ฉลุย 8 พรรคร่วมรัฐบาลเตรียมเซ็นเอ็มโอยู ฤกษ์เดียวกับรัฐประหารปี57
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7675852
แม้ว่าก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้งได้รับเสียง 152 ที่นั่ง ตามมาด้วยเพื่อไทย 141 ที่นั่ง ทำให้คะแนนเสียงยังไม่พอในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ต้องจัดรัฐบาลผสม เพื่อให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา
เป็นที่มาของการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยขณะนี้มีพรรคเข้าร่วมรัฐบาลคือ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ รวม 314 เสียง และยังมีพรรคใหม่ และ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ที่ออกมาระบุว่า จะยกมือโหวตนาย
พิธา
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. นาย
ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการฯ พรรคก้าวไกล และผู้จัดการรัฐบาล ได้โพสต์ข้อความว่า
ผลการพูดคุยเพื่อจัดทำ MOU ร่วมกันในวันนี้ บรรลุผลไปได้ด้วยดีครับ พรรคก้าวไกลต้องขอขอบคุณหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคของทุกพรรคที่เราจะจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย โดยยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง พรุ่งนี้ พวกเราจะแถลง MOU ในเวลาเดียวกันกับการประกาศรัฐประหารเมื่อ 9 ปีก่อน
ด้านนาย
พิธา ได้โพสต์ระบุว่า รัฐบาลผสมที่นำโดยก้าวไกลจะผลักดันวาระ 2 ประเภท
1. วาระ “
ร่วม” ของทุกพรรคร่วม รบ. (ระบุใน MOU) = นโยบายที่ทุกพรรคเห็นตรงกัน + พร้อมรับผิดชอบร่วมกัน
2. วาระ “
เฉพาะ” ของพรรค (ไม่ระบุใน MOU) = นโยบายที่ กก.ขับเคลื่อนเอง ผ่านกระทรวงที่ กก.บริหาร + 152 ส.ส. ในสภาฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวในวันนี้ (21 พ.ค.) พรรคก้าวไกล ได้เปิดเซฟเฮ้าท์ เพื่อร่วมกันประชุมหารือเรื่องการลงนามในเอ็มโอยู ซึ่งแต่ละพรรคได้ไปทำงานก่อนที่จะส่งกลับมาให้พรรคก้าวไกล นำมาสรุปและลงนามร่วมกัน
โดยในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค.) มีการนัดประชุมร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในเวลา 15.00 น. ก่อนที่จะลงนามในเอ็มโอยู พร้อมกันในเวลา 16.00 น.ที่โรงแรมคอนราด กรุงเทพ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในรายละเอียดต่อไป
โดยทั้ง 8 พรรค ได้ร่วมแถลงจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนร่วมกัน โดยมี 3 ข้อ คือ
1. ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมาก ตามผลการเลือกตั้งของประชาชน
2. ทุกพรรคจะร่วมการจัดทำข้อตกลงร่วม หรือ Mou ในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อแสดงถึงแนวร่วมในการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะในวันที่ 22 พ.ค. ที่จะถึงนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤติทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
3. ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยความเคารพต่อเสียงข้างมากของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.
เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้ระบุว่า อยู่ระหว่างพิจารณาเนื้อหาเอ็มโอยู และจะส่งกลับไปแก้ไข โดยมองว่า เนื้อหาในเอ็มโอยูลงรายละเอียดมากเกินไป เช่น ปฏิรูปทหาร ประเด็นสมรสเท่าเทียม ประเด็นสุราก้าวหน้า แต่ไม่มีประเด็นมาตรา 112
https://twitter.com/Chaithawat_MFP/status/1660236026760298496
https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/posts/pfbid032xJ3Gvu3Dg8Z7uTKXZT6ijhaUqt6UVYhdU8RDYsvpyLhjeCQAYRJcybSSCeh7tk2l
แนวร่วมธรรมศาสตร์ นัดชุมนุม 23พ.ค.หน้ารัฐสภา กดดันส.ว.ไม่โหวตสวนประชาชน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7675813
กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม United Front of Thammasat and Demonstration นัดชุมนุม 23พ.ค.หน้ารัฐสภา กดดันส.ว.ไม่โหวตสวนประชาชน
วันที่ 21 พ.ค.2566 กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม United Front of Thammasat and Demonstration ได้โพสต์ข้อความเขิญชวนให้มาร่วมกันยืนยันในหลักการว่าสมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว.) ต้องไม่โหวตสวนมติของประชาชน ในวันที่23 พ.ค.2566 ตั้งแต่เวลา 17.00 – 20.00 น. ที่ หน้ารัฐสภาเกียกกาย (ฝั่งบุญรอด)
พร้อมระบุข้อความว่า การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถสะท้อนความต้องการและเจตจำนงค์ของประชาชน เมื่อเสียงของประชาชนต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง ตามหลักการของประชาธิปไตยก็ควรต้องเป็นไปตามนั้น แต่ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 ได้ให้อำนาจแก่สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 250 คน ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งแหล่งที่มาในอำนาจของสมาชิกวุฒิสภามิไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวโยงกับประชาชน
แม้การเลือกตั้งในครั้งนี้จะสะท้อนเจตจำนงค์ของประชาชนมากแค่ไหนก็ตาม แต่ดูเสมือนว่าสมาชิกวุฒิสภาบางคนจะแสดงถึงความไม่เห็นด้วยในหลักการประชาธิปไตย พร้อมที่จะคัดค้านตัวแทนที่มาจากการเลือกของประชาชน และพร้อมที่จะยับยั้งความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกวิถีทาง ขอเชิญพี่น้องประชาชนมาร่วมกันยืนยันในหลักการว่าสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่โหวตสวนมติของประชาชน และชัยชนะของประชาชนในครั้งนี้ต้องไม่ถูกทำลายโดยเสียงของสมาชิกวุฒิสภา
ทั้งนี้ หลังจากได้มีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2566 ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2566 แล้วนั้น นาย
พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา มีคำสั่งให้นัดประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) วันที่ 23 พ.ค.2566 ทันที
https://www.facebook.com/ThammasatUFTD/posts/565390905779067
ฟัง นิธิ ‘อย่าไปง้อพวก ส.ว.’ เชื่อ เสียงพอแล้ว แต่ห้ามแตก ไม่ต้องขอ ภท.-ปชป.หนุน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3991169
ฟัง นิธิ ‘อย่าไปง้อพวก ส.ว.’ เชื่อ เสียงพอแล้ว แต่ห้ามแตก ไม่ต้องขอ ภท.-ปชป.หนุน
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.
นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการชื่อดัง ให้สัมภาษณ์ในรายการ เอ๊กซ์-อ๊อก talk ทุกเรื่อง ทาง ‘
มติชนทีวี’ เมื่อ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยในตอนหนึ่ง กล่าวถึงประเด็นนโยบายของพรรคก้าวไกลที่มีความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยกเลิกการเกณฑ์ทหาร หรือแก้กฎหมายมาตรา 112 ศ.ดร.
นิธิระบุว่า จะสามารถทำได้หรือไม่ได้นั้น สิ่งสำคัญคืออย่าละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยพูดไว้ถึงการเปลี่ยนไปด้วยกัน แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดความรุนแรง ขอให้พึงกระทำอย่างซื่อตรง และสัตย์จริง การที่พรรคก้าวไกลเดินทางมาถึงขนาดนี้ ส่วนสำคัญคือการประท้วงของประชาชนเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพรรค ไม่ว่าจะเมื่อครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกลก็ตามแต่
“
ไม่ใช่ขอให้ ส.ว.สนับสนุน ไม่ใช่ขอให้พรรคฝ่ายค้านสนับสนุน ไม่จำเป็น แต่ประชาชนต้องสนับสนุนเขา ถ้าหากประชาชนไม่ให้การข้อนี้ ผมว่าไปไม่รอด แต่หากประชาชนสนับสนุนอาจจะรอด ควรค่าที่จะต้องเสี่ยง” ศ.ดร.
นิธิกล่าว
เมื่อพิธีกรถามว่า กรณีจำนวนเสียงของพรรคต่างๆ ในการจัดตั้งรัฐบาล หากท้ายที่สุดไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ หรือในกรณีที่รุนแรงที่สุดคือการยุบพรรค จะนำไปสู่อะไร ศ.ดร.
นิธิระบุว่า ธุรกิจจะดำเนินการได้อย่างไรหากขาดรัฐบาล ยืนยันว่า 310 เสียงนั้นเพียงพอแล้วโดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปขอความสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ เพราะการสนับสนุนพรรคที่มีเสียงมากที่สุดคือความชอบธรรม และเป็นหน้าที่ของ ส.ส.อยู่แล้ว
“
เพราะฉะนั้นถ้า ส.ว.กล้า ก็โหวตให้คุณประยุทธ์สิ… ผมว่า 310 เสียงพอแล้ว สำคัญคืออย่าแตก 310 เสียงต้องไม่แตก ผมถึงบอกว่าคุณต้องออกทีวี ต้องทำให้มั่นใจได้ว่าใครก็แล้วแต่ที่จะแตกออกไปจะไม่มีทางได้ผุดได้เกิดทางการเมือง คุณไม่ต้องไปง้อพวก ส.ว.หรอก อย่างไรเขาก็ต้องภักดีต่อนายของเขา ก็รู้อยู่ว่าเขาถูกตั้งมาโดยใคร มันไม่มีทางเลือก แม้แต่นายของเขาเองก็ยังต้องยอม หรืออีกทีอาจจะยึดอำนาจเลย” ศ.ดร.
นิธิกล่าว
ศ.ดร.
นิธิกล่าวว่า เราอย่าเดินประเทศด้วยความกลัว ถ้าเกิดอุปสรรค เช่น การยึดอำนาจ การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคารพกฎหมาย การยุบพรรคโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ไม่ควรยินยอม
“
จริงๆ การยุบพรรคไม่มีที่ไหนทำกัน พรรคเป็นของประชาชน เมื่อเกิดอย่างนี้แล้ว คือทำโดยฝ่าฝืนกฎหมาย โอกาสที่จะเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าเรามัวแต่กลัวก็เท่ากับว่าเรายกประเทศให้คนแก่ๆที่ก้าวไม่ทันโลก ผมว่าเราไม่ควรยอม”
‘เอกชน’ มั่นใจส.ว.ไม่กล้าขัดมติประชาชน โหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ แนะขึ้นค่าแรงปีละ10%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3990858
‘เอกชน’ มั่นใจ ส.ว.ไม่กล้าขัดมติประชาชน โหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ แนะขึ้นค่าแรงปีละ 10%
วันที่ 21 พฤษภาคม นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า ผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจนแล้วว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงข้างมากเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 อยากให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้ได้ โดยที่ไม่ต้องไปกังวลเสียงจาก ส.ว. ขอให้ทั้ง 2 พรรคมีความแน่วแน่ในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าอย่างไร ส.ว.จะต้องโหวตให้อย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครกล้าค้านมติของประชาชน และเชื่อว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทั้งเศรษฐกิจและสังคมหลังมีรัฐบาลใหม่ที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างสง่างาม สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนไทยและต่างชาติ
“
ขอให้ตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพราะจะคาบเกี่ยวกับการใช้งบประมาณใหม่ในปี 2567 หากล่าช้าจะทำให้การลงทุนใหม่ๆ หรือการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าตามไปด้วย เชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากจะเห็นความขัดแย้งหรือมีการทะเลาะกันเกิดขึ้น เพราะบอบช้ำกันมาเยอะแล้ว” นายพีระพงศ์กล่าว
นาย
พีระพงศ์กล่าวว่า ดูจากนโยบายของพรรคก้าวไกลจะมุ่งในเรื่องการยกระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้านและสังคม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มองการแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาจะมองข้าม ขณะที่นโยบายพรรคเพื่อไทยจะโดดเด่นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเคยผ่านการคุมกระทรวงเศรษฐกิจมาก่อน ถือว่าทั้ง 2 พรรคมีนโยบายที่บาลานซ์กัน
“
สิ่งที่ยังกังวล คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ก้าวกระโดด จากเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 337 บาท เป็น 450 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ขอให้รัฐบาลใหม่ทยอยขึ้นปีละ 10% เพราะหากขึ้นทีเดียวกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างและราคาบ้านและคอนโดมิเนียมประมาณ 1.5% ส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในเขตพัฒนาภาคตะวันออกหรืออีอีซี หากเพื่อไทยมาดูจะกระตุ้นโครงการต่างๆ ให้เร็วขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงฝากรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาการส่งออกที่เริ่มแผ่วลง ตามภาวะการบริโภคและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว” นายพีระพงศ์กล่าว
นาย
พีระพงศ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามสมาคมอาคารชุดไทย ได้เตรียมข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ ได้แก่ ให้พิจารณาการให้วีซ่าระยะยาวต่างชาติ 3-5 ปี เท่ากับราคาคอนโดมิเนียม เช่น ซื้อคอนโด 3 ล้านบาท ได้วีซ่า 3 ปี ซื้อ 5 ล้านบาท ได้วีซ่า 5 ปี, ผ่อนปรนมาตรการ LTV อีก 2 ปี, ทบทวนอัตราภาษีที่ดินเป็นแบบอัตราเดียวกัน 0.3% เท่ากันทุกประเภท เนื่องจากที่ดินแต่ละประเภทมีราคาประเมินของกรมธนารักษ์กำหนดไว้อยู่แล้ว และแต่ละพื้นที่มีราคาไม่เท่ากัน หากทำได้จะทำให้ไม่ต้องมีปัญหาการตีความและนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ไม่ตรงกับประเภท เพื่อลดภาระภาษี เช่น ปลูกกล้วยบนที่ดินกลางเมือง, ขยายระยะเวลาการเช่าอสังหาริมทรัพย์จาก 30 ปี เป็น 90 ปี
JJNY : 5in1 เตรียมเซ็นเอ็มโอยู│แนวร่วมธรรมศาสตร์นัด│ฟังนิธิ│‘เอกชน’แนะขึ้นค่าแรงปีละ10%│ยูเครนระบุปธน.ปฏิเสธเสียบักห์มูต
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7675852
แม้ว่าก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้งได้รับเสียง 152 ที่นั่ง ตามมาด้วยเพื่อไทย 141 ที่นั่ง ทำให้คะแนนเสียงยังไม่พอในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ต้องจัดรัฐบาลผสม เพื่อให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา
เป็นที่มาของการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยขณะนี้มีพรรคเข้าร่วมรัฐบาลคือ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ รวม 314 เสียง และยังมีพรรคใหม่ และ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ที่ออกมาระบุว่า จะยกมือโหวตนายพิธา
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการฯ พรรคก้าวไกล และผู้จัดการรัฐบาล ได้โพสต์ข้อความว่า ผลการพูดคุยเพื่อจัดทำ MOU ร่วมกันในวันนี้ บรรลุผลไปได้ด้วยดีครับ พรรคก้าวไกลต้องขอขอบคุณหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคของทุกพรรคที่เราจะจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย โดยยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง พรุ่งนี้ พวกเราจะแถลง MOU ในเวลาเดียวกันกับการประกาศรัฐประหารเมื่อ 9 ปีก่อน
ด้านนายพิธา ได้โพสต์ระบุว่า รัฐบาลผสมที่นำโดยก้าวไกลจะผลักดันวาระ 2 ประเภท
1. วาระ “ร่วม” ของทุกพรรคร่วม รบ. (ระบุใน MOU) = นโยบายที่ทุกพรรคเห็นตรงกัน + พร้อมรับผิดชอบร่วมกัน
2. วาระ “เฉพาะ” ของพรรค (ไม่ระบุใน MOU) = นโยบายที่ กก.ขับเคลื่อนเอง ผ่านกระทรวงที่ กก.บริหาร + 152 ส.ส. ในสภาฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวในวันนี้ (21 พ.ค.) พรรคก้าวไกล ได้เปิดเซฟเฮ้าท์ เพื่อร่วมกันประชุมหารือเรื่องการลงนามในเอ็มโอยู ซึ่งแต่ละพรรคได้ไปทำงานก่อนที่จะส่งกลับมาให้พรรคก้าวไกล นำมาสรุปและลงนามร่วมกัน
โดยในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค.) มีการนัดประชุมร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในเวลา 15.00 น. ก่อนที่จะลงนามในเอ็มโอยู พร้อมกันในเวลา 16.00 น.ที่โรงแรมคอนราด กรุงเทพ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในรายละเอียดต่อไป
โดยทั้ง 8 พรรค ได้ร่วมแถลงจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนร่วมกัน โดยมี 3 ข้อ คือ
1. ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมาก ตามผลการเลือกตั้งของประชาชน
2. ทุกพรรคจะร่วมการจัดทำข้อตกลงร่วม หรือ Mou ในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อแสดงถึงแนวร่วมในการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะในวันที่ 22 พ.ค. ที่จะถึงนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤติทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
3. ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยความเคารพต่อเสียงข้างมากของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้ระบุว่า อยู่ระหว่างพิจารณาเนื้อหาเอ็มโอยู และจะส่งกลับไปแก้ไข โดยมองว่า เนื้อหาในเอ็มโอยูลงรายละเอียดมากเกินไป เช่น ปฏิรูปทหาร ประเด็นสมรสเท่าเทียม ประเด็นสุราก้าวหน้า แต่ไม่มีประเด็นมาตรา 112
https://twitter.com/Chaithawat_MFP/status/1660236026760298496
https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/posts/pfbid032xJ3Gvu3Dg8Z7uTKXZT6ijhaUqt6UVYhdU8RDYsvpyLhjeCQAYRJcybSSCeh7tk2l
แนวร่วมธรรมศาสตร์ นัดชุมนุม 23พ.ค.หน้ารัฐสภา กดดันส.ว.ไม่โหวตสวนประชาชน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7675813
กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม United Front of Thammasat and Demonstration นัดชุมนุม 23พ.ค.หน้ารัฐสภา กดดันส.ว.ไม่โหวตสวนประชาชน
วันที่ 21 พ.ค.2566 กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม United Front of Thammasat and Demonstration ได้โพสต์ข้อความเขิญชวนให้มาร่วมกันยืนยันในหลักการว่าสมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว.) ต้องไม่โหวตสวนมติของประชาชน ในวันที่23 พ.ค.2566 ตั้งแต่เวลา 17.00 – 20.00 น. ที่ หน้ารัฐสภาเกียกกาย (ฝั่งบุญรอด)
พร้อมระบุข้อความว่า การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถสะท้อนความต้องการและเจตจำนงค์ของประชาชน เมื่อเสียงของประชาชนต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง ตามหลักการของประชาธิปไตยก็ควรต้องเป็นไปตามนั้น แต่ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 ได้ให้อำนาจแก่สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 250 คน ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งแหล่งที่มาในอำนาจของสมาชิกวุฒิสภามิไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวโยงกับประชาชน
แม้การเลือกตั้งในครั้งนี้จะสะท้อนเจตจำนงค์ของประชาชนมากแค่ไหนก็ตาม แต่ดูเสมือนว่าสมาชิกวุฒิสภาบางคนจะแสดงถึงความไม่เห็นด้วยในหลักการประชาธิปไตย พร้อมที่จะคัดค้านตัวแทนที่มาจากการเลือกของประชาชน และพร้อมที่จะยับยั้งความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกวิถีทาง ขอเชิญพี่น้องประชาชนมาร่วมกันยืนยันในหลักการว่าสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่โหวตสวนมติของประชาชน และชัยชนะของประชาชนในครั้งนี้ต้องไม่ถูกทำลายโดยเสียงของสมาชิกวุฒิสภา
ทั้งนี้ หลังจากได้มีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2566 ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2566 แล้วนั้น นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา มีคำสั่งให้นัดประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) วันที่ 23 พ.ค.2566 ทันที
https://www.facebook.com/ThammasatUFTD/posts/565390905779067
ฟัง นิธิ ‘อย่าไปง้อพวก ส.ว.’ เชื่อ เสียงพอแล้ว แต่ห้ามแตก ไม่ต้องขอ ภท.-ปชป.หนุน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3991169
ฟัง นิธิ ‘อย่าไปง้อพวก ส.ว.’ เชื่อ เสียงพอแล้ว แต่ห้ามแตก ไม่ต้องขอ ภท.-ปชป.หนุน
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการชื่อดัง ให้สัมภาษณ์ในรายการ เอ๊กซ์-อ๊อก talk ทุกเรื่อง ทาง ‘มติชนทีวี’ เมื่อ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยในตอนหนึ่ง กล่าวถึงประเด็นนโยบายของพรรคก้าวไกลที่มีความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยกเลิกการเกณฑ์ทหาร หรือแก้กฎหมายมาตรา 112 ศ.ดร.นิธิระบุว่า จะสามารถทำได้หรือไม่ได้นั้น สิ่งสำคัญคืออย่าละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยพูดไว้ถึงการเปลี่ยนไปด้วยกัน แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดความรุนแรง ขอให้พึงกระทำอย่างซื่อตรง และสัตย์จริง การที่พรรคก้าวไกลเดินทางมาถึงขนาดนี้ ส่วนสำคัญคือการประท้วงของประชาชนเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพรรค ไม่ว่าจะเมื่อครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกลก็ตามแต่
“ไม่ใช่ขอให้ ส.ว.สนับสนุน ไม่ใช่ขอให้พรรคฝ่ายค้านสนับสนุน ไม่จำเป็น แต่ประชาชนต้องสนับสนุนเขา ถ้าหากประชาชนไม่ให้การข้อนี้ ผมว่าไปไม่รอด แต่หากประชาชนสนับสนุนอาจจะรอด ควรค่าที่จะต้องเสี่ยง” ศ.ดร.นิธิกล่าว
เมื่อพิธีกรถามว่า กรณีจำนวนเสียงของพรรคต่างๆ ในการจัดตั้งรัฐบาล หากท้ายที่สุดไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ หรือในกรณีที่รุนแรงที่สุดคือการยุบพรรค จะนำไปสู่อะไร ศ.ดร.นิธิระบุว่า ธุรกิจจะดำเนินการได้อย่างไรหากขาดรัฐบาล ยืนยันว่า 310 เสียงนั้นเพียงพอแล้วโดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปขอความสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ เพราะการสนับสนุนพรรคที่มีเสียงมากที่สุดคือความชอบธรรม และเป็นหน้าที่ของ ส.ส.อยู่แล้ว
“เพราะฉะนั้นถ้า ส.ว.กล้า ก็โหวตให้คุณประยุทธ์สิ… ผมว่า 310 เสียงพอแล้ว สำคัญคืออย่าแตก 310 เสียงต้องไม่แตก ผมถึงบอกว่าคุณต้องออกทีวี ต้องทำให้มั่นใจได้ว่าใครก็แล้วแต่ที่จะแตกออกไปจะไม่มีทางได้ผุดได้เกิดทางการเมือง คุณไม่ต้องไปง้อพวก ส.ว.หรอก อย่างไรเขาก็ต้องภักดีต่อนายของเขา ก็รู้อยู่ว่าเขาถูกตั้งมาโดยใคร มันไม่มีทางเลือก แม้แต่นายของเขาเองก็ยังต้องยอม หรืออีกทีอาจจะยึดอำนาจเลย” ศ.ดร.นิธิกล่าว
ศ.ดร.นิธิกล่าวว่า เราอย่าเดินประเทศด้วยความกลัว ถ้าเกิดอุปสรรค เช่น การยึดอำนาจ การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคารพกฎหมาย การยุบพรรคโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ไม่ควรยินยอม
“จริงๆ การยุบพรรคไม่มีที่ไหนทำกัน พรรคเป็นของประชาชน เมื่อเกิดอย่างนี้แล้ว คือทำโดยฝ่าฝืนกฎหมาย โอกาสที่จะเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าเรามัวแต่กลัวก็เท่ากับว่าเรายกประเทศให้คนแก่ๆที่ก้าวไม่ทันโลก ผมว่าเราไม่ควรยอม”
‘เอกชน’ มั่นใจส.ว.ไม่กล้าขัดมติประชาชน โหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ แนะขึ้นค่าแรงปีละ10%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3990858
‘เอกชน’ มั่นใจ ส.ว.ไม่กล้าขัดมติประชาชน โหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ แนะขึ้นค่าแรงปีละ 10%
วันที่ 21 พฤษภาคม นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า ผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจนแล้วว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงข้างมากเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 อยากให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้ได้ โดยที่ไม่ต้องไปกังวลเสียงจาก ส.ว. ขอให้ทั้ง 2 พรรคมีความแน่วแน่ในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าอย่างไร ส.ว.จะต้องโหวตให้อย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครกล้าค้านมติของประชาชน และเชื่อว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทั้งเศรษฐกิจและสังคมหลังมีรัฐบาลใหม่ที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างสง่างาม สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนไทยและต่างชาติ
“ขอให้ตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพราะจะคาบเกี่ยวกับการใช้งบประมาณใหม่ในปี 2567 หากล่าช้าจะทำให้การลงทุนใหม่ๆ หรือการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าตามไปด้วย เชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากจะเห็นความขัดแย้งหรือมีการทะเลาะกันเกิดขึ้น เพราะบอบช้ำกันมาเยอะแล้ว” นายพีระพงศ์กล่าว
นายพีระพงศ์กล่าวว่า ดูจากนโยบายของพรรคก้าวไกลจะมุ่งในเรื่องการยกระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้านและสังคม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มองการแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาจะมองข้าม ขณะที่นโยบายพรรคเพื่อไทยจะโดดเด่นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเคยผ่านการคุมกระทรวงเศรษฐกิจมาก่อน ถือว่าทั้ง 2 พรรคมีนโยบายที่บาลานซ์กัน
“สิ่งที่ยังกังวล คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ก้าวกระโดด จากเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 337 บาท เป็น 450 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ขอให้รัฐบาลใหม่ทยอยขึ้นปีละ 10% เพราะหากขึ้นทีเดียวกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างและราคาบ้านและคอนโดมิเนียมประมาณ 1.5% ส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในเขตพัฒนาภาคตะวันออกหรืออีอีซี หากเพื่อไทยมาดูจะกระตุ้นโครงการต่างๆ ให้เร็วขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงฝากรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาการส่งออกที่เริ่มแผ่วลง ตามภาวะการบริโภคและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว” นายพีระพงศ์กล่าว
นายพีระพงศ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามสมาคมอาคารชุดไทย ได้เตรียมข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ ได้แก่ ให้พิจารณาการให้วีซ่าระยะยาวต่างชาติ 3-5 ปี เท่ากับราคาคอนโดมิเนียม เช่น ซื้อคอนโด 3 ล้านบาท ได้วีซ่า 3 ปี ซื้อ 5 ล้านบาท ได้วีซ่า 5 ปี, ผ่อนปรนมาตรการ LTV อีก 2 ปี, ทบทวนอัตราภาษีที่ดินเป็นแบบอัตราเดียวกัน 0.3% เท่ากันทุกประเภท เนื่องจากที่ดินแต่ละประเภทมีราคาประเมินของกรมธนารักษ์กำหนดไว้อยู่แล้ว และแต่ละพื้นที่มีราคาไม่เท่ากัน หากทำได้จะทำให้ไม่ต้องมีปัญหาการตีความและนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ไม่ตรงกับประเภท เพื่อลดภาระภาษี เช่น ปลูกกล้วยบนที่ดินกลางเมือง, ขยายระยะเวลาการเช่าอสังหาริมทรัพย์จาก 30 ปี เป็น 90 ปี