีมือ” นายอธิปกล่าว
 
นายอธิปกล่าวว่า สุดท้ายจะไม่ส่งผลดีต่อภาครัฐ หากมีคนตกงาน รัฐจะต้องเข้าไปพยุงอีก ประเทศเราไม่ได้มีการจ้างงานแบบอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนต่างประเทศ อีกทั้งการขึ้นค่าแรงที่สูงเกินไป จะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นที่ค่าแรงถูกและการเมืองนิ่งกว่า เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ขณะเดียวกันผลจากการขึ้นค่าแรง ทำให้แรงงานต่างด้าวได้ประโยชน์มากกว่าแรรงานที่เป็นคนไทย เพราะงานที่ไม่ต้องใช้ฝีมือเรายังพึ่งพาแรงงานต่างด้าวถึง 80% อาจจะทำให้เกิดการหลั่งไหลแรงงานต่างด้าวเข้ามาตามชายแดนจำนวนมาก
 
ผมไม่ได้ค้านการขึ้นค่าแรง แต่ควรจะทยอยปรับขึ้น และเป็นไปตามกลไกคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งเป็นวิธีการสากล ที่จะมีการพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าค่าครองชีพ เงินเฟ้อ ปริมาณการจ้างงาน และแต่ละจังหวัดขึ้นค่าแรงไม่เท่ากัน ถ้าจังหวัดที่ขึ้นสูงเกินความจำเป็น จะเป็นปัญหาเพราะนายจ้างจะรับไม่ไหว ถ้าจังหวัดไหนค่าแรงต่ำเกินไป แรงงานจะหนีไปจังหวัดที่ค่าแรงสูงกว่า ดังนั้นต้องดูผลกระทบที่จะตามมาด้วย” นายอธิปกล่าว
 
• หวั่นมาตรการช่วยเหลือทำยาก
  
พร้อมกล่าวว่า ส่วนที่บอกว่าจะมีมาตรการมารองรับหลังขึ้นค่าแรงนั้น เช่น ลดภาษี ลดค่าไฟให้เอสเอ็มอี ตอนนี้พูดได้ เพื่อลดแรงเสียดทานไปก่อน แต่ในภาคปฎิบัติยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร เช่น อาจจะมีบริษัทใหญ่ ตั้งบริษัทขึ้นมาสวมสิทธิหรือไม่
 
ตอนนี้อะไรที่สะเทือนต่อเศรษฐกิจ อะไรเบาได้ก็เบา เพราะมันไปบั่นทอนขีดความสามรถในการแข่งขันของประเทศ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่ภาคเอกชนต้องขวนขวายเอง ช่วยตัวเอง ตอนนี้ธุรกิจเอสเอ็มอี น่าสงสารที่สุด เพราะเขาอยู่ด้วยตัวเอง เป็นคนตัวเล็ก การขึ้นค่าแรง ค่าไฟ หรือไม่มีลดหย่อนภาษี ที่ขาดทุนอยู่แล้ว จะแย่ไปอีก ตัองให้เวลาเขาปรับตัว” นายอธิปกล่าวย้ำ
 
• แนะลดภาษีที่ดินพยุงธุรกิจ
 
นายอธิปกล่าวว่า ทั้งนี้อยากขอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาการลดหย่อนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้เก็บเป็นขั้นบันได ให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ ไม่เก็บเต็มอัตรา 100% เนื่องจากไม่ใช่ภาคอสังหาฯที่จะบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ยังมีหลายธุรกิจที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด เช่น ธุรกิจโรงแรม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นต้น จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย หากเก็บเต็มอัตรา ทำให้เกิดการค้างชำระ แทนที่จะเก็บได้ในปริมาณที่มาก จะทำให้เก็บได้น้อยลง เพราะคนไม่มีกำลังจ่าย
 
• อสังหาทรงตัวพึ่งกำลังซื้อต่างชาติ

นายอธิปกล่าวว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2566 ยังคงทรงๆตัว ไม่หวือหวา เพราะกำลังซื้อยังไม่เติบโต เป็นผลจากการเมืองไม่นิ่ง ค่าแรง ดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงไม่มีการผ่อนปรนมาตรการLTV ที่มาบั่นทอนกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมยังต้องพึ่งกำลังซื้อต่างชาติมาเสริมทั้งจีนและรัสเซีย ส่วนตลาดแนวราบยังเติบโตและไปได้

ถามว่าจากปัจจัยเสี่ยงยังมี ทำให้มีการชะลอลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาหรือไม่ มีหลายเหตุผลและดูเป็นรายทำเล เช่น ทำเลนั้นดีมานด์และซัพพลายเป็นอย่างไร ถ้าดีมานด์เยอะ แต่ซัพพลายน้อยจะมีการลงทุนโครงการใหม่เข้าไป ตอนนี้ยอมรับว่าภูเก็ตมีกำลังซื้อกลับมาจริง หากจะเติมซัพพลายเข้าไปใหม่ก็ไม่มีปัญหา เพราะซัพพลายที่มีอยู่ไม่พอกับดีมานด์ แต่ต้องลงทุนแบบพอดี ไม่ใช่เฮโลกันไป ส่วนกรุงเทพและปริมณฑลกำลังซื้อเริ่มทยอยกลับมาแต่เป็นบางทำเล ขณะที่ต่างจังหวัดต้องดูรายจังหวัด เช่น ระยอง ชลบุรี เชียงใหม่ ยังพอไปได้ จังหวัดอื่นต้องพิจารณาให้ดี เพราะกำลังซื้ออาจะยังไม่สตรอง” นายอธิปกล่าวทิ้งท้าย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่