สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
.






.
.
เรื่องหุ้น ITV เถียงกันไม่จบครับ
เพราะ พิธา ถือหุ้นจริง มีหุ้นอยู่ในบัญชีจริง
และไอทีวี เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อจริง มีตัวตนอยู่จริง
เพราะฉะนั้น สองเรื่องนี้ไม่ต้องมาถกกันให้เปลืองเวลา
เพราะพิธา ถือหุ้นนั่นจริง เเละบริษัทไอทีวีก็มีจริง
เพียงเเต่ ITV ได้หยุดประกอบกิจการสื่อมานานหลายปีเเล้ว
เเละตรงที่ว่า " หยุดประกอบกิจการสื่อ " มาหลายปีเเล้วนี่เเหละ
ที่จะเป็นประเด็นต้องตีความกันต่อไป

หรือถ้าจะเอา กรณีชาญชัย นครนายก มาเทียบคงไม่ได้
เพราะชาญชัย นั่นเเกถือหุ้น เอไอเอส
เเล้วเอไอเอส ไปลงทุนต่อในบริษัททำสื่ออีกที
ไม่ใช่ความผิดโดยตรง ที่ชาญชัยกระทำขึ้นด้วยตัวเอง
หรือถ้าจะอ้างจำนวน หุ้น ว่าน้อยเกินไป ครอบครองสื่อไม่ได้
กรณีนี้เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 12-14/2553
ระบุไว้ว่าการห้ามถือหุ้น ไม่เกี่ยวกับจำนวนหุ้นที่ถือ
ว่ามีมากน้อยเเค่ไหน หรือจะมีอิทธิพลครอบงำหรือไม่
พูดง่ายๆ " ห้ามก็คือห้าม " หุ้นเดียวก็ไม่ได้
เพราะ พิธา ถือหุ้นจริง มีหุ้นอยู่ในบัญชีจริง
และไอทีวี เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อจริง มีตัวตนอยู่จริง
เพราะฉะนั้น สองเรื่องนี้ไม่ต้องมาถกกันให้เปลืองเวลา
เพราะพิธา ถือหุ้นนั่นจริง เเละบริษัทไอทีวีก็มีจริง
เพียงเเต่ ITV ได้หยุดประกอบกิจการสื่อมานานหลายปีเเล้ว
เเละตรงที่ว่า " หยุดประกอบกิจการสื่อ " มาหลายปีเเล้วนี่เเหละ
ที่จะเป็นประเด็นต้องตีความกันต่อไป

หรือถ้าจะเอา กรณีชาญชัย นครนายก มาเทียบคงไม่ได้
เพราะชาญชัย นั่นเเกถือหุ้น เอไอเอส
เเล้วเอไอเอส ไปลงทุนต่อในบริษัททำสื่ออีกที
ไม่ใช่ความผิดโดยตรง ที่ชาญชัยกระทำขึ้นด้วยตัวเอง
หรือถ้าจะอ้างจำนวน หุ้น ว่าน้อยเกินไป ครอบครองสื่อไม่ได้
กรณีนี้เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 12-14/2553
ระบุไว้ว่าการห้ามถือหุ้น ไม่เกี่ยวกับจำนวนหุ้นที่ถือ
ว่ามีมากน้อยเเค่ไหน หรือจะมีอิทธิพลครอบงำหรือไม่
พูดง่ายๆ " ห้ามก็คือห้าม " หุ้นเดียวก็ไม่ได้
( อย่าลืมว่า คำพิพากษา ศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันธ์ทุกองค์กร )
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เหลือเเค่ว่า
ศาลจะตีความอย่างไร ใน " ในหุ้นที่พิธามีอยู่ เเละในความคงอยู่ของ ไอทีวี " เเค่นั้นเองครับ
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เหลือเเค่ว่า
ศาลจะตีความอย่างไร ใน " ในหุ้นที่พิธามีอยู่ เเละในความคงอยู่ของ ไอทีวี " เเค่นั้นเองครับ
--------------------------------------------
ย่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 12-14/2553
เรื่อง สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำการต้องห้าม
อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่
กรณีส่งเรื่อง ตามมาตรา 91 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 48 มาตรา 91 วรรคสาม มาตรา 105 มาตรา 106 (6) มาตรา 117 วรรคหนึ่ง
มาตรา 236 (5) และมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) และวรรคสาม
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
มาตรา 24 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550
มาตรา 236 (5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสืบสวนสอบสวน
เพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552
ดังนั้น ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 24 วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้โอกาสผู้ถูกร้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว
และผู้ถูกร้องส่วนใหญ่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
ถือได้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ให้โอกาสผู้ถูกร้องทุกคนแล้ว
การถือหุ้นในบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการอันเป็นการต้องห้ามเป็นจำนวนมากพอ
ที่จะทำให้มีอำนาจครอบงำกิจการของบริษัทที่ประกอบกิจการอันเป็นการต้องห้ามได้
ย่อมเป็นการกระทำโดยทางอ้อมตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบกับมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ
ทั้งนี้ การห้ามถือหุ้นในกรณีดังกล่าวไม่รวมถึงการถือหุ้นที่มีมาก่อนวันเลือกตั้ง
หรือวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
เนื่องจากทั้งสองมาตราไม่ได้บัญญัติว่าไม่ให้คงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐธรรมนูญห้ามการถือหุ้นไว้ชัดเจน
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
มีช่องทางที่จะใช้หรือถูกใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในทางใดทางหนึ่ง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ ไม่ได้ระบุว่า จะต้องถือหุ้นจำนวนเท่าใด
และไม่ได้ระบุว่า จะต้องมีอำนาจบริหารงานหรือครอบงำกิจการหรือไม่
ดังนั้น การถือหุ้นเพียงหุ้นเดียวย่อมเป็นการถือหุ้นตามความหมายในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ แล้ว
แม้ผู้ถือหุ้นจะไม่มีอำนาจบริหารหรือครอบงำกิจการก็ตาม
ดังนั้น การซื้อหุ้นของผู้ถูกร้องที่ 19 ที่ 30 ที่ 33 ที่ 40 ที่ 42 และที่ 44 หรือคู่สมรส
แม้ว่าจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์และเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือเพื่อเก็งกำไรก็ตาม
ถือว่าเป็นการอันต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4)
และวรรคสาม ประกอบมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ แล้วแต่กรณี
อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของผู้ถูกร้องดังกล่าวสิ้นสุดลงตามมาตรา 106 (6)
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
เรื่อง สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำการต้องห้าม
อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่
กรณีส่งเรื่อง ตามมาตรา 91 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 48 มาตรา 91 วรรคสาม มาตรา 105 มาตรา 106 (6) มาตรา 117 วรรคหนึ่ง
มาตรา 236 (5) และมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4) และวรรคสาม
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
มาตรา 24 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550
มาตรา 236 (5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสืบสวนสอบสวน
เพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552
ดังนั้น ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 24 วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้โอกาสผู้ถูกร้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว
และผู้ถูกร้องส่วนใหญ่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
ถือได้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ให้โอกาสผู้ถูกร้องทุกคนแล้ว
การถือหุ้นในบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการอันเป็นการต้องห้ามเป็นจำนวนมากพอ
ที่จะทำให้มีอำนาจครอบงำกิจการของบริษัทที่ประกอบกิจการอันเป็นการต้องห้ามได้
ย่อมเป็นการกระทำโดยทางอ้อมตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบกับมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ
ทั้งนี้ การห้ามถือหุ้นในกรณีดังกล่าวไม่รวมถึงการถือหุ้นที่มีมาก่อนวันเลือกตั้ง
หรือวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
เนื่องจากทั้งสองมาตราไม่ได้บัญญัติว่าไม่ให้คงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐธรรมนูญห้ามการถือหุ้นไว้ชัดเจน
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
มีช่องทางที่จะใช้หรือถูกใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในทางใดทางหนึ่ง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ ไม่ได้ระบุว่า จะต้องถือหุ้นจำนวนเท่าใด
และไม่ได้ระบุว่า จะต้องมีอำนาจบริหารงานหรือครอบงำกิจการหรือไม่
ดังนั้น การถือหุ้นเพียงหุ้นเดียวย่อมเป็นการถือหุ้นตามความหมายในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ แล้ว
แม้ผู้ถือหุ้นจะไม่มีอำนาจบริหารหรือครอบงำกิจการก็ตาม
ดังนั้น การซื้อหุ้นของผู้ถูกร้องที่ 19 ที่ 30 ที่ 33 ที่ 40 ที่ 42 และที่ 44 หรือคู่สมรส
แม้ว่าจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์และเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือเพื่อเก็งกำไรก็ตาม
ถือว่าเป็นการอันต้องห้ามตามมาตรา 265 วรรคหนึ่ง (2) (4)
และวรรคสาม ประกอบมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ แล้วแต่กรณี
อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของผู้ถูกร้องดังกล่าวสิ้นสุดลงตามมาตรา 106 (6)
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

----------------------------
เเละเรื่องถือหุ้นสื่อ เเค่หุ้นเดียว
เเล้วถูกตัดสิทธิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งก็เคยเกิดขึ้นเเล้ว ( เเต่เป็นศาลจังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่ศาล รธน )
ในกรณีของ คุณสุรโชค ทิวากร ที่จ กาญจนบุรี ถือหุ้นสื่อ อสมท จำนวน 1 หุ้น มูลค่า 5 บาท
เเล้วถูกตัดสิทธิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งก็เคยเกิดขึ้นเเล้ว ( เเต่เป็นศาลจังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่ศาล รธน )
ในกรณีของ คุณสุรโชค ทิวากร ที่จ กาญจนบุรี ถือหุ้นสื่อ อสมท จำนวน 1 หุ้น มูลค่า 5 บาท
สุดท้ายแล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้น ได้พิพากษาจำคุกนายสุรโชคเป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน
แต่จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือครึ่งหนึ่ง ให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท พร้อมกับตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี
แต่จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือครึ่งหนึ่ง ให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท พร้อมกับตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี





.
.
แสดงความคิดเห็น
มีใครคิดแบบเดียวกันกับเราบ้างที่ทิม พิธาดูมั่นใจมากว่าตัวเองต้องรอดจากการถือหุ้นไอทีวีแน่นอน 100 %