รู้สึกว่าจะเป็นภาพยนตร์ไทยที่(แอบ)เข้าฉายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่ค่อยจะได้รับการพูดถึงสักเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่เป็นงานจาก GMM TV แถมยังได้นักแสดงวัยรุ่นพุ่งแรงอย่าง นนน กรภัทร์ เกิดพันธุ์ มาประกบคู่กับ ฟิล์ม รชานันท์ มหาวรรณ์ อีกต่างหาก

หากใครจะรู้สึกคุ้นตาสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ My Precious รักแรกโคตรลืมยาก ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ต้นฉบับจากไต้หวันอย่าง You Are the Apple of My Eye (2011) ของผู้กำกับ เคอ จิ่งเถิง (Ko Giddens) โดยตัวเรื่องนั้นมีที่มาจากชีวิตรักในช่วงวัยรุ่นของตัวผู้กำกับเอง ซึ่งความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะทำเงินถล่มถลายในไต้หวันแล้ว ยังถูกซื้อไปจัดจำหน่ายในหลายประเทศทั่วเอเชียรวมถึงประเทศไทยด้วย จนมีในปี 2018 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ญี่ปุ่นในชื่อเดียวกัน นั่นเท่ากับว่า My Precious รักแรกโคตรลืมยาก นี้เป็นการดัดแปลงครั้งที่สองแล้วนั่นเอง

จะว่าดัดแปลงก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะ My Precious รักแรกโคตรลืมยาก แทบจะหยิบยกทุกองค์ประกอบจากเวอร์ชั่นต้นฉบับมาใช้งาน ทั้งด้านการเล่าเรื่อง ลักษณะนิสัยตัวละครคู่พระนาง กลุ่มเพื่อน ตัวละครแวดล้อมต่างๆ รวมไปถึงพฤติกรรมของตัวละคร สิ่งของ ภาพจำต่างๆ และบรรยากาศของเรื่องก็ยังอยู่ในช่วงยุคเดียวกัน (ยุคต้น 2000) เรียกว่าที่ต่างออกเห็นจะมีเพียงแค่ย้ายสถานที่จากกรุงไทเปในไต้หวันเป็นตัวเมืองสุโขทัยของบ้านเราแทน

แม้ฉบับของไทยจะไม่ได้พยายามดัดแปลงอะไรจากต้นฉบับมากนัก แต่ต้องบอกว่าเมื่อวัตถุดิบตั้งต้นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง การถ่ายทอดความเป็นภาพยนตร์วัยรุ่นที่เป็นงานถนัดของ GMM TV จึงได้งานที่เป็นธรรมชาติ ดูลื่นไหล และเพลิดเพลินไปกับพลังความไร้เดียงสาของเหล่าตัวละครในเรื่อง ซึ่งทำได้ดีไม่แพ้ต้นฉบับ อีกทั้งตัวสถานที่ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองหลวงก็ยังช่วยขับกล่อมเนื้อเรื่องไปได้ดีมากๆ (มีหลายฉากที่ถ่ายได้สวยเลย) และจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของการดัดแปลงฉบับนี้เห็นจะอยู่ที่เหล่านักแสดงสมทบที่ล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ทั้งจตุรงค์ พลบูรณ์ในบท พ่อของต๋อง(พระเอก) ยิ่งยง ยอดบัวงาม ในบทครูสมหมาย และ น้าพวง เชิญยิ้ม ในบทลุงไข่ เจ้าของร้านเกมส์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนล้วนสร้างสีสันให้กับเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

ในส่วนของนักแสดงนั้น เรียกว่าแกะมาจากต้นฉบับแทบจะร้อยเปอร์เซนต์เลย อย่างตัวหลินเองเป็นตัวละครที่ไม่ใช่ใครเห็นแล้วก็จะตกหลุมรักได้ในวินาทีแรก แต่ผู้ชมต้องใช้เวลาก่อนจะค่อยๆ ซึมซับความน่ารัก ความเอาใจใส่ของเธอ ซึ่งฟิล์มก็ถ่ายทอดสิ่งที่ว่ามานี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนทางด้านต๋องเอง นนนก็สามารถสลัดภาพจำจากพระเอกซีรี่ส์วาย มาเป็นตัวละครพลังล้นที่ดูเป็นเด็กและมีแววตาสดใสได้ดีไม่แพ้กัน


หากจะว่าถึงส่วนที่ข้อเสียที่เป็นมาตั้งแต่ต้นฉบับแล้ว นั่นคือ การที่ตัวเรื่องเน้นแต่เล่าชีวิตในช่วงรั้วโรงเรียนมัธยมมากเกินจนละเลยช่วงอื่นไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มีเวลาเหลือเฟือ แต่เราแทบไม่ได้สัมผัสช่วงวัยอื่นของทั้งต๋องเลย กว่าจะขยับไปได้ก็แทบจะช่วงท้ายแล้ว ในเมื่อใช้ชื่อเรื่องว่า “รักแรกโคตรลืมยาก” ผู้ชมควรได้เห็นรักในช่วงเวลาอื่นๆ ของต๋องด้วยเช่นกัน ก่อนจะสรุปว่าเป็นรักแรกใช่ไหมที่ลืมยากจริงๆ หากเทียบกับอนิเมชั่นของมาโคโตะ ชินไค เรื่อง “5 Centimeters per Second” แล้ว อย่างหลังทำได้ยอดเยี่ยมมากกว่าในการเข้าไปสำรวจความปวดร้าวและบาดลึกของการฝังใจกับคนที่เป็นรักแรก ก่อนจะนำมาซึ่งบทสรุปที่ไม่ต่างกันนัก แต่ต้องยอมรับว่างานชิ้นหลังเป็นงานที่ตราตรึงใจ และสมควรกับคำว่า “รักแรกโคตรลืมยาก” มากกว่าเสียอีก

อีกประเด็นที่ไม่เชิงเป็นข้อเสีย แต่ก็บ่งบอกอะไรบางอย่างได้ดีเลย เป็นประเด็นเรื่องการตามหาความฝันของตัวละครในเรื่อง ซึ่งเป็นธรรมดาที่หัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัยจะถูกใช้เพื่อดำเนินเรื่อง แต่จุดที่น่าสังเกตคือ เราแทบไม่รู้เลยว่าทำไมหลินจึงต้องมุ่งมั่นที่จะเป็นนักวิจัยทางทะเล ทั้งเรื่องเราเห็นเพียงแต่ตัวละครนี้เรียน เรียน และก็เรียนอย่างเดียว รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่มีความฝันของตัวเอง แต่ทั้งหมดกลับเป็นเพียงการบอกเล่าออกจากปากในฉากที่ทุกคนไปเที่ยวทะเลกันเท่านั้น มีเพียงต๋องคนเดียวที่ตัวเรื่องเล่าว่า เขาชอบภาพยนตร์จึงมาเรียนนิเทศศาสตร์ นี่จึงสะท้อนถึงการศึกษาของประเทศนี้ว่า ระบบแทบไม่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนค้นหาตัวเองในวัยที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เลย หลายคนรู้ตัวอีกทีก็ต้องเลือกคณะและเรียนต่อ และไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก

สรุป My Precious รักแรกโคตรลืมยาก หากตัดความเป็นภาพยนตร์ดัดแปลงออกไป ก็ยังถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพและคุ้มค่าแก่การรับชมอยู่ดี สอบผ่านในทุกแง่มุมและแถมด้วยเพลงประกอบไพเราะๆ อย่าง “รักแรก” (First Love) จากนนท์ ธนนท์ ที่เข้ามาช่วยเสริมความรู้สึกของตัวละครได้เป็นอย่างดี แม้จะรู้สึกขัดใจกับการเล่าเรื่องไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าให้อภัยได้
Story Decoder
[รีวิว] My Precious รักแรกโคตรลืมยาก - งานดัดแปลงน้ำดีที่ควรเป็นที่รู้จักมากกว่านี้
หากใครจะรู้สึกคุ้นตาสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ My Precious รักแรกโคตรลืมยาก ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ต้นฉบับจากไต้หวันอย่าง You Are the Apple of My Eye (2011) ของผู้กำกับ เคอ จิ่งเถิง (Ko Giddens) โดยตัวเรื่องนั้นมีที่มาจากชีวิตรักในช่วงวัยรุ่นของตัวผู้กำกับเอง ซึ่งความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะทำเงินถล่มถลายในไต้หวันแล้ว ยังถูกซื้อไปจัดจำหน่ายในหลายประเทศทั่วเอเชียรวมถึงประเทศไทยด้วย จนมีในปี 2018 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ญี่ปุ่นในชื่อเดียวกัน นั่นเท่ากับว่า My Precious รักแรกโคตรลืมยาก นี้เป็นการดัดแปลงครั้งที่สองแล้วนั่นเอง
จะว่าดัดแปลงก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะ My Precious รักแรกโคตรลืมยาก แทบจะหยิบยกทุกองค์ประกอบจากเวอร์ชั่นต้นฉบับมาใช้งาน ทั้งด้านการเล่าเรื่อง ลักษณะนิสัยตัวละครคู่พระนาง กลุ่มเพื่อน ตัวละครแวดล้อมต่างๆ รวมไปถึงพฤติกรรมของตัวละคร สิ่งของ ภาพจำต่างๆ และบรรยากาศของเรื่องก็ยังอยู่ในช่วงยุคเดียวกัน (ยุคต้น 2000) เรียกว่าที่ต่างออกเห็นจะมีเพียงแค่ย้ายสถานที่จากกรุงไทเปในไต้หวันเป็นตัวเมืองสุโขทัยของบ้านเราแทน
แม้ฉบับของไทยจะไม่ได้พยายามดัดแปลงอะไรจากต้นฉบับมากนัก แต่ต้องบอกว่าเมื่อวัตถุดิบตั้งต้นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง การถ่ายทอดความเป็นภาพยนตร์วัยรุ่นที่เป็นงานถนัดของ GMM TV จึงได้งานที่เป็นธรรมชาติ ดูลื่นไหล และเพลิดเพลินไปกับพลังความไร้เดียงสาของเหล่าตัวละครในเรื่อง ซึ่งทำได้ดีไม่แพ้ต้นฉบับ อีกทั้งตัวสถานที่ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองหลวงก็ยังช่วยขับกล่อมเนื้อเรื่องไปได้ดีมากๆ (มีหลายฉากที่ถ่ายได้สวยเลย) และจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของการดัดแปลงฉบับนี้เห็นจะอยู่ที่เหล่านักแสดงสมทบที่ล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ทั้งจตุรงค์ พลบูรณ์ในบท พ่อของต๋อง(พระเอก) ยิ่งยง ยอดบัวงาม ในบทครูสมหมาย และ น้าพวง เชิญยิ้ม ในบทลุงไข่ เจ้าของร้านเกมส์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนล้วนสร้างสีสันให้กับเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม
ในส่วนของนักแสดงนั้น เรียกว่าแกะมาจากต้นฉบับแทบจะร้อยเปอร์เซนต์เลย อย่างตัวหลินเองเป็นตัวละครที่ไม่ใช่ใครเห็นแล้วก็จะตกหลุมรักได้ในวินาทีแรก แต่ผู้ชมต้องใช้เวลาก่อนจะค่อยๆ ซึมซับความน่ารัก ความเอาใจใส่ของเธอ ซึ่งฟิล์มก็ถ่ายทอดสิ่งที่ว่ามานี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนทางด้านต๋องเอง นนนก็สามารถสลัดภาพจำจากพระเอกซีรี่ส์วาย มาเป็นตัวละครพลังล้นที่ดูเป็นเด็กและมีแววตาสดใสได้ดีไม่แพ้กัน
หากจะว่าถึงส่วนที่ข้อเสียที่เป็นมาตั้งแต่ต้นฉบับแล้ว นั่นคือ การที่ตัวเรื่องเน้นแต่เล่าชีวิตในช่วงรั้วโรงเรียนมัธยมมากเกินจนละเลยช่วงอื่นไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มีเวลาเหลือเฟือ แต่เราแทบไม่ได้สัมผัสช่วงวัยอื่นของทั้งต๋องเลย กว่าจะขยับไปได้ก็แทบจะช่วงท้ายแล้ว ในเมื่อใช้ชื่อเรื่องว่า “รักแรกโคตรลืมยาก” ผู้ชมควรได้เห็นรักในช่วงเวลาอื่นๆ ของต๋องด้วยเช่นกัน ก่อนจะสรุปว่าเป็นรักแรกใช่ไหมที่ลืมยากจริงๆ หากเทียบกับอนิเมชั่นของมาโคโตะ ชินไค เรื่อง “5 Centimeters per Second” แล้ว อย่างหลังทำได้ยอดเยี่ยมมากกว่าในการเข้าไปสำรวจความปวดร้าวและบาดลึกของการฝังใจกับคนที่เป็นรักแรก ก่อนจะนำมาซึ่งบทสรุปที่ไม่ต่างกันนัก แต่ต้องยอมรับว่างานชิ้นหลังเป็นงานที่ตราตรึงใจ และสมควรกับคำว่า “รักแรกโคตรลืมยาก” มากกว่าเสียอีก
อีกประเด็นที่ไม่เชิงเป็นข้อเสีย แต่ก็บ่งบอกอะไรบางอย่างได้ดีเลย เป็นประเด็นเรื่องการตามหาความฝันของตัวละครในเรื่อง ซึ่งเป็นธรรมดาที่หัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัยจะถูกใช้เพื่อดำเนินเรื่อง แต่จุดที่น่าสังเกตคือ เราแทบไม่รู้เลยว่าทำไมหลินจึงต้องมุ่งมั่นที่จะเป็นนักวิจัยทางทะเล ทั้งเรื่องเราเห็นเพียงแต่ตัวละครนี้เรียน เรียน และก็เรียนอย่างเดียว รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่มีความฝันของตัวเอง แต่ทั้งหมดกลับเป็นเพียงการบอกเล่าออกจากปากในฉากที่ทุกคนไปเที่ยวทะเลกันเท่านั้น มีเพียงต๋องคนเดียวที่ตัวเรื่องเล่าว่า เขาชอบภาพยนตร์จึงมาเรียนนิเทศศาสตร์ นี่จึงสะท้อนถึงการศึกษาของประเทศนี้ว่า ระบบแทบไม่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนค้นหาตัวเองในวัยที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เลย หลายคนรู้ตัวอีกทีก็ต้องเลือกคณะและเรียนต่อ และไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก
สรุป My Precious รักแรกโคตรลืมยาก หากตัดความเป็นภาพยนตร์ดัดแปลงออกไป ก็ยังถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพและคุ้มค่าแก่การรับชมอยู่ดี สอบผ่านในทุกแง่มุมและแถมด้วยเพลงประกอบไพเราะๆ อย่าง “รักแรก” (First Love) จากนนท์ ธนนท์ ที่เข้ามาช่วยเสริมความรู้สึกของตัวละครได้เป็นอย่างดี แม้จะรู้สึกขัดใจกับการเล่าเรื่องไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าให้อภัยได้
Story Decoder