ท่องเที่ยวประสานเสียง ผุดไอเดีย ดึง ‘พิธา’ นั่งแอมบาสเดอร์ เข้าถึงรุ่นใหม่ ดูดนทท.ไทย-ตปท.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3996546
ท่องเที่ยวผุดไอเดียดึง ‘พิธา’ นั่งแท่นแอมบาสเดอร์กระตุ้นท่องเที่ยวไทย
นาย
ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า หลังจากการเลือกตั้งแล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล ภาคการท่องเที่ยวคาดหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ ไม่ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม รวมถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 สทท.อยากเห็นนายกฯ คนใหม่เป็นแอมบาสเดอร์ เพื่อประชาสัมพันธ์ภาคการท่องเที่ยวไทย ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เป็นกลยุทธ์แบบควิกวิน (Quick-Win) กระตุ้นการเติบโตของภาคท่องเที่ยวอย่างมีศักยภาพ
“
ภาคการท่องเที่ยวไทย ถือว่าเป็นเครื่องยนต์หลักในการสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจไทย รวมถึงหากสามารถทำให้ภาคท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติได้ด้วย จะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ โดยขอให้นายกฯ เป็นประธานในที่ประชุมต่างๆ ร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง กำกับภาคท่องเที่ยวและทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีสุด โดยล่าสุด นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ติดต่อ สทท. ว่าพรรคก้าวไกลจะขอเข้าหารือร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยวในเร็วๆ นี้ ซึ่งรอกำหนดวันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง” นาย
ชำนาญ กล่าว
นาย
ชำนาญ กล่าวว่า สทท.สามารถทำงานร่วมกับทุกคนที่มาเป็นรัฐบาลใหม่ได้อย่างแน่นอน แต่หากเป็นไปได้ก็อยากได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย โดยอยากเห็นการเชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ เพราะตอนนี้การฟื้นตัวด้านความต้องการ (ดีมานด์) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น่ามีปัญหา ต่างชาติเดินทางเข้าไทยน่าจะถึงเป้าหมายไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนในปี 2566 แต่ที่ยังน่ากังวลคือฝั่งซัพพลายรองรับนักท่องเที่ยวที่ยังมีปัญหาคอขวด และต้องเร่งยกระดับประสบการณ์ สร้างความประทับใจเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำ
นาย
ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จลุล่วง และนายพิธา ขึ้นเป็นนายกฯ มองว่าน่าจะเป็นแอมบาสเดอร์ที่ดีของภาคท่องเที่ยวไทยได้ เพราะมีบุคลิกที่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะแถบเอเชียตะวันออก อาทิ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของทางททท. ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ (Young Traveler) เข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้น
นาย
ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า หากนาย
พิธา ให้เกียรติเป็นแอมบาสเดอร์ของภาคการท่องเที่ยวไทย ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ในฐานะเป็นผู้นำทางความคิด (KOL) ชักจูงให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศไทยเพิ่มได้ โดยจากไทม์ไลน์การจัดตั้งรัฐบาล ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ ที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ช่วงปลายปีพอดี หากรัฐบาลใหม่มีมาตรการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการเพิ่มเติม คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดความเสี่ยงเรื่องชะลอการใช้จ่าย ทั้งในมิติการท่องเที่ยวและอุปสงค์ใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงยังมีส่วนช่วยผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไปถึงเป้าหมายไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนตลอดปี 2566 ด้วย
วันนิวัติ จวก รัฐบาลเกียร์ว่าง ไร้ทางแก้แล้ง อัด ประยุทธ์ พวกวัวสันหลังหวะ
วันนิวัติ อัดประยุทธ์ พวกวัวสันหลังหวะไม่คิดลงจากอำนาจ กลัวโดนเอาคืน จวก รบ.เกียร์ว่างไร้ทางช่วยเกษตรกรหลังฝนทิ้งช่วงไร้น้ำทำนา
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. นาย
วันนิวัติ สมบูรณ์ ว่าที่ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่าเกษตรกรหลายจังหวัดเริ่มไถนา ปรับพื้นที่เพื่อหว่านข้าว ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลทำนาแล้ว เกษตรกรหลายจังหวัดเริ่มปลูกข้าวกันแล้ว ขณะที่หลายพื้นที่ของไทยยังคงมีปัญหา ไม่มีน้ำเพื่อการเกษตรเหตุจากฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคและบริโภค ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง
ขณะเดียวกัน พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กลับอ้างว่าเป็นรัฐบาลรักษาการไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก อ้างไม่มีอำนาจในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ใส่เกียร์ว่างปล่อยให้เกิดสูญญากาศในการแก้ปัญหาให้ประชาชน รัฐบาลปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเอง หรือรอไปจนกว่าจะมีรัฐบาล หมายความว่ารัฐบาลนี้เมินเฉยปล่อยชาวนาดูต้นข้าวยืนต้นตายอย่างนั้นหรือ
นาย
วันนิวัติ กล่าวต่อว่า ในความเป็นจริงพล.อ.
ประยุทธ์ยังคงมีอำนาจมากมาย แม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่กลับนิ่งเฉยกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ต่างจาก 9 ปีที่ผ่านมา ที่ไม่เคยแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้เลย อ้างมาตลอดที่ผ่านมาทำงานมาเยอะแต่ทำไมผลงานไม่ออก แสดงว่างานของรัฐบาลไม่ได้มีประสิทธิภาพ พล.อ.
ประยุทธ์ไม่คิดจะทำดีสักครั้งเพื่อพี่น้องประชาชนบ้างเลยหรือ
การที่พล.อ.
ประยุทธ์ไม่ยอมลงจากอำนาจเพราะกลัวถูกประชาชนเอาคืน ไม่ต่างจากวัวสันหลังหวะเพราะใช้อำนาจกดหัวประชาชนมาโดยตลอด 9 ปี ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นเชื่อมั่นว่าหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลจะดีขึ้น มั่นใจว่าพรรคพท.พร้อมที่จะผลักดันนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรอย่างมีระบบ ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูกจนเก็บเกี่ยว เชื่อว่าจะทำเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” นายวันนิวัติ กล่าว
3 องค์กรแถลงร่วม จี้ประยุทธ์ลาออก โชว์สปิริตปมออก พ.ร.ก.ขัด รธน. ไม่เคารพพันธกรณี กม.ระหว่าง ปท.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3996221
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์ เรื่อง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการ ต้องแสดงความรับผิดชอบการออก พ.ร.ก.ขัดรัฐธรรมนูญ
ความดังนี้
จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 วินิจฉัยว่าพระราชกำหนดเลื่อนการใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 4 มาตรา ที่คณะรัฐมนตรีออกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ด้วยเหตุผลว่า การอ้างความไม่พร้อมด้านงบประมาณและบุคลากรไม่เข้าเงื่อนไขในการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ทำให้ไม่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 วรรคสามนั้น
กรณีดังกล่าวภาคประชาชนได้คัดค้านตั้งแต่แรกว่า การอ้างความไม่พร้อมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ใช่เหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยสาธารณะของประเทศที่รัฐบาลจะสามารถออกพระราชกำหนดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ได้ สอดคล้องกับที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) และเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (Police Watch) จึงขอเรียกร้องต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการที่เกี่ยวข้องทุกคนให้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อการกระทำดังกล่าว ซึ่งหากยังเป็นรัฐบาลปกติต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ซึ่งเป็นบรรทัดฐานทางการเมือง แต่สถานะรักษาการในปัจจุบันคณะรัฐมนตรีรักษาการควรแสดงสปิริตหยุดการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาราชการแทน รวมทั้งขอโทษประชาชนที่ได้กระทำการดังกล่าว ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้
การกระทำของคณะรัฐมนตรี นอกจากเป็นการไม่เคารพต่อพันธกรณีที่รัฐมีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่เคารพต่อหลักนิติรัฐ-นิติธรรม และไม่ให้คุณค่าความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแล้ว ยังถือเป็นพฤติการณ์ “จงใจใช้อำนาจหน้าที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” ประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรงของข้าราชการการเมืองและข้าราชการระดับสูง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ย่อมทราบถึงการกระทำดังกล่าวอยู่เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการถอดถอนคณะรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงผู้เกี่ยวข้องทุกคนจากตำแหน่งตามหน้าที่และอำนาจตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 บัญญัติไว้ เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองต่อไป
24 พฤษภาคม 2566
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.)
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (Police Watch)
JJNY : ท่องเที่ยวประสานเสียง│วันนิวัติอัดประยุทธ์สันหลังหวะ│3องค์กรแถลงร่วม จี้ประยุทธ์ลาออก│แวกเนอร์เตือนอาจเกิดปฏิวัติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3996546
ท่องเที่ยวผุดไอเดียดึง ‘พิธา’ นั่งแท่นแอมบาสเดอร์กระตุ้นท่องเที่ยวไทย
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า หลังจากการเลือกตั้งแล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล ภาคการท่องเที่ยวคาดหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ ไม่ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม รวมถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 สทท.อยากเห็นนายกฯ คนใหม่เป็นแอมบาสเดอร์ เพื่อประชาสัมพันธ์ภาคการท่องเที่ยวไทย ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เป็นกลยุทธ์แบบควิกวิน (Quick-Win) กระตุ้นการเติบโตของภาคท่องเที่ยวอย่างมีศักยภาพ
“ภาคการท่องเที่ยวไทย ถือว่าเป็นเครื่องยนต์หลักในการสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจไทย รวมถึงหากสามารถทำให้ภาคท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติได้ด้วย จะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ โดยขอให้นายกฯ เป็นประธานในที่ประชุมต่างๆ ร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง กำกับภาคท่องเที่ยวและทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีสุด โดยล่าสุด นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ติดต่อ สทท. ว่าพรรคก้าวไกลจะขอเข้าหารือร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยวในเร็วๆ นี้ ซึ่งรอกำหนดวันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง” นายชำนาญ กล่าว
นายชำนาญ กล่าวว่า สทท.สามารถทำงานร่วมกับทุกคนที่มาเป็นรัฐบาลใหม่ได้อย่างแน่นอน แต่หากเป็นไปได้ก็อยากได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย โดยอยากเห็นการเชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ เพราะตอนนี้การฟื้นตัวด้านความต้องการ (ดีมานด์) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น่ามีปัญหา ต่างชาติเดินทางเข้าไทยน่าจะถึงเป้าหมายไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนในปี 2566 แต่ที่ยังน่ากังวลคือฝั่งซัพพลายรองรับนักท่องเที่ยวที่ยังมีปัญหาคอขวด และต้องเร่งยกระดับประสบการณ์ สร้างความประทับใจเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จลุล่วง และนายพิธา ขึ้นเป็นนายกฯ มองว่าน่าจะเป็นแอมบาสเดอร์ที่ดีของภาคท่องเที่ยวไทยได้ เพราะมีบุคลิกที่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะแถบเอเชียตะวันออก อาทิ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของทางททท. ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ (Young Traveler) เข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้น
นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า หากนายพิธา ให้เกียรติเป็นแอมบาสเดอร์ของภาคการท่องเที่ยวไทย ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ในฐานะเป็นผู้นำทางความคิด (KOL) ชักจูงให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศไทยเพิ่มได้ โดยจากไทม์ไลน์การจัดตั้งรัฐบาล ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ ที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ช่วงปลายปีพอดี หากรัฐบาลใหม่มีมาตรการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการเพิ่มเติม คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดความเสี่ยงเรื่องชะลอการใช้จ่าย ทั้งในมิติการท่องเที่ยวและอุปสงค์ใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงยังมีส่วนช่วยผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไปถึงเป้าหมายไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนตลอดปี 2566 ด้วย
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. นายวันนิวัติ สมบูรณ์ ว่าที่ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่าเกษตรกรหลายจังหวัดเริ่มไถนา ปรับพื้นที่เพื่อหว่านข้าว ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลทำนาแล้ว เกษตรกรหลายจังหวัดเริ่มปลูกข้าวกันแล้ว ขณะที่หลายพื้นที่ของไทยยังคงมีปัญหา ไม่มีน้ำเพื่อการเกษตรเหตุจากฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคและบริโภค ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กลับอ้างว่าเป็นรัฐบาลรักษาการไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก อ้างไม่มีอำนาจในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ใส่เกียร์ว่างปล่อยให้เกิดสูญญากาศในการแก้ปัญหาให้ประชาชน รัฐบาลปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเอง หรือรอไปจนกว่าจะมีรัฐบาล หมายความว่ารัฐบาลนี้เมินเฉยปล่อยชาวนาดูต้นข้าวยืนต้นตายอย่างนั้นหรือ
นายวันนิวัติ กล่าวต่อว่า ในความเป็นจริงพล.อ.ประยุทธ์ยังคงมีอำนาจมากมาย แม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่กลับนิ่งเฉยกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ต่างจาก 9 ปีที่ผ่านมา ที่ไม่เคยแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้เลย อ้างมาตลอดที่ผ่านมาทำงานมาเยอะแต่ทำไมผลงานไม่ออก แสดงว่างานของรัฐบาลไม่ได้มีประสิทธิภาพ พล.อ.ประยุทธ์ไม่คิดจะทำดีสักครั้งเพื่อพี่น้องประชาชนบ้างเลยหรือ
การที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมลงจากอำนาจเพราะกลัวถูกประชาชนเอาคืน ไม่ต่างจากวัวสันหลังหวะเพราะใช้อำนาจกดหัวประชาชนมาโดยตลอด 9 ปี ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นเชื่อมั่นว่าหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลจะดีขึ้น มั่นใจว่าพรรคพท.พร้อมที่จะผลักดันนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรอย่างมีระบบ ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูกจนเก็บเกี่ยว เชื่อว่าจะทำเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” นายวันนิวัติ กล่าว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3996221
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์ เรื่อง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการ ต้องแสดงความรับผิดชอบการออก พ.ร.ก.ขัดรัฐธรรมนูญ
ความดังนี้
จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 วินิจฉัยว่าพระราชกำหนดเลื่อนการใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 4 มาตรา ที่คณะรัฐมนตรีออกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ด้วยเหตุผลว่า การอ้างความไม่พร้อมด้านงบประมาณและบุคลากรไม่เข้าเงื่อนไขในการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ทำให้ไม่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 วรรคสามนั้น
กรณีดังกล่าวภาคประชาชนได้คัดค้านตั้งแต่แรกว่า การอ้างความไม่พร้อมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ใช่เหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยสาธารณะของประเทศที่รัฐบาลจะสามารถออกพระราชกำหนดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ได้ สอดคล้องกับที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) และเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (Police Watch) จึงขอเรียกร้องต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการที่เกี่ยวข้องทุกคนให้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อการกระทำดังกล่าว ซึ่งหากยังเป็นรัฐบาลปกติต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ซึ่งเป็นบรรทัดฐานทางการเมือง แต่สถานะรักษาการในปัจจุบันคณะรัฐมนตรีรักษาการควรแสดงสปิริตหยุดการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาราชการแทน รวมทั้งขอโทษประชาชนที่ได้กระทำการดังกล่าว ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้
การกระทำของคณะรัฐมนตรี นอกจากเป็นการไม่เคารพต่อพันธกรณีที่รัฐมีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่เคารพต่อหลักนิติรัฐ-นิติธรรม และไม่ให้คุณค่าความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแล้ว ยังถือเป็นพฤติการณ์ “จงใจใช้อำนาจหน้าที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” ประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรงของข้าราชการการเมืองและข้าราชการระดับสูง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ย่อมทราบถึงการกระทำดังกล่าวอยู่เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการถอดถอนคณะรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงผู้เกี่ยวข้องทุกคนจากตำแหน่งตามหน้าที่และอำนาจตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 บัญญัติไว้ เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองต่อไป
24 พฤษภาคม 2566
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.)
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (Police Watch)