กับดักหนี้

เราไม่แน่ใจว่า การเขียนกระทู้ ให้ทุกคนเข้าใจง่าย อยากอ่าน ต้องทำยังไง นี่คือกระทู้แรก 
เราอยากเขียน เพื่ออยากได้คำแนะนำที่ดี จากใครที่พอจะให้ได้ 
เรามีปัญหาชีวิตที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่อง ครอบครัว การเงิน เศรษฐกิจ 
รบกวนพยายามอ่านทำความเข้าใจหน่อยนะคะ

เราเกิดจากครอบครัวพ่อเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย นายสิบ ส่วนแม่ทำงานบริษัทเล็กๆ ตอนปี 36 
พวกเราอาศัยอยู่ที่แฟลตตำรวจ
แม่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อใช้ชีวิตแบบ กู้เงินสวัสดิการตำรวจ มาใช้ส่วนตัว 
เคยติดโต๊ะสนุ๊กไม่กลับบ้าน จนแม่มีน้องคนที่ 2 พ่อก็ยังเป็นแบบนั้น 
สุดท้าย พ่อกับแม่เลิกกันตอนเรา 4 ขวบ น้องสาว 2 ขวบ

ราวประมาณไม่เกิน 1 ปี พ่อก็มีแม่ใหม่ แต่งงานใหม่
เราคิดว่า อาจเพราะ เราและน้องยังเล็ก และพ่อต้องการให้มีคนดูแล

ระหว่างการใช้ชีวิตตั้งแต่ 4 ขวบ ถึง 12 ขวบ ของเรา
มีแม่เลี้ยง และพ่อที่เป็นที่มาของรายได้ในครอบครัว
พ่อก็เงินเดือนตำรวจ และกู้หนี้เหมือนเดิม กู้มาใช้จ่าย ไม่ใช่ต่อยอด
แม่เลี้ยงก็เปิดร้านเสริมสวย 

จนตอนเรา ป.6 คือ 12 ขวบ พ่อกับแม่เลี้ยง ทะเลาะเพื่อเลิกกันอีกแล้ว 
สุดท้ายก็เลิกอีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้พ่อก็เริ่มมีแฟนใหม่แล้ว

แม่แท้ๆเรา ก่อนหน้านี้พ่อกีดกันเสมอ ไม่ให้มาเจอหน้าเรากับน้อง
แม่เลยไม่ได้เข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

พอตอนเราอายุ 13 ปี เข้า ม.1 พ่ออนุญาตให้แม่เข้ามาหาเรากับน้องได้แบบเปิดเผย
พ่อก็เปิดตัวแฟนใหม่ แฟนใหม่พ่อเป็นคนดี และเข้ามาดูแล ซัพพอร์ตด้านการเงินพอสมควร

แต่ก็สุดท้าย พ่อกับแฟนใหม่ก็ไปกันไม่ยรอด ด้วยเหตุผลส่วนตัวของทั้งสองคน

ประมาณ ม.2 ปลายๆ พ่อกลับสู่สภาวะตกต่ำเรื่องการเงินอีกครั้ง
เราจำเหตุการณ์ตกต่ำนั้นได้ เรามีเงินแค่ 6 บาท ทั้งครอบครัว
เราเอาเงินไปซื้อมาม่ามา 1 ห่อ เราให้พ่อกันก่อน และพ่อก็กินแบบเหลือไว้ให้นิดหน่อย
แล้วเรากับน้องก็กินมาม่านั้นต่อ
บางวัน เราก็ไปโรงเรียนไม่ได้ เพราะไม่มีเงินไปโรงเรียน

หลังจากนี้ ชีวิตพ่อต้องรับผิดชอบชีวิตเราและน้องคนเดียว เกือบทั้งหมด
ส่วนแม่แท้ๆเรา มีช่วยบ้าง แต่ไม่มาก

พ่อใช้ชีวิตด้วยการใช้บัตรเครดิต กู้สหกรณ์ปิด หมุน จนไปถึง หนี้นอกระบบ
ใช้ชีวิตแบบนี้เรื่อยๆ

จนเราเข้าเรียน ปวช

ส่วนน้องเรา มีปัญหากับการเรียน ไม่ใช่เรียนไม่ดี ไม่เก่ง
แต่น้องเรามีปัญหาเรื่องการโดนบูลี่ในโรงเรียน จนน้องไม่อยากไป
เพราะทั้งเรื่องน้ำหนัก เสื้อผ้า อาจเพราะไม่มีแม่อยู่ช่วยเรื่องนี้ 
การดูแลตัวเองในแบบผู้หญิงจึงน้อยไป 

ตอนนั้น แม่ถึงได้เข้ามารับน้องไปดูแลเต็มตัวอยู่พักใหญ่ 

พ่อก็ดูแลเรา 
และแน่นอน พ่อใช้ชีวิตด้านการเงินเหมือนเดิม 
ตำรวจก็สวัสดิการดี ปล่อยกู้บ่อย และแน่นอนพ่อเราทำแบบนั้น
จนเงินเดือนโดนหักแทบไม่เหลือ

จนเรา ปวช.3 เราไปฝึกงานที่หนึ่ง
และได้เจอแฟนที่นั่น ขอแทนว่า พี่ ย
รายละเอียดแฟนเด่นๆคือ สามารถซัพพอร์ตเงินได้ในระดับนึง และมีครอบครัวแล้ว
และแน่นอน เราเลือกจะคบ

พี่ ย เข้ามาในชีวิต ด้วยความที่เค้าเป็นมีจิตใจดี 
และเข้าใจความลำบากเราเป็นที่สุด
เค้าก็เป็นตัวแปรสำคัญในการใช้ชีวิตของเรา
จนเรียนจบ ปวส. ได้ทำงานเป็นลูกจ้าง

พี่ ย มีส่วนในการช่วยเหลือด้านการเงินของฉัน และครอบครัวมาตลอด
เล็กน้อยจนไปถึงมากในระดับหมื่น 

พอฉันได้ทำงานเป็นลูกจ้าง ก็มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง
พ่อเริ่มเบาเรื่องเงิน (แต่ก็ยังใช้ชีวิตกู้สหกรณ์อยู่ ส่วนหนี้บัตร พ่อติดแบล็คลิส ทุกอย่าง แต่ที่ดีขึ้นคือ พ่อเคลียร์หนี้นอกระบบแล้ว)
ส่วนน้องเราก็ใกล้จะเรียนจบ ปวส. (ลืมบอกน้องเรากลับมาอยู่ในความดูแลของพ่ออีกครั้งช่วงก่อนที่เราเริ่มทำงาน)

และยังมี พี่ ย ซัพพอร์ตเพิ่มเติมมาตลอด
จนเราสอบบรรจุราชการได้

เราต้องห่างบ้าน น้องสาวก็ไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดจนจบและกลับไปทำงานที่เดิม
พ่อใช้ชีวิตคนเดียว เรื่องค่าใช้จ่าย เราก็ส่งให้ได้บ้าง แต่ไม่มาก 
ส่วนพ่อก็เบาไปอีกนิดเพราะลูกทั้งสองทำงาน แต่เพราะการใช้ชีวิตกว่าลูกจะเรียนจบทำงาน
อย่างที่เราบอก พ่อกู้จนเงินเดือนหักเกือบหมด ก็เหลือประมาณ 2000 กว่าบาท ตอนนั้นช่วงปี 60 
พ่อเราจึงต้อง กู้สหกรณ์ หักลบกลบหนี้ นำส่วนต่างมาใช้ แบบนี้ วนไป

และพ่อก็มีแฟนคนใหม่เข้ามา
เค้าเป็นคนดี พ่อสามารถหยิบยืมเงินจากคนนี้ได้เสมอ
แต่ได้แค่ยืม แล้วพ่อก็ใช้ชีวิตแบบนี้ ยืมตอนนี้ 1 ปีกู้สหกรณ์ คืนเป็นก้อน สักพักยืมต่อ (จนถึงปัจจุบัน)

พอเราได้ย้ายกลับมาอยู่บ้าน พ่อเริ่มไม่สบาย
ตอนนั้น เราเป็นคนเดียวที่ดูแลพ่อ
พ่อไม่สบายแบบหาสาเหตุไม่ได้
เราจึงตัดสินใจพาพ่อไปหาหมอที่ รพ.ตำรวจ ที่ กทม.

และค่าใช้จ่ายก็เกิดขึ้น 
เราจึงเข้าสู่กระบวนการกู้หนี้แบบเป็นเรื่องเป็นราว

****ขอย้อนนิดนึง ตอนเราทำงานเป็นลูกจ้าง จริงๆก็เริ่มมีหนี้แล้ว แต่หนี้ประมาณ 34,000 หมื่น บาทจากบัตรกดเงินสด
และเราก็จ่ายไปกดมา จ่ายไป กดมา เพื่อหมุนเหมือนกัน เพราะเงินเดือนน้อย และบางครังเราก็ฟุ่มเฟือย
(และเรามีหนี้ กยศ. ประเภทค่าใช้จ่ายรายเดือน จึงไม่เยอะ เพราะพ่อเราเป็นตำรวจ ค่าเทอมเบิกได้)

พอเราย้ายกลับมาบ้าน ปี 61 เรากู้สหกรณ์หน่วยงานเรา 
มาปิดหนี้บัตร ให้พ่อ และแน่นอน เราใช้จ่ายส่วนตัวจากเงินที่กู้มาได้ ตอนนั้นยอดกู้ 100,000 บาท
เงินเดือนโดนหักประมาณเดือนละ 2,500 จากรายรับของเราเดือนละ 15,700+ โดยประมาณ
ก็เหลือประมาณ 13,200+ 

และแน่นอน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีที่พ่อเราไม่สบาย 
คือ เราต้องเลิกกับพี่ ย เพราะพ่อรู้ความจริงว่า พี่ ย มีครอบครัวแล้ว
จากที่เรามีเงินเดือน และแรงซัพพอร์ตจากพี่ ย เพื่อดูแลพ่อ และใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของเรา
ตอนนี้ก็ขาดไปส่วนสำคัญในการเดินต่อในชีวิต

และเราก็มีค่าใช้จ่ายในการพาพ่อไป กทม. อย่างน้อยเดือนละ ครั้ง บางเดือนก็ 2 ครั้ง
และยังมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวพ่อ และเรา (พ่อเราติดเบียร์มานาน ไม่กินก็นอนไม่หลับ และช่วงนั้นกินแบบ 4 ขวดใหญ่ ไม่ก็ 8 ป๋อง)
แน่นอนว่า ทุกอย่างมันเกินตัวเรา 
คือการใช้เงินตอนนั้นคือ หนัก  

หลังจากตรวจยกเครื่องพ่อ (เพราะตรวจทุกอย่างจริงๆ)
สรุปไม่เจออะไรเลย
แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าเป็นเพราะสภาพจิตใจ ที่รู้เพราะเหตุการณ์หลังจากนี้พิสูจน์

พ่อกับเราคุยกันเรื่องสร้างบ้าน
การใช้ชีวิตแฟลตตำรวจ มาทั้งหมด 26 ปีของเรา 30 ปีของพ่อ
โดยที่เพื่อนเราวัยเดียวกันในแฟลต พ่อแม่แยกไปซื้อบ้านกันแล้ว

พ่อก็แก่ลงทุกวัน เราสังเกตุเห็น พ่อชอบที่จะไปอยู่ที่บ้านเกิดมากขึ้น
ไปบ้านพี่สาวพ่อ(ป้าเรา) และอาการของพ่อที่แย่ ก็ดีขึ้นเมื่อไปอยู่ที่บ้านเกิด

และพ่อมาคุยกับเราว่าอยากสร้างบ้านที่บ้านเกิด
เราเห็นแล้ว คงถึงเวลาแล้วสำหรับการสร้างบ้านสักที 

เรามีที่ดินของย่าเราที่ยังไม่มีการโอน ยังเป็นชื่อย่า (ย่าเราเสียไปนานมากแล้ว)
ก็คุยกับญาติพี่น้อง เค้าก็โอเคกับการที่พ่อเรามาสร้างบ้าน

ว่าด้วยเรื่อง ค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้าน
ตอนแรก คุยกับพ่อ พ่อบอกจะกู้ สหรกรณ์เพื่อทำบ้าน
เราก็โอเค รอเวลา 
ผลปรากฏว่า ทุกอย่างไม่เป็นดั่งหวัง
ตอนนั้นเงินเดือนพ่อยังไม่สามารถกู้ได้ 

แต่ความหวังพ่อเกิดขึ้นแล้ว
เราเห็นผลดีที่เกิดขึ้นกับสุขภาพจิตใจพ่อ
เราเลยต้องสานต่อ

สรุป เราเข้าสู่การกู้ครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 
สรุปตอนนั้นเรากู้ 500,000 บาท 
ปิดหนี้สหกรณ์ ประมาณ 140,000 บาท (ปล.เราไปกู้สหรกรณ์เพิ่มตอนพ่อไม่สบายเอามาใช้จ่ายและฟุ่มเฟือยส่วนตัว)
หักค่าประกันกรุงไทย หักค่าบัตรเครดิต 2 ใบ อีกแล้ว 
เหลือประมาณ 300,000 บาท

เราก็เริ่มสร้าง เริ่มไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ 
และเงินก็ไม่พอ เพราะใช้บ้าง สร้างบ้านบ้าง
สุดท้าย เราขายทองของเรา (ปล.ตอนปีที่สร้างบ้าน ปี 62 กลางปี เรามีแฟนแล้ว และแฟนเราก็ขายทองเพื่อช่วยเรา) 
แต่ก็ไม่พอ สุดท้าย เราไปกู้ ธนวัฎมาอีก ธนาคารปล่อยยอด 130,000 บาท (ธนวัฎ คือ ยอดเบิกเกินบัญชี หักแค่ดอกเบี้ยต่อเดือน)
จนเสร็จ เราย้ายอยู่บ้านใหม่ พร้อมหนี้ก้อนใหญ่ 2 ก้อน คือ สินเชื่ออเนกประสงค์ และ ธนวัฎ
และแน่นอน พ่อเรา ยืมเงินแฟนพ่อ และคืนจากหนี้สหกรณ์วนไป

ใช้ชีวิตจนปี 63 เราตกลงแต่งงานเดือน โดยใช้เงินกู้ในการแต่งงาน 
เราใช้บัตรเครดิต อีกแล้วในการจัดงาน
สินสอดเราไม่ได้รับ คืนครอบครัวแฟน เพราะเค้าก็ไม่มี
สุดท้ายงานแต่งก็ขาดทุน ปิดหนี้ไม่หมด

และเราก็ตั้งท้อง 
จากหนี้สินที่มี กับเงินเดือนที่มี ที่โดนหักทั้งหมด 
ก็เหลือเพียงประมาณ 8,500+
พร้อมกับหนี้แต่งงาน 
และแฟนเราก็ลาออกจากทหารพราน มาวิ่งไรเดอร์ที่บ้าน
รายได้อยู่ที่การทำงานของแฟนเรา
ประมาณได้ว่า ช่วงนั้น หลังจากเราท้อง แฟนสามารถหาเงินได้เฉลี่ยวันละ 400 
โดยวันหยุดส่วนใหญ่ แฟนเราจะหยุดด้วย

เราจึงมีความคิดในการเคลียร์หนี้ใหม้
และกู้หาส่วนต่างมาเพื่อเตรียมพร้อมในการคลอดลูก
ของใช้ จัดบ้านใหม่ 
สรุปเราไปกู้มาอีกรอบ รอบนี้กู้มา 1,200,000 บาท
หักลบกลบหนี้ เหลือประมาณ 400,000+ 
แน่นอนว่า เราฟุ่มเฟือยไปกับของใช้ลูก ซื้อทอง มือถือ ซื้อรถ 60,000
การตกแต่งบ้าน และท่องเที่ยวบางครั้ง

และเงินก็หมด เราคลอดลูกก็ขายทองเหมือนเดิมอีก
แน่นอนว่า ชีวิตหลังมีลูก ค่าใช้จ่ายสารพัด ทุกอย่าง
โห คนมีลูกเท่านั้นถึงจะเข้าใจ 
การเงินติดขัด เราหาเงินยืมเงิน หมุนเงิน เอารถจำนำทะเบียน ทุกอย่าง
น้องเราตอนนั้นช่วงโควิด ตกงาน มาอยู่บ้านพร้อมน้องเขย
และพ่อเรา ใช่ เงินเดือนเหลือประมาณ 2000+ เหมือนเดิม ยืม คืน หมุน เราก็หมุน ช่วยน้องสาวน้องเขยบ้าง 
ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าใช้จ่ายลูก ส่วนตัว สามีเรา 

สุดท้ายเราเลือกที่จะ กู้อีกครั้ง รอบนี้กู้ 1,500,000
และแน่นอน หักลบกลบหนี้ เหมือนเดิม
ใช้จ่าย ให้พ่อ น้องสาว น้องเขย ต่อเติมบ้านให้น้องสาวน้องเขย (ตอนสร้างบ้านไม่ได้สร้างห้องเผื่อไว้ให้)
มีฟุ่มเฟือยส่วนตัวอีก โทรศัพท์ ทอง ท่องเที่ยว และแล้ว....

ตอนนี้ เรากลับประสบปัญหาการเงินอีกครั้ง 
จนตอนนี้ เวลานี้ เรามีความคิดอยากจะลงทุน หาการสร้างรายได้เพิ่มเติม 
แต่เราติดลบ ครอบครัวเราติดลบ 

น้องสาวเพิ่งบรรจุ ต้องไปอยู่ กทม. เพิ่งซื้อรถใหม่ ผ่อนรถหนัก น้องเขยกลับไปทำงานที่เดิม ช่วยกันผ่อนรถ
ทุกคน มีภาระเพิ่มขึ้นคนละแบบ 

ส่วนแม่เรา แม่เราแต่งงานใหม่และตอนนี้มีน้องสาวอีกคน และแม่ก็เลิกกับแฟนใหม่แม่แล้ว
แม่ต้องดูแลน้องสาวคนเล็กประมาณ 80% และแม่ยังต้องดูแลพี่สาวแม่ที่บ้านต่างจังหวัด (แม่เป็นคนร้อยเอ็ด) และพ่อของแม่ (คุณตา)
แม่ไม่สามารถมาช่วยเราสองพี่น้องได้แบบเต็มที่ จริงๆ

ตอนนี้ลูกเรา 2 ขวบกว่าแล้ว ใกล้จะเตรียมเข้าเรียนในปีหน้า

เราอยากหาทางทำให้การเงินของครอบครัวดีขึ้น
เราแค่คิดว่าต้องดูแลลูกให้ดีและดูแลพ่อให้ได้

เราเริ่มมีสติ และคิดได้ว่า 
เรามองว่า เราเจอกับดักหนี้ตั้งแต่ครอบครัว
จนเมื่อมาถึงเราเอง การซึมซับนิสัยการใช้จ่ายจนพลาดพลั้ง

สถานะการณ์ปัจจุบันของเราคือ ประหยัดทุกอย่าง ไม่แต่งตัว ไม่เที่ยว ไม่กินของดีที่แพง
บางวันก็มาม่าตลอด เพราะมันไม่พอจริงๆ 
เมื่อวานก่อนมาเขียนกระทู้นี้ ก็เลือกกินมาม่า เพื่อเอาเงินให้พ่อ

ส่วนน้องสาวก็อยู่ในช่วงระหองระแหงกับความรัก (น้องเขยคือกำลังสำคัญในการช่วยผ่อนรถ)
ยังไม่ลงตัว น้องสาวรู้สึกหนักและแย่มาก แต่ก็ยังหาทางให้ผ่อนรถและค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนยังไม่ได้

ที่เราเล่าทุกอย่างตั้งแต่เราเกิดมา จนตอนนี้ พร้อมกับบอกองค์ประกอบของครอบครัวเรา
เราอยากรู้ว่า แต่ละคนจะแก้ปัญหาเรื่องเงินยังไง ถ้าเป็นแบบครอบครัวเรา 
เราต้องแก้ตรงไหนบ้าง เราอยากได้คำแนะนำที่ดี เราอยากสร้างฐานรากของครอบครัวให้แข็งแรง
แต่ไม่รู้เริ่มจากตรงไหน เพราะแค่เริ่มต้นก็ติดลบ ตอนนี้ทั้งบ้านมีแต่ติดลบ 

ปล. ถ้าหากเป็นการลงทุน เราและน้องสามารถหาได้โดยวิธีกู้เท่านั้น 

รบกวนแนะนำหน่อยนะคะ เราอยากแก้ปัญหาชีวิตครอบครัวเราจริงๆ

#ขอสรุปหนี้สิน ณ ปัจจุบันของเรา และครอบครัวคร่าวๆนะคะ
= หนี้สินเราเอง ประมาณ 1,600,000+
เงินเดือนเราคงเหลือ 5,500+ แฟนเราวิ่งไรเดอร์อยู่ รายได้ต่อวันประมาณ 300-500 บาท เดือนนึงได้ประมาณ 6,000 
= หนี้สินพ่อเรา ประมาณ 3,500,000+ 
เงินเดือนพ่อคงเหลือ 2,000+
= หนี้สินน้องสาว ประมาณ 800,000 (ผ่อนรถ)
เงินเดือนน้องสาวคงเหลือ 4,000+ น้องเขยรายได้เดือนละ 15,000+
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่