ตามที่ พรบ.คุ้มครองประชาชนในการขายฝากที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 18 วรรค 3 บัญญัติให้ทรัพย์สินที่ขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขายฝากตั้งแต่เวลาที่ผู้ขายฝากได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ นั้น
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา กรมที่ดินได้ออกระเบียบว่าด้วยการวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ (ฉบับที่ 2)ฯ ตามคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อกำหนดให้ กรณีที่ผู้ขายฝากชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่แล้ว [ซึ่งในทางกฎหมาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นจะกลับมาสู่ผู้ขายฝากทันที] แต่หากผู้ซื้อฝากไม่ยอมมารับทรัพย์สินไถ่พร้อมนำโฉนดมาคืนภายในเวลาที่กำหนด (ประมาณ 30 วัน) ให้เจ้าพนักงานที่ดิน
ออกใบแทนโฉนดเดิมนั้นให้ผู้ขายฝากได้เลย และจะส่งผลให้โฉนดที่ผู้ซื้อฝากถือไว้ หรือเพิกเฉยไม่ยอมมารับเงินค่าไถ่ถอนที่ดิน สิ้นผลลงทันที โดยเจ้าพนักงานจะแทงเพิกถอนในคู่ฉบับที่สำนักงานที่ดิน เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้ออกใบแทนแล้ว ดังนั้น หากผู้ซื้อฝากนำโฉนดดังกล่าวไปขาย จำนอง หรือทำนิติกรรมใดๆ อาจเป็นความผิดและต้องรับโทษอาญาฐานฉ้อโกง หรือใช้เอกสารปลอมได้
ขอขอบคุณกรมที่ดินที่ช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมายครับ
สาระน่ารู้สำหรับเกษตรกรและนักอสังหาริมทรัพย์... กรมที่ดิน แก้ไขระเบียบเพื่อรับรองสิทธิเกษตรกรและประชาชนผู้ขายฝาก!!
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา กรมที่ดินได้ออกระเบียบว่าด้วยการวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ (ฉบับที่ 2)ฯ ตามคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อกำหนดให้ กรณีที่ผู้ขายฝากชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่แล้ว [ซึ่งในทางกฎหมาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นจะกลับมาสู่ผู้ขายฝากทันที] แต่หากผู้ซื้อฝากไม่ยอมมารับทรัพย์สินไถ่พร้อมนำโฉนดมาคืนภายในเวลาที่กำหนด (ประมาณ 30 วัน) ให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดเดิมนั้นให้ผู้ขายฝากได้เลย และจะส่งผลให้โฉนดที่ผู้ซื้อฝากถือไว้ หรือเพิกเฉยไม่ยอมมารับเงินค่าไถ่ถอนที่ดิน สิ้นผลลงทันที โดยเจ้าพนักงานจะแทงเพิกถอนในคู่ฉบับที่สำนักงานที่ดิน เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้ออกใบแทนแล้ว ดังนั้น หากผู้ซื้อฝากนำโฉนดดังกล่าวไปขาย จำนอง หรือทำนิติกรรมใดๆ อาจเป็นความผิดและต้องรับโทษอาญาฐานฉ้อโกง หรือใช้เอกสารปลอมได้
ขอขอบคุณกรมที่ดินที่ช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมายครับ