JJNY : “ชัยธวัช”เผยทิศทางส.ว.│สุวัจน์แถลงเข้าใจ ก้าวไกล│‘ไพศาล’รู้มา ส.ว.75 คน จ่อโหวต ‘พิธา’│เคียฟยิ้ม! มะกันจ่อหนุนแผน

“ชัยธวัช” เผยทิศทางดีลเสียง ส.ว. มีแนวโน้มดีขึ้น ยัน 313 เสียงถือว่ามีเพียงพอต่อตั้งรัฐบาล
https://www.thairath.co.th/news/politic/2695436
 
 
เลขาธิการพรรคก้าวไกล เผย กระบวนการเจรจาร่าง MOU เดินหน้าไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้เตรียมคุยกับแต่ละพรรคอีกครั้ง ก่อนเซ็นวันจันทร์นี้ ยัน 313 เสียง ถือว่ามีเพียงพอต่อตั้งรัฐบาล ส.ว. เข้าใจมากขึ้น
 
วันที่ 20 พฤษภาคม 2566 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เปิดเผยในฐานะผู้จัดการตั้งรัฐบาล ว่าขณะนี้พรรครวบรวมเสียงได้ 313 เสียง ถือว่ามีเพียงพอและมั่นคงแล้วตามหลักการประชาธิปไตยสากลทั่วไป 
 
ดังนั้น หลังจากนี้ จะเดินหน้าคุยกับ ส.ว. ต่อ เพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วพาบ้านเมืองไปต่อตามครรลองประชาธิปไตย ไม่ไปสู่ทางตัน โดยจากที่ตนได้พูดคุยกับ ส.ว. จำนวนหนึ่ง หลายท่านมีความกังวลเรื่องทิศทางนโยบายต่างประเทศ การรักษาสมดุลของไทยในเวทีการเมืองโลก และ ส.ว. ไม่ต้องการเห็นรัฐบาลชุดใหม่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มขึ้น เมื่อได้พบกันและอธิบายจุดยืนและแนวทางของพรรคก้าวไกล ทาง ส.ว. ก็เข้าใจมากขึ้น

โดยวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 จะมีประชุมวิสามัญวุฒิสภา และทราบมาว่าหลังการประชุมวุฒิสภา น่าจะมีการประชุมกันอย่างไม่เป็นทางการของ ส.ว. เรื่องแนวทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ผมเชื่อว่าเมื่อ ส.ว. ได้เห็นข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 22 พฤษภาคมแล้ว จะมีความเข้าใจต่อพวกเราดีขึ้นและนำไปสู่การตัดสินใจในเชิงบวกเพื่อผลักดันประเทศไปข้างหน้า” นายชัยธวัช กล่าว
 
เลขาธิการพรรคก้าวไกลยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระบวนการเจรจาร่าง MOU เดินหน้าไปได้ด้วยดี ตอนนี้ทุกพรรคกำลังพิจารณาและนำเสนอวาระสำคัญของแต่ละพรรคเพื่อมารวมกันเป็นข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล โดยในวันพรุ่งนี้ (21 พฤษภาคม 2566) จะมีการพูดคุยกับแต่ละพรรคอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้
 
นายชัยธวัชยืนยันว่า วาระสำคัญใน MOU จะตอบสนองต่อเสียงประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงทั้งในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเป็นธรรม และปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย มีนิติรัฐ โปร่งใส ปราศจากการทุจริต และแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาเพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าไปสู่อนาคตได้


 

สุวัจน์ แถลงเข้าใจ ก้าวไกล ยุติดีลเข้าร่วมรัฐบาล ขอบคุณที่เชิญ ลั่นเป็นได้ทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7674302

สุวัจน์ แถลงเข้าใจ ก้าวไกล ยุติดีลเข้าร่วมรัฐบาล ขอบคุณที่เชิญ ลั่นเป็นได้ทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ไม่มีปัญหาที่ไม่ได้เข้าร่วม เมื่อยุติดีลก็ไม่มีปัญหา
 
วันที่ 20 พ.ค.66 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า แถลงข่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลปฏิเสธไม่เชิญพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลแล้วว่า จากการเลือกตั้งพรรคชาติพัฒนากล้าได้ส.ส. 2 ที่นั่ง หลังเริ่มจัดตั้งรัฐบาล ในวันพฤหัสที่ผ่านมาที่ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลและมี 313 เสียง หลังจากนั้นพรรคก้าวไกลมีการติดต่อมายังพรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อเชิญร่วมรัฐบาล เพราะการตั้งรัฐบาลยังได้เสียงไม่พอ พรรคชาติพัฒนากล้าไม่ได้ติดต่อไป เราอยู่เฉยๆ แต่เมื่อมีการติดต่อมา และเราอยากเห็นการเมืองมีเสถียรภาพ รวมถึงรัฐบาลมีเสียงข้างมาก และยึดประเพณีที่พรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล
 
เมื่อพรรคก้าวไกลติดต่อมาเช่นนี้และเข้าทั้ง 3 หลักเกณฑ์ จึงอยู่ในองค์ประกอบ เมื่อมีการส่งการ์ดเชิญ เราจึงตอบรับตามหลักการ โดยพรรคเตรียมประชุมกรรมการบริหาร เพราะต้องไปเซ็นเอ็มโอยูด้วย จึงนัดประชุมกันวันที่ 22 พ.ค.นี้ เพื่อประชุมในรายละเอียด เพราะพรรคเรามีจุดยืนไม่แก้ไขมาตรา 112
 
นายสุวัจน์ กล่าวว่า เมื่อพรรคก้าวไกลแถลงเพิ่มเติมจะยุติการเจรจาในการเข้าร่วมรัฐบาล และแจ้งมายังพรรคชาติพัฒนากล้า เราก็ไม่ปัญหา เพราะเรายังไม่ได้พิจารณาในเรื่องของการเซ็นเอ็มโอยูว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่องใด ฉะนั้นขอขอบคุณพรรคก้าวไกลที่ให้เกียรติมาเชิญพรรคชาติพัฒนากล้าร่วมรัฐบาล เราเองก็ให้ความสนับสนุนในแนวทางนี้ที่จะให้พรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่เรามีเพียง 2 เสียง ซึ่งเราคงไม่มีอะไรไปต่อรอง แต่เป็นการพิจารณาในการเมืองเดินหน้าไปเท่านั้น เราไม่เคยสร้างปัญหา เรามีหน้าที่แก้ปัญหา
 
เมื่อถามว่าในอนาคตอาจมีการพูดคุยเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้งหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ไม่ต้องพูดถึงจุดนั้น วันนี้เอาแค่นี้ก่อน เราเป็นได้ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล


 
‘ไพศาล’ รู้มา ส.ว.75 คน จ่อโหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ‘ไพบูลย์’ เห็นด้วย ร่างรธน.ใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3989453

‘ไพศาล’ รู้มา ส.ว.75 คน จ่อโหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ‘ไพบูลย์’ เห็นด้วย ร่างรธน.ใหม่
 
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเสวนาหัวข้อ “อนาคตประเทศไทย จุดเปลี่ยนที่ท้าทาย” ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และ สมาคมวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในตอนหนึ่ง นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกฯ  กล่าวว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้ ยังคงมีความพยายามที่จะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแข่งกับเสียงข้างมาก ซึ่งอาจจะสร้างวิกฤตให้ประเทศ ขณะที่ท่าทีของส.ว. ที่มีต่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล นั้น ยังคงมีประเด็นว่าสุดท้าย การตัดสินใจของ ส.ว.จะเป็นอย่างไร แต่ยังเชื่อว่าก่อนที่จะทำหน้าที่ ส.ว.ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศ ดังนั้นหากส.ว.ยึดมั่นในคำถวายสัตย์ปฏิญาณบ้านเมืองจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้
 
สัญญาณที่เกิดขึ้น ผมทราบว่า ส.ว.ส่วนหนึ่งรู้ชะตากรรม มีอย่างน้อย 75 คนจะโหวตให้พรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ เพื่อเคารพฉันทามติของประชาชน และเพราะนายพิธามีความชอบธรรมที่จะตั้งรัฐบาล” นายไพศาล กล่าว
 
ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า การจัดตั้งรัฐบาลไม่ว่าแบบไหน ประเทศไปได้ เพราะทุกพรรคบริหารงานในภาครัฐ แต่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ เอกชนที่มีความต้องการมั่นคง ราบรื่น ไม่มีความวุ่นวาย ซึ่งมองว่า ขณะนี้ไม่มีความวุ่นวาย สำหรับ ในขั้นตอนหลังเลือกตั้งจะเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย ขณะที่การเสนอนโยบายแก้ไขเรื่องต่างๆ ต้องใช้กระบวนการนิติบัญญัติที่ไม่ง่ายและต้องใช้เวลา โดยเห็นด้วยที่จะถึงเวลาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เริ่มในขั้นตอนของการทำประชามติ แต่หากตั้ง ส.ส.ร. เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ไม่อยากให้นักการเมืองชี้นำการทำงาน

น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความท้าทายของประเทศไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองเท่านั้น แต่มีส่วนสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับหลายเรื่อง ทั้ง คุณภาพชีวิต คุณภาพของสังคมและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งในสังคมที่ระบบอุปถัมภ์ยังไม่เสื่อมสลาย หรือคลายตัว วันนี้จึงมีโจทย์สำคัญ คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่ขยายตัวและกดทับเยาวชน ทำให้เกิดคำถามกับสังคม เช่น การปฏิรูปกระบวนการศึกษา ระบบการเรียน รวมถึงภาวะความผันผวนในประเทศไทย ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับอนาคตของตนเอง
 
คนรุ่นใหม่ไม่ได้ชังชาติ แต่เขามีจุดหมายเดียวกัน คือ อยากเห็นประเทศไทย เห็นคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะทุกคนเจอภาวะปัญหาที่แตกต่างกัน ทำให้วิธีเรียกร้องต่างกัน ส่วนผู้ใหญ่บางคนกลับมองการเรียกร้องของเด็กคือความก้าวร้าว ปิดกั้นการรับฟังความเห็นโดยไม่มองแก่นของปัญหาที่เกิดขึ้น” น.ส.วทันยา กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่