บทที่หนึ่ง สามเสาอำนาจสหรัฐ น้ำมัน การเงิน และ เทคโนโลยี
บทที่สอง ความสำคัญของทางขนส่งสินค้าในสงครามโลกครั้งที่สอง
บทที่สาม ภูมิศาสตร์จีน การปิดล้อมจีนไม่ให้ส่งสินค้าหรือนำเข้าวัตถุดิบในกรณีสงครามโลกครั้งที่สาม
บทที่สี่ การฝ่าวงล้อมของจีนที่เป็นการทำลายเสาอำนาจสหรัฐไปในตัว
บทที่หนึ่ง สามเสาอำนาจสหรัฐ น้ำมัน การเงิน และ เทคโนโลยี
จำมาจากหนังสือเรื่อง Century of war, Anglo american oil politic and new world order
เมื่อสมัยอาณานิคม อังกฤษมีเรือเครื่องยนต์ไอน้ำโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เมื่ออังกฤษมาที่จีน, อารยธรรมตะวันออก, อังกฤษก็เห็นสิ่งประดิษฐ์จีนที่จะเพิ่มพลังเครื่องยนต์ของอังกฤษให้ดีขึ้นพันเท่า นายพลเรืออังกฤษกล่าวว่า จากใต้ดิน พวกคนจีนดูดน้ำมันออกมา พวกเขาสร้างท่อโดยใช้ไม้ไผ่ระโยงระยางแล้วนำน้ำมันไปเป็นเชื้อเพลิง ถ้าเรานำสิ่งนี้มาสร้างเครื่องยนต์ พลังเครื่องยนต์จะดีขึ้นพันเท่า การขนส่งสะดวก. จากนั้นจึงเกิดการสร้างเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันปิโตรเลียมในอังกฤษ และจีนราชวงศ์ชิงก็เริ่มส่งออกน้ำมันในฐานะสินค้าส่งออก
สหรัฐเมกา ประเทศใหญ่มาก ก็มีพวกตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ประสบความสำเร็จในการส่งออกน้ำมัน และน้ำมันกลายเป็นเชื้อเพลิงของอุตสาหกรรม ร็อคกีเฟลเลอร์ชนะอุตสาหกรรมน้ำมันโดยการเป็นเจ้าของผูกขาดรถไฟ เมื่อผู้ผลิตน้ำมันรายย่อยที่ดื้อกับรอคกี้เฟลเลอร์ไม่สามารถส่งออกน้ำมันได้เพราะไม่มีรถไฟ เขาก็ต้องขาดทุนและขายกิจการให้ร็อคกี้เฟลเลอร์
สหรัฐเมกาใช้ระบบทองคำในการแลกเปลี่ยนมาแต่โบราณนานแล้ว ดอลล่าห์สหรัฐคือสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ในอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ นั่นหมายความว่าราคาทองคำจะไม่ขึ้นไม่ลงเมื่อเทียบกับดอลล่าห์สหรัฐ นั่นคือน้ำหนักโดยประมาณ จำง่ายๆ หนึ่งดอลล่าห์=1กรัมของทองคำ
คำนวน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วันที่31/1/1934 : 35 ดอลล่า = 1 ทรอยออนซ์ทองคำ
แต่ 1 ทรอยออนซ์หนักเท่ากับ31.1 กรัม
35 ดอลล่า = 31.1 กรัมของทองคำ
เพราะฉะนั้น
1 ดอลล่า = 0.888 กรัมของทองคำ
หรือ
1 กรัมทองคำ = 1.125 ดอลล่าห์สหรัฐ
ระบบนี้เรียกว่ามาตราฐานทองคำ Gold standard.
ในเวลาต่อมาปี 196x สหรัฐก็มาทำสงครามเวียดนาม สงครามเย็น ถือดอลล่าห์สหรัฐที่เป็น gold standard มาจับจ่ายใช้สอยสงครามในประเทศไทย และในยุโรป
เมื่อดอลล่าห์สหรัฐมีค่าดั่งทอง ฝรั่งเศษก็เลยเอาดอลล่าห์กระดาษเป็นฟ่อนๆ รวมๆกันเป็นตู้คอนเทนเนอร์ เอาขึ้นเรือขนส่งไปเมกา เพื่อไปแลกทองคำ ในปี1974 (ผู้อ่านบางคนเกิดแล้ว) สหรัฐเมกาโดยปธน. นิกสันที่กำลังทำสงครามเวียดนามอยู่ก็ ...... ชักดาบ default ปฎิเสธ
(ดังนั้นถ้าใครมาบอกว่าเมกาไม่เคยหนีหนี้ ไม่จริงนะคราบบบ) โดยบอกว่า ให้ใช้ดอลล่าห์สหรัฐซื้อของในประเทศเมกาไปแล้วกัน งั้นทองคำหละ? ก็แล้วแต่ราคาตลาดแล้วกัน ดังนั้นสิ่งนี้เลยเกิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ราคา ณ วันนี้5/6/2023 : 1946 ดอลล่าห์ = 1 ทรอยออนซ์ทองคำ
แต่ 1 ทรอยออนซ์หนักเท่ากับ31.1 กรัม
1946 ดอลล่า = 31.1 กรัมของทองคำ
เพราะฉะนั้น
1 ดอลล่า = 0.016 กรัมของทองคำ
หรือ
1 กรัมทองคำ = 62.57 ดอลล่าห์สหรัฐ
หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ดอลล่าห์สหรัฐในปี 1934 มีค่าเป็น 55 เท่า ของดอลล่าห์สหรัฐในปัจจุบัน
พอบอกว่าราคาทองคำตามราคาตลาดที่คนอยากแลก คนก็ก็แห่เอาดอลล่าห์ไปแลกทองคำ ก่อให้เกิดราคาทองคำที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงปี1975. ดังนั้นสหรัฐจึงต้องหาสินค้าที่มาแทนทองคำ และนั่นก็คือ น้ำมัน. สหรัฐได้ทำให้ดอลล่าห์กลายเป็นนายหน้าของน้ำมัน เมื่อคุณต้องการน้ำมัน คุณต้องแลกเปลี่ยนมันด้วยดอลล่าห์สหรัฐ มันก่อให้เกิดความต้องการดอลล่าห์สหรัฐ์ที่ไม่ใช่ความต้องการสินค้าสหรัฐ เมื่อเป็นเช่นนั้น ดอลล่าห์สหรัฐจึงแข็งแกร่งมีคนต้องการมาก ราคาดอลล่าห์จึงแพง เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ และสหรัฐก็พิมพ์แบงค์ได้ตามใจ* (เรื่องนี้อีกยาว รัฐบาลสหรัฐเขาไม่ได้พิมพ์แบงค์เอง เขาให้สมาคมธนาคารพิมพ์แบงค์ เขาแค่ยืมเงินออกมาจากสมาคมธนาคาร )
เมื่อดอลล่าห์แพง จะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐในสองทาง ทางหนึ่งคือ ค่าแรงสหรัฐแพง ทำให้ทุกคนอยากไปทำงานที่สหรัฐ เมื่อประกอบรวมกับความสามารถในการพิมพ์แบงค์ จึงมีเงินที่จะลงทุนทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นคือ การวิจัยเพื่อทำสิ่งที่ยังเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ โดยใช้มันสมองจากทั่วโลก โดยลงทุนโดยใช้กระดาษที่พิมพ์ขึ้นมา อีกทางหนึ่งคือ อุตสาหกรรมของสหรัฐกลับแข่งขันราคากับญี่ปุ่นไม่ได้ และต้องย้ายออกนอกประเทศเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
จะอธิบายให้ฟัง ทำไมไทยกับพม่าถึงสำคัญในยุทธศาสตร์ล้อมจีนของสหรัฐ
บทที่สอง ความสำคัญของทางขนส่งสินค้าในสงครามโลกครั้งที่สอง
บทที่สาม ภูมิศาสตร์จีน การปิดล้อมจีนไม่ให้ส่งสินค้าหรือนำเข้าวัตถุดิบในกรณีสงครามโลกครั้งที่สาม
บทที่สี่ การฝ่าวงล้อมของจีนที่เป็นการทำลายเสาอำนาจสหรัฐไปในตัว
บทที่หนึ่ง สามเสาอำนาจสหรัฐ น้ำมัน การเงิน และ เทคโนโลยี
จำมาจากหนังสือเรื่อง Century of war, Anglo american oil politic and new world order
เมื่อสมัยอาณานิคม อังกฤษมีเรือเครื่องยนต์ไอน้ำโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เมื่ออังกฤษมาที่จีน, อารยธรรมตะวันออก, อังกฤษก็เห็นสิ่งประดิษฐ์จีนที่จะเพิ่มพลังเครื่องยนต์ของอังกฤษให้ดีขึ้นพันเท่า นายพลเรืออังกฤษกล่าวว่า จากใต้ดิน พวกคนจีนดูดน้ำมันออกมา พวกเขาสร้างท่อโดยใช้ไม้ไผ่ระโยงระยางแล้วนำน้ำมันไปเป็นเชื้อเพลิง ถ้าเรานำสิ่งนี้มาสร้างเครื่องยนต์ พลังเครื่องยนต์จะดีขึ้นพันเท่า การขนส่งสะดวก. จากนั้นจึงเกิดการสร้างเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันปิโตรเลียมในอังกฤษ และจีนราชวงศ์ชิงก็เริ่มส่งออกน้ำมันในฐานะสินค้าส่งออก
สหรัฐเมกา ประเทศใหญ่มาก ก็มีพวกตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ประสบความสำเร็จในการส่งออกน้ำมัน และน้ำมันกลายเป็นเชื้อเพลิงของอุตสาหกรรม ร็อคกีเฟลเลอร์ชนะอุตสาหกรรมน้ำมันโดยการเป็นเจ้าของผูกขาดรถไฟ เมื่อผู้ผลิตน้ำมันรายย่อยที่ดื้อกับรอคกี้เฟลเลอร์ไม่สามารถส่งออกน้ำมันได้เพราะไม่มีรถไฟ เขาก็ต้องขาดทุนและขายกิจการให้ร็อคกี้เฟลเลอร์
สหรัฐเมกาใช้ระบบทองคำในการแลกเปลี่ยนมาแต่โบราณนานแล้ว ดอลล่าห์สหรัฐคือสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ในอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ นั่นหมายความว่าราคาทองคำจะไม่ขึ้นไม่ลงเมื่อเทียบกับดอลล่าห์สหรัฐ นั่นคือน้ำหนักโดยประมาณ จำง่ายๆ หนึ่งดอลล่าห์=1กรัมของทองคำ
คำนวน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ระบบนี้เรียกว่ามาตราฐานทองคำ Gold standard.
ในเวลาต่อมาปี 196x สหรัฐก็มาทำสงครามเวียดนาม สงครามเย็น ถือดอลล่าห์สหรัฐที่เป็น gold standard มาจับจ่ายใช้สอยสงครามในประเทศไทย และในยุโรป
เมื่อดอลล่าห์สหรัฐมีค่าดั่งทอง ฝรั่งเศษก็เลยเอาดอลล่าห์กระดาษเป็นฟ่อนๆ รวมๆกันเป็นตู้คอนเทนเนอร์ เอาขึ้นเรือขนส่งไปเมกา เพื่อไปแลกทองคำ ในปี1974 (ผู้อ่านบางคนเกิดแล้ว) สหรัฐเมกาโดยปธน. นิกสันที่กำลังทำสงครามเวียดนามอยู่ก็ ...... ชักดาบ default ปฎิเสธ
(ดังนั้นถ้าใครมาบอกว่าเมกาไม่เคยหนีหนี้ ไม่จริงนะคราบบบ) โดยบอกว่า ให้ใช้ดอลล่าห์สหรัฐซื้อของในประเทศเมกาไปแล้วกัน งั้นทองคำหละ? ก็แล้วแต่ราคาตลาดแล้วกัน ดังนั้นสิ่งนี้เลยเกิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอบอกว่าราคาทองคำตามราคาตลาดที่คนอยากแลก คนก็ก็แห่เอาดอลล่าห์ไปแลกทองคำ ก่อให้เกิดราคาทองคำที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงปี1975. ดังนั้นสหรัฐจึงต้องหาสินค้าที่มาแทนทองคำ และนั่นก็คือ น้ำมัน. สหรัฐได้ทำให้ดอลล่าห์กลายเป็นนายหน้าของน้ำมัน เมื่อคุณต้องการน้ำมัน คุณต้องแลกเปลี่ยนมันด้วยดอลล่าห์สหรัฐ มันก่อให้เกิดความต้องการดอลล่าห์สหรัฐ์ที่ไม่ใช่ความต้องการสินค้าสหรัฐ เมื่อเป็นเช่นนั้น ดอลล่าห์สหรัฐจึงแข็งแกร่งมีคนต้องการมาก ราคาดอลล่าห์จึงแพง เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ และสหรัฐก็พิมพ์แบงค์ได้ตามใจ* (เรื่องนี้อีกยาว รัฐบาลสหรัฐเขาไม่ได้พิมพ์แบงค์เอง เขาให้สมาคมธนาคารพิมพ์แบงค์ เขาแค่ยืมเงินออกมาจากสมาคมธนาคาร )
เมื่อดอลล่าห์แพง จะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐในสองทาง ทางหนึ่งคือ ค่าแรงสหรัฐแพง ทำให้ทุกคนอยากไปทำงานที่สหรัฐ เมื่อประกอบรวมกับความสามารถในการพิมพ์แบงค์ จึงมีเงินที่จะลงทุนทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นคือ การวิจัยเพื่อทำสิ่งที่ยังเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ โดยใช้มันสมองจากทั่วโลก โดยลงทุนโดยใช้กระดาษที่พิมพ์ขึ้นมา อีกทางหนึ่งคือ อุตสาหกรรมของสหรัฐกลับแข่งขันราคากับญี่ปุ่นไม่ได้ และต้องย้ายออกนอกประเทศเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน