ถึงแม้จะมีเดอะมูฟวี่ออกมาถึง 26 ภาคแล้วก็ตาม แต่ถ้านับในส่วนที่มีการเกี่ยวข้องกับพวกชายชุดดำจริงๆ ก็นับว่านี่เป็นครั้งที่ 4 เท่านั้น ถัดจากเดอะมูฟวี่ 5 คดีปริศนาเส้นตายสู่สวรรค์ เดอะมูฟวี่ 13 ปริศนานักล่าทรชนทมิฬ และเดอะมูฟวี่ 20 ปริศนารัตติกาลทมิฬ ซึ่งในคราวนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ที่เราจะได้เห็นโคนันปะทะกับพวกชายชุดดำแบบเต็มๆ ไม่มีกั๊ก จนแอบกังวลไปเลยว่าจะไปกระทบเส้นเรื่องหลักในซีรีย์เลยรึเปล่าเลยทีเดียว

ว่ากันถึงเหตุการณ์หลักของเดอะมูฟวี่นี้ โคนันและผองเพื่อนได้รับคำเชิญจากโซโนโกะให้ขึ้นเรือไปดูวาฬที่เกาะฮาจิโจ ซึ่งอยู่ใกล้กับ “ทุ่นแปซิฟิก” (Pacific Buoy) อาคารใต้ทะเลที่เป็นที่เชื่อมต่อกล้องวงจรปิดของตำรวจทั่วโลก(ยูโรโพล) ซึ่งกำลังจะเปิดใช้ในอีกไม่นาน รวมถึงการทดสอบเทคโนโลยีใหม่อย่าง “โปรแกรมจดจำใบหน้าทุกช่วงวัย” จังหวะเดียวกันนั้นโคนันก็ได้รับโทรศัพท์จากโอกิยะ ซุบารุ (อากาอิ ชูอิจิ) ว่ามีเจ้าหน้าที่ยูโรโพลถูกจินฆ่าตายที่เยอรมนี เขาจึงแอบเข้าไปสืบเรื่องนี้ที่ทุ่นแปซิฟิก แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เมื่อนักพัฒนาโปรแกรมสาวหนึ่งในทีมงานได้ถูกองค์กรชุดดำจับตัวไป ไล่เลี่ยกับ “ไฮบาระ” ที่ถูกจับตัวไปด้วยอีกคนเพราะต้องสงสัยว่าเป็น “เชอร์รี่” คนของทรยศองค์กรที่หายตัวไป นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่โคนันต้องเผชิญหน้ากับองค์กรอย่างเลี่ยงไม่ได้

ความน่าสนใจของเดอะมูฟวี่นี้นอกจากการเผชิญหน้ากับองค์กรชุดดำแล้ว ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามา โดยในครั้งนี้ คือ “โปรแกรมจดจำใบหน้าทุกช่วงวัย” ที่มีความสามารถตามชื่อเลยคือ สามารถวิเคราะห์ใบหน้าและยืนยันตัวบุคคลได้ โดยตัว AI จะจำลองในหน้าบุคคลเป้าหมายและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงตามช่วงวัยได้อีกด้วย หมายความว่า ต่อให้คนนั้นจะโตขึ้น (หรือเด็กลง) ก็สามารถระบุตัวได้อย่างแม่นยำ ซึ่งพอมารวมกับความสามารถของทุ่นแปซิฟิก จึงกลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวมาก เพราะจะสามารถระบุตัวเป้าหมายได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก (ชวนให้นึกถึง God's Eye ใน Fast & Furious 7) จึงไม่แปลกใจถ้าพวกองค์กรชุดดำจะหมายหัวโปรแกรมนี้

เมื่อเทคโนโลยีนี้เป็นแกนสำคัญของเรื่อง ทำให้โคนันในภาคนี้กลายเป็นหนัง Tech-Based Plot ไปโดยปริยาย ยิ่งพอมีเหตุการณ์การลักพาตัวและการจารกรรมทางเทคโนโลยี (Hacking & Deepfake) ก็ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์ Blockbuster จำพวกแฟรนไชส์ Fast หรือ Mission Impossible นั่นเลยทำให้ในส่วนของการสืบสวนสอบสวน ปริศนาและเงื่อนงำต่างๆ ที่เป็นเสน่ห์ของโคนันจางหายไปอย่างเห็นได้ชัด การฆาตกรรมในเรื่องเหมือนเป็นส่วนขยายที่ใส่มาให้รู้ว่ายังเป็นภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนนะ เพราะเรื่องทั้งหมดแทบจะไปอยู่ที่องค์กรชุดดำและการช่วยเหลือไฮบาระอย่างเดียว (แต่ความเก่งกาจของโคนันยังไม่ลดลงนะ ล่าสุดว่ายน้ำตามเรือดำน้ำแล้ว)

ในส่วนขององค์กรชุดดำนี่เรียกว่ามากันครบ เพิ่มเติมตัวละครใหม่อย่าง “ปิงก้า” ที่น่าจะมีตำแหน่งหรือบทบาทในองค์กรพอสมควร เรียกว่าเป็นคนสำคัญเลย และนอกจากที่เราล้อกันว่าองค์กรนี้น่าจะมีสายลับไปเกินครึ่งแล้ว ยังได้เห็นว่าภายในองค์กรยังต้องมีการแข่งขันทำผลงานกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองด้วย เป็นเหตุให้ปิงก้าต้องแฝงตัวเข้ามาขโมยโปรแกรมที่ว่านี้นั่นเอง รวมถึงได้เห็นบทบาทของยิน ว็อดก้า และคีร์ (มิซึนาชิ เรย์นะ) เจ้าหน้าที่ CIA ที่แฝงตัวเข้าไปในองค์กรอีกด้วย


การเปลี่ยนแนวจากสืบสวนสอบสวนเป็นแอคชั่นจารกรรม ต้องบอกว่าทำได้ดีและเล่าเรื่องได้ไหลลื่นไม่สะดุด มีฉากแอคชั่นขัดหลักฟิสิกส์กระตุกต่อมตื่นเต้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ (Fast X ปะเนี่ย) หากจะรู้สึกขัดใจอาจเป็นตรงที่การพยายามปิดเรื่องให้จบภายในเดอะมูฟวี่แบบค่อนข้างแถไปหน่อย เพราะดูยังไงผลกระทบจากการปะทะกับองค์กรชุดดำในครั้งนี้ก็น่าจะใหญ่หลวงเกินกว่าที่โคนันจะกลับไปใช้ชีวิตลั้นลาในซีรีย์ได้ตามปกติแน่ๆ ทั้งเรื่องไฮบาระที่โดนจับไป เรื่องเรือดำน้ำขององค์กรที่เผชิญหน้ากับยูโรโพลมันต้องเป็นเรื่องระดับประเทศแล้ว แต่บทสรุปไม่ต่างจากคดีฆาตกรรมแย่งคนรักในตอนทั่วไปของซีรี่ย์เฉยเลย

แต่อย่างน้อยก็ยังมีอีกหนึ่งจุดขายให้แฟนๆ โคนันได้ชื่นฉ่ำหัวใจสำหรับกองอวย ไฮบาระxโคนัน เรียกว่าเป็นครั้งที่สองคนนี้มีซีนร่วมกันอย่างลึกซึ้งกว่าครั้งไหนๆ จนรันแทบจะกลายเป็นตัวประกอบไปเลย (หรือเป็นอยู่แล้ว) แม้ว่าท้ายที่สุดจุดยืนของทั้งคู่ก็ยังชัดเจน(สำหรับตอนนี้) แต่ก็เป็นช่วงเวลาโรแมนติกที่น่าจดจำสำหรับเรือไฮบาระxโคนัน แล้วแหละ

สรุป ยอดนักสืบจิ๋วโคนันเดอะมูฟวี่ 26: มฤตยูใต้น้ำทมิฬ มาในแนวแอคชั่นจารกรรมเต็มรูปแบบ เหมือนได้ชมภาพยนตร์ Blockbuster จากทางฝั่งฮอลิวูดแบบอนิเมชั่นเลยทีเดียว มาพร้อมการเผชิญหน้ากับพวกองค์กรชุดดำที่ลงลึกมากขึ้น เห็นความอันตรายขององค์กรมากขึ้นว่า เป็นอะไรที่โคนันไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวแน่ๆ แม้บทสรุปของเรื่องจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เป็นภาคที่กองอวย ไฮบาระxโคนัน จะจดจำไปอีกนานเลย
[รีวิว] ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เดอะมูฟวี่ 26: มฤตยูใต้น้ำทมิฬ - นี่โคนันหรือครอบครัว Fast
ว่ากันถึงเหตุการณ์หลักของเดอะมูฟวี่นี้ โคนันและผองเพื่อนได้รับคำเชิญจากโซโนโกะให้ขึ้นเรือไปดูวาฬที่เกาะฮาจิโจ ซึ่งอยู่ใกล้กับ “ทุ่นแปซิฟิก” (Pacific Buoy) อาคารใต้ทะเลที่เป็นที่เชื่อมต่อกล้องวงจรปิดของตำรวจทั่วโลก(ยูโรโพล) ซึ่งกำลังจะเปิดใช้ในอีกไม่นาน รวมถึงการทดสอบเทคโนโลยีใหม่อย่าง “โปรแกรมจดจำใบหน้าทุกช่วงวัย” จังหวะเดียวกันนั้นโคนันก็ได้รับโทรศัพท์จากโอกิยะ ซุบารุ (อากาอิ ชูอิจิ) ว่ามีเจ้าหน้าที่ยูโรโพลถูกจินฆ่าตายที่เยอรมนี เขาจึงแอบเข้าไปสืบเรื่องนี้ที่ทุ่นแปซิฟิก แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เมื่อนักพัฒนาโปรแกรมสาวหนึ่งในทีมงานได้ถูกองค์กรชุดดำจับตัวไป ไล่เลี่ยกับ “ไฮบาระ” ที่ถูกจับตัวไปด้วยอีกคนเพราะต้องสงสัยว่าเป็น “เชอร์รี่” คนของทรยศองค์กรที่หายตัวไป นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่โคนันต้องเผชิญหน้ากับองค์กรอย่างเลี่ยงไม่ได้
ความน่าสนใจของเดอะมูฟวี่นี้นอกจากการเผชิญหน้ากับองค์กรชุดดำแล้ว ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามา โดยในครั้งนี้ คือ “โปรแกรมจดจำใบหน้าทุกช่วงวัย” ที่มีความสามารถตามชื่อเลยคือ สามารถวิเคราะห์ใบหน้าและยืนยันตัวบุคคลได้ โดยตัว AI จะจำลองในหน้าบุคคลเป้าหมายและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงตามช่วงวัยได้อีกด้วย หมายความว่า ต่อให้คนนั้นจะโตขึ้น (หรือเด็กลง) ก็สามารถระบุตัวได้อย่างแม่นยำ ซึ่งพอมารวมกับความสามารถของทุ่นแปซิฟิก จึงกลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวมาก เพราะจะสามารถระบุตัวเป้าหมายได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก (ชวนให้นึกถึง God's Eye ใน Fast & Furious 7) จึงไม่แปลกใจถ้าพวกองค์กรชุดดำจะหมายหัวโปรแกรมนี้
เมื่อเทคโนโลยีนี้เป็นแกนสำคัญของเรื่อง ทำให้โคนันในภาคนี้กลายเป็นหนัง Tech-Based Plot ไปโดยปริยาย ยิ่งพอมีเหตุการณ์การลักพาตัวและการจารกรรมทางเทคโนโลยี (Hacking & Deepfake) ก็ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์ Blockbuster จำพวกแฟรนไชส์ Fast หรือ Mission Impossible นั่นเลยทำให้ในส่วนของการสืบสวนสอบสวน ปริศนาและเงื่อนงำต่างๆ ที่เป็นเสน่ห์ของโคนันจางหายไปอย่างเห็นได้ชัด การฆาตกรรมในเรื่องเหมือนเป็นส่วนขยายที่ใส่มาให้รู้ว่ายังเป็นภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนนะ เพราะเรื่องทั้งหมดแทบจะไปอยู่ที่องค์กรชุดดำและการช่วยเหลือไฮบาระอย่างเดียว (แต่ความเก่งกาจของโคนันยังไม่ลดลงนะ ล่าสุดว่ายน้ำตามเรือดำน้ำแล้ว)
ในส่วนขององค์กรชุดดำนี่เรียกว่ามากันครบ เพิ่มเติมตัวละครใหม่อย่าง “ปิงก้า” ที่น่าจะมีตำแหน่งหรือบทบาทในองค์กรพอสมควร เรียกว่าเป็นคนสำคัญเลย และนอกจากที่เราล้อกันว่าองค์กรนี้น่าจะมีสายลับไปเกินครึ่งแล้ว ยังได้เห็นว่าภายในองค์กรยังต้องมีการแข่งขันทำผลงานกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองด้วย เป็นเหตุให้ปิงก้าต้องแฝงตัวเข้ามาขโมยโปรแกรมที่ว่านี้นั่นเอง รวมถึงได้เห็นบทบาทของยิน ว็อดก้า และคีร์ (มิซึนาชิ เรย์นะ) เจ้าหน้าที่ CIA ที่แฝงตัวเข้าไปในองค์กรอีกด้วย
การเปลี่ยนแนวจากสืบสวนสอบสวนเป็นแอคชั่นจารกรรม ต้องบอกว่าทำได้ดีและเล่าเรื่องได้ไหลลื่นไม่สะดุด มีฉากแอคชั่นขัดหลักฟิสิกส์กระตุกต่อมตื่นเต้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ (Fast X ปะเนี่ย) หากจะรู้สึกขัดใจอาจเป็นตรงที่การพยายามปิดเรื่องให้จบภายในเดอะมูฟวี่แบบค่อนข้างแถไปหน่อย เพราะดูยังไงผลกระทบจากการปะทะกับองค์กรชุดดำในครั้งนี้ก็น่าจะใหญ่หลวงเกินกว่าที่โคนันจะกลับไปใช้ชีวิตลั้นลาในซีรีย์ได้ตามปกติแน่ๆ ทั้งเรื่องไฮบาระที่โดนจับไป เรื่องเรือดำน้ำขององค์กรที่เผชิญหน้ากับยูโรโพลมันต้องเป็นเรื่องระดับประเทศแล้ว แต่บทสรุปไม่ต่างจากคดีฆาตกรรมแย่งคนรักในตอนทั่วไปของซีรี่ย์เฉยเลย
แต่อย่างน้อยก็ยังมีอีกหนึ่งจุดขายให้แฟนๆ โคนันได้ชื่นฉ่ำหัวใจสำหรับกองอวย ไฮบาระxโคนัน เรียกว่าเป็นครั้งที่สองคนนี้มีซีนร่วมกันอย่างลึกซึ้งกว่าครั้งไหนๆ จนรันแทบจะกลายเป็นตัวประกอบไปเลย (หรือเป็นอยู่แล้ว) แม้ว่าท้ายที่สุดจุดยืนของทั้งคู่ก็ยังชัดเจน(สำหรับตอนนี้) แต่ก็เป็นช่วงเวลาโรแมนติกที่น่าจดจำสำหรับเรือไฮบาระxโคนัน แล้วแหละ
สรุป ยอดนักสืบจิ๋วโคนันเดอะมูฟวี่ 26: มฤตยูใต้น้ำทมิฬ มาในแนวแอคชั่นจารกรรมเต็มรูปแบบ เหมือนได้ชมภาพยนตร์ Blockbuster จากทางฝั่งฮอลิวูดแบบอนิเมชั่นเลยทีเดียว มาพร้อมการเผชิญหน้ากับพวกองค์กรชุดดำที่ลงลึกมากขึ้น เห็นความอันตรายขององค์กรมากขึ้นว่า เป็นอะไรที่โคนันไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวแน่ๆ แม้บทสรุปของเรื่องจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เป็นภาคที่กองอวย ไฮบาระxโคนัน จะจดจำไปอีกนานเลย