สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 28
คนไทยยังเข้าใจว่าการเรียนคือเรียนไปเพื่อเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกหรอครับ?
ก่อนอื่นเลย การเรียนไม่ได้เรียนเพื่อเอามาใช้ในชีวิตประจำวันครับ คุณไม่ต้องไปโรงเรียนก็อยู่ในสังคมได้ คนที่จบ ป.4 ก็มีเยอะแยะ คนที่ไม่เรียนก็มีเยอะแยะ เขาก็ไม่ตายกัน แต่ถ้าแบบนั้นการเรียนคืออะไรล่ะและทำไปเพื่ออะไรล่ะ
การเรียนมีไว้เพราะว่าคุณมันไม่มีทั้งอนาคตและความสามารถครับ นี่ว่ากันตามจริงเลย การเรียนคือการวางรากฐานเอาไว้เผื่อไปต่อยอดในสายอาชีพในอนาคต แต่เพราะคุณมันไม่มีแบบแผนอะไรในชีวิตเลย ถ้าคนอยากเป็นเชฟ จะไปเรียนเชฟตั้งแต่เด็กก็ได้ ถ้าคนอยากเป็นนักกีฬา อยากไปเป็นนักกีฬาแต่เด็กก็ได้ คุณอาจจะไปเรียนสายวิชาชีพก็ได้ จะดรอปเรียนมาเรียนเฉพาะวิชาที่ตรงสายก็ได้แล้วไปสอบเทียบเอา แต่ไม่ คุณไม่รู้ว่าอนาคตคุณจะอยากทำงานอะไร เพราะอยากเล่นๆนอนๆไปวันๆก็ได้เงิน คุณไม่มีความสามารถอะไรที่เด่น ไม่มีพรสวรรค์ทั้งทางศิลปะ ดนตรี และกีฬา ขนาดจะเปิดร้านขายของทำอาหารยังไม่รู้เลยว่าจะทำดีมั้ย ทำให้เขาต้องปูความรู้เอาไว้เผื่อให้คุณไปใช้ในอนาคต ความรู้ทุกส่วนของคณิตศาสตร์ถึงประถม 6 สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ แต่อย่างว่า คุณไม่มีความสามารถ แค่จะประยุกต์ใช้เรขาคณิตกับสมการให้เป็นประโยชน์ยังไม่ได้เลย เขาเลยต้องสอนแบบหว่านแหกันให้กว้าง เพราะขนาดคุณยังไม่รู้เลยจะเอาไงกับชีวิตตัวเอง เขาก็ต้องสอนมันกว้างตามไปด้วยเพื่อที่คุณจะมีแนวทางในการเลือกในอนาคต
โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่มีไว้สอนเรื่องในชีวิตประจำวัน แต่เป็นแหล่งฝึกรวมสำหรับเด็กที่ยังไม่มีแนวทางในชีวิตที่ชัดเจนและความสามารถที่โดดเด่น ถ้าคุณมี คุณสามารถไม่ต้องเรียนแล้วสอบเทียบข้ามไปได้เลย เช่น เด็กบางคนที่จบปริญญาเอกตั้งแต่ก่อน 20 ซะอีก หรือออกไปเรียนตรงสายได้เลย นักกีฬาหรือนักดนตรีก็ทำกันอย่างหลัง เพราะงั้นที่โรงเรียนต้องสอนก็เพราะคุณเลือกจะมาในสถานศึกษาที่เน้นปูพื้นฐานเผื่อให้เลือกสายอาชีพด้วยตัวคุณเอง โอเค คุณอาจจะไปโยนความผิดให้พ่อให้แม่คุณ แต่ถ้าคุณเคลียร์กับครอบครัวไม่ได้มันก็เรื่องของคุณ สถานศึกษาที่ชื่อโรงเรียนมีไว้เพื่อสอนแบบหว่านแหเพื่อให้เลือกในอนาคต ถ้าคุณไม่คิดจะไปสถานศึกษาที่เฉพาะทางมันก็เป็นความผิดของคุณล้วนๆ
ก่อนอื่นเลย การเรียนไม่ได้เรียนเพื่อเอามาใช้ในชีวิตประจำวันครับ คุณไม่ต้องไปโรงเรียนก็อยู่ในสังคมได้ คนที่จบ ป.4 ก็มีเยอะแยะ คนที่ไม่เรียนก็มีเยอะแยะ เขาก็ไม่ตายกัน แต่ถ้าแบบนั้นการเรียนคืออะไรล่ะและทำไปเพื่ออะไรล่ะ
การเรียนมีไว้เพราะว่าคุณมันไม่มีทั้งอนาคตและความสามารถครับ นี่ว่ากันตามจริงเลย การเรียนคือการวางรากฐานเอาไว้เผื่อไปต่อยอดในสายอาชีพในอนาคต แต่เพราะคุณมันไม่มีแบบแผนอะไรในชีวิตเลย ถ้าคนอยากเป็นเชฟ จะไปเรียนเชฟตั้งแต่เด็กก็ได้ ถ้าคนอยากเป็นนักกีฬา อยากไปเป็นนักกีฬาแต่เด็กก็ได้ คุณอาจจะไปเรียนสายวิชาชีพก็ได้ จะดรอปเรียนมาเรียนเฉพาะวิชาที่ตรงสายก็ได้แล้วไปสอบเทียบเอา แต่ไม่ คุณไม่รู้ว่าอนาคตคุณจะอยากทำงานอะไร เพราะอยากเล่นๆนอนๆไปวันๆก็ได้เงิน คุณไม่มีความสามารถอะไรที่เด่น ไม่มีพรสวรรค์ทั้งทางศิลปะ ดนตรี และกีฬา ขนาดจะเปิดร้านขายของทำอาหารยังไม่รู้เลยว่าจะทำดีมั้ย ทำให้เขาต้องปูความรู้เอาไว้เผื่อให้คุณไปใช้ในอนาคต ความรู้ทุกส่วนของคณิตศาสตร์ถึงประถม 6 สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ แต่อย่างว่า คุณไม่มีความสามารถ แค่จะประยุกต์ใช้เรขาคณิตกับสมการให้เป็นประโยชน์ยังไม่ได้เลย เขาเลยต้องสอนแบบหว่านแหกันให้กว้าง เพราะขนาดคุณยังไม่รู้เลยจะเอาไงกับชีวิตตัวเอง เขาก็ต้องสอนมันกว้างตามไปด้วยเพื่อที่คุณจะมีแนวทางในการเลือกในอนาคต
โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่มีไว้สอนเรื่องในชีวิตประจำวัน แต่เป็นแหล่งฝึกรวมสำหรับเด็กที่ยังไม่มีแนวทางในชีวิตที่ชัดเจนและความสามารถที่โดดเด่น ถ้าคุณมี คุณสามารถไม่ต้องเรียนแล้วสอบเทียบข้ามไปได้เลย เช่น เด็กบางคนที่จบปริญญาเอกตั้งแต่ก่อน 20 ซะอีก หรือออกไปเรียนตรงสายได้เลย นักกีฬาหรือนักดนตรีก็ทำกันอย่างหลัง เพราะงั้นที่โรงเรียนต้องสอนก็เพราะคุณเลือกจะมาในสถานศึกษาที่เน้นปูพื้นฐานเผื่อให้เลือกสายอาชีพด้วยตัวคุณเอง โอเค คุณอาจจะไปโยนความผิดให้พ่อให้แม่คุณ แต่ถ้าคุณเคลียร์กับครอบครัวไม่ได้มันก็เรื่องของคุณ สถานศึกษาที่ชื่อโรงเรียนมีไว้เพื่อสอนแบบหว่านแหเพื่อให้เลือกในอนาคต ถ้าคุณไม่คิดจะไปสถานศึกษาที่เฉพาะทางมันก็เป็นความผิดของคุณล้วนๆ
ความคิดเห็นที่ 3
เอาจริงตามหลักสูตรดั้งเดิมน่ะถือว่าเรียนกำลังดีแล้วครับ มัธยมต้นไปถึงแค่ความน่าจะเป็นก็พอ
แต่ปัจจุบันเหมือนบ้าพลัง พยายามเอาวิชาการชั้นสูงลงมาสอนระดับล่างลงเรื่อยๆ ทั้งที่เด็กแต่ละวัยก็มีขีดความสามารถในการรับรู้
- 50 กว่าปีก่อนเรียนเรื่องเซ็ตตอนมหาวิทยาลัย 30 ปีที่แล้วมาเรียนตอนมัธยมปลาย
- 30 กว่าปีก่อนคณิตศาสตร์ประถม 6 เรียนทศนิยม ร้อยละ องศา หาพื้นที่นิดๆหน่อยๆ ส่วนเศษส่วน สมการ อสมการ Sin Cos Tan เรียนมัธยม 2 พิธากอรัสเรียนมัธยม 3 แต่เดี๋ยวนี้หลายๆคนบอกประถม 6 เรียนสมการ อสมการ พิธากอรัส Sin Cos Tan กันมากว่าสิบปีแล้ว
- นี่เมื่อปี 2561 ก็เห็นมีการพูดกันว่าสนใจหลักสูตรคณิตศาสตร์ของเซียงไฮ้ ที่ทำให้คนเรียนระดับมัธยม 1 สามารถไปเรียนและเข้าใจวิชาของมัธยม 3 ได้เลย
ด้วยความเร็วขนาดนี้อีกไม่นานเราคงได้เห็นมัธยม 1 ต้องเรียนแคลคูลัส พีชคณิต สมการเชิงอนุพันธ์ ตัวแปรเชิงซ้อน วิเคราะห์เวกเตอร์ Laplace Transform กัน
แต่ปัจจุบันเหมือนบ้าพลัง พยายามเอาวิชาการชั้นสูงลงมาสอนระดับล่างลงเรื่อยๆ ทั้งที่เด็กแต่ละวัยก็มีขีดความสามารถในการรับรู้
- 50 กว่าปีก่อนเรียนเรื่องเซ็ตตอนมหาวิทยาลัย 30 ปีที่แล้วมาเรียนตอนมัธยมปลาย
- 30 กว่าปีก่อนคณิตศาสตร์ประถม 6 เรียนทศนิยม ร้อยละ องศา หาพื้นที่นิดๆหน่อยๆ ส่วนเศษส่วน สมการ อสมการ Sin Cos Tan เรียนมัธยม 2 พิธากอรัสเรียนมัธยม 3 แต่เดี๋ยวนี้หลายๆคนบอกประถม 6 เรียนสมการ อสมการ พิธากอรัส Sin Cos Tan กันมากว่าสิบปีแล้ว
- นี่เมื่อปี 2561 ก็เห็นมีการพูดกันว่าสนใจหลักสูตรคณิตศาสตร์ของเซียงไฮ้ ที่ทำให้คนเรียนระดับมัธยม 1 สามารถไปเรียนและเข้าใจวิชาของมัธยม 3 ได้เลย
ด้วยความเร็วขนาดนี้อีกไม่นานเราคงได้เห็นมัธยม 1 ต้องเรียนแคลคูลัส พีชคณิต สมการเชิงอนุพันธ์ ตัวแปรเชิงซ้อน วิเคราะห์เวกเตอร์ Laplace Transform กัน
ความคิดเห็นที่ 31
"เรียนเพื่อเอาไปใช้ ดังนั้นไม่ควรต้องเรียนเยอะ"
นี่คือตรรกะป่วยๆ ของเด็กขี้เกียจมาช้านาน
สังเกตดู เด็กขยัน เด็กฉลาด จะไม่ยกตรรกะนี้มาพูด
ลองมาสำรวจกันสักนิด เราควรเรียนแต่สิ่งที่จะนำไปใช้จริงเหรอ
สมมติคุณอยากเป็นนักบัญชี ทำแค่บวกลบคูณหาร ไม่เรียนอย่างอื่นเลย
แต่ทำไปสักห้าปี อยากเปลี่ยนสายงาน ไปทำที่สูงขึ้น หรือทำด้านอื่น แต่คุณไม่เคยเรียนด้านอื่นเลย คุณทำไง กลับไปเรียนใหม่เหรอ
หรือลองคิดง่ายๆ ทำไมเราให้เด็กอนุบาลวาดรูประบายสี ร้องเพลง เต้นตามจังหวะ ในชั่วโมงเรียน
ถ้าเด็กคนนั้นไม่ได้คิดจะเป็นนักวาดภาพ นักร้อง นักเต้น ก็ไม่ควรต้องเรียนสิจริงมั้ย แล้วเราให้เด็กทำทำไม
ไม่ใช่เพราะว่าการเรียนหรือฝึกทักษะอย่างนึง มันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับอีกหลายๆ อย่างในชีวิตหรอกเหรอ
นี่คือสาเหตุที่เราเรียนกันเยอะๆ เรียนกว้างๆ ให้ครอบคลุม เพื่อให้เรานำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายสาขาวิชาชีพในอนาคต ไม่ใช่เรียนจำกัดอยู่แค่อย่างเดียว เปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย
อย่าลืมว่าในความเป็นจริง "อาชีพ" เป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ ไม่ตายตัว แล้วทำไมจะต้องมากำหนดการเรียนให้ตายตัวอยู่แค่สิ่งที่จะนำไปใช้ด้วยล่ะ
เห็นชอบอ้างคำนี้กันจัง "ใช้ในชีวิตประจำวัน" ลองพิจารณาคำนี้ให้ลึกๆ คุณรู้อนาคตเหรอ ว่าชีวิตคุณจะเจออะไรบ้าง ถึงสามารถกำหนดตายตัวได้ว่าชีวิตประจำวันของฉันจะมีเท่านี้ไปจนตาย
ถามตัวเอง ที่ไม่อยากเรียนเยอะ เพราะรู้อนาคตแล้ว หรือว่าแค่ขี้เกียจเรียน
นี่คือตรรกะป่วยๆ ของเด็กขี้เกียจมาช้านาน
สังเกตดู เด็กขยัน เด็กฉลาด จะไม่ยกตรรกะนี้มาพูด
ลองมาสำรวจกันสักนิด เราควรเรียนแต่สิ่งที่จะนำไปใช้จริงเหรอ
สมมติคุณอยากเป็นนักบัญชี ทำแค่บวกลบคูณหาร ไม่เรียนอย่างอื่นเลย
แต่ทำไปสักห้าปี อยากเปลี่ยนสายงาน ไปทำที่สูงขึ้น หรือทำด้านอื่น แต่คุณไม่เคยเรียนด้านอื่นเลย คุณทำไง กลับไปเรียนใหม่เหรอ
หรือลองคิดง่ายๆ ทำไมเราให้เด็กอนุบาลวาดรูประบายสี ร้องเพลง เต้นตามจังหวะ ในชั่วโมงเรียน
ถ้าเด็กคนนั้นไม่ได้คิดจะเป็นนักวาดภาพ นักร้อง นักเต้น ก็ไม่ควรต้องเรียนสิจริงมั้ย แล้วเราให้เด็กทำทำไม
ไม่ใช่เพราะว่าการเรียนหรือฝึกทักษะอย่างนึง มันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับอีกหลายๆ อย่างในชีวิตหรอกเหรอ
นี่คือสาเหตุที่เราเรียนกันเยอะๆ เรียนกว้างๆ ให้ครอบคลุม เพื่อให้เรานำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายสาขาวิชาชีพในอนาคต ไม่ใช่เรียนจำกัดอยู่แค่อย่างเดียว เปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย
อย่าลืมว่าในความเป็นจริง "อาชีพ" เป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ ไม่ตายตัว แล้วทำไมจะต้องมากำหนดการเรียนให้ตายตัวอยู่แค่สิ่งที่จะนำไปใช้ด้วยล่ะ
เห็นชอบอ้างคำนี้กันจัง "ใช้ในชีวิตประจำวัน" ลองพิจารณาคำนี้ให้ลึกๆ คุณรู้อนาคตเหรอ ว่าชีวิตคุณจะเจออะไรบ้าง ถึงสามารถกำหนดตายตัวได้ว่าชีวิตประจำวันของฉันจะมีเท่านี้ไปจนตาย
ถามตัวเอง ที่ไม่อยากเรียนเยอะ เพราะรู้อนาคตแล้ว หรือว่าแค่ขี้เกียจเรียน
ความคิดเห็นที่ 6
ผมทำวิศวะออกแบบวงจรไฟฟ้าก็ใช้ Calculus อยู่ประจำทุกวันนะครับ
คนที่มักบ่นว่าไม่ได้ใช้ มันเพราะสายอาชีพเค้าไม่ได้ใช้หรือเปล่าครับ
คณิตศาสตร์ มันเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ครับ
และสิ่งที่ดีที่สุดคือใช้ฝึกสมองได้ดีมากครับ ยิ่งฝึกยิ่งเก่ง สมองยิ่งใช้บ่อยโรคต่างๆทางสมอง อย่างอัลไซเมอร์ก็ลดลงครับ
คนที่มักบ่นว่าไม่ได้ใช้ มันเพราะสายอาชีพเค้าไม่ได้ใช้หรือเปล่าครับ
คณิตศาสตร์ มันเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ครับ
และสิ่งที่ดีที่สุดคือใช้ฝึกสมองได้ดีมากครับ ยิ่งฝึกยิ่งเก่ง สมองยิ่งใช้บ่อยโรคต่างๆทางสมอง อย่างอัลไซเมอร์ก็ลดลงครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์เยอะจังครับ ทั้งๆที่ในชีวิตประจำวันเราใช้แค่+-×÷