ใครที่กำลังท้อ เราขอเป็นให้กำลังใจเพื่อเดินต่อไปข้างหน้านะคะ

เรื่งที่เราจะเล่าให้ฟังนี้ ถือเป็นเรื่องเล่าที่อยากให้คนที่กำลังรู้สึกท้อให้มีกำลังใจขึ้นมานะคะ ตอนนี้เราถือท้อลูกเบ่อเร่อเลย เนื่องจากประมาณ 10 ปีก่อน เราจำเป็นต้องไปเซ็นกู้เงินเอนกประสงค์ คือเราเซ็น พ่อเอาไป แล้วเราใช้หนี้ ตอนนั้นถ้าเราไม่เซ็นแกก็ขู่เรื่องตายอย่างเดียว เลยต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมกับหนี้สามล้านบาทมา จริงๆมันมากกว่าสามล้านเพราะไหนจะดอกเบี้ยคำนวนจากเงินต้นอีก ปัญหาถัดมาพ่อเราเอารถที่เราผ่อนจนจะหมดไปเข้าธนาคารยอดผ่อนน่าจะ สี่ถึงห้าแสนได้ แกบังคับเอาไปเข้าเพื่อเอาเงินออกมาสองแสนกว่า คือต้องวนผ่อนใหม่อีกรอบ (เราจำได้เสียใจมากไม่พูดกับที่บ้านเป็นปี) แล้วรถที่แกใช้แกก็ผ่อนไม่ไหวมันก็วนมาที่เราอีก เราก็รับมาผ่อนอีก คือเราจะบอกว่าตอนนั้นอายุเรายังไม่ถึงสามสิบ หนี้ท่วมเลย ซึ่งหนี้ที่ท่วมเนี่ยมาจากปัญหา คือหนึ่งความไม่มีวินัยในการใช้เงินของพ่อเรา อันนี้ต้องเรียกย่ามาคุยว่าทีหลังอย่าสปอยอีก สองพี่สาวเราอีกสองคนคือเจ้าแม่สร้างหนี้ เราเอาเงินให้พ่อแม่ไปปิดหนี้ แกเอาไปปิดให้พี่สาวแล้วหนี้ของเราก็เลยไม่ได้จ่ายให้ธนาคาร เราก็ต้องเอาเงินเก็บอันน้อยนิดไปปิดวนลูปไป สามคือเราปฏิเสธพ่อกับแม่ตัวเองไม่เป็นเราพยายามแล้วแต่ในสมองก็สั่งให้ทำ มันมีความตลกร้ายตรงที่ว่าตอนเด็กๆ มีคนบอกว่าเราเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงเราเกือบเชื่อเลยตอนนั้น ปัจจุบันเราก็แบกภาระหนี้นี้อยู่ เพราะเเบบนี้เลยทำให้เราต้องเปลี่ยนงานบ่อยเพื่อปรับเงินเดือน เราจำได้ตอนโดนบังคับกู้ครั้งแรกเราเอาเงินเดือนมาหักลบกลบหนี้มันเหลืออยู่สองพันนิดๆ สำหรับสามสิบวันของเรา เราใช้บัตรเครดิตแบบจ่ายขั้นต่ำไปก่อน ช่วงนั้นเลยหุ่นบางเฉียบ อย่างน้อยมันก็เป็นข้อดีข้อเดียวที่มีในสถานการณ์นั้น 

เพี้ยนแข็งแรง
ที่เราเขียนมาทั้งหมดเนี่ย คือจะบอกว่าเราเป็น Job hopper เปลี่ยนงานบ่อยมากกกก เพราะต้องวิ่งตามหนี้สินที่มี เราลืมบอกว่าพอสถานการณ์เหมือนจะคลี่คลายเรามีเงินจ่ายหนี้ แต่พี่เราก็มาป่วยเป็นมะเร็งระยะ 3 ซึ่งหมอบางท่านบอกระยะ 4 เราก็เอาเงินเก็บไปทยอยรักษา ซึ่งมีคนบอกว่าบัตรทอง หรือ ปกส ก็รักษาได้ เราว่าไม่ได้นะ เพราะตอนนั้นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันการฉายแสงซึ่งทางหน่วยงานที่แจ้งไม่ได้ครอบคลุมจุดนี้ อย่างที่ 2 ตอนนั้นมะเร็งลามติดสมอง คือเป็นซีเรียสเคสแต่การฉายแสงหรือคีโมนี่แหละก็ต้องเข้าคิว อีก 4-5 เดือนจะได้ทำ (เราไม่แน่ใจว่าฉายแสงหรือคีโม เราลืม) ถ้าเข้าคิวรอเราว่าวันนี้พี่เราน่าจะจากไปแล้วหละ ที่เล่าคือเงินเก็บของช้านนนน ปลิวไปกับสายลมและเเสงแดด พี่เราผ่าตัดรวม 6 ครั้ง 

อีกเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับเราคือญาติเราเอาหมามาทิ้งไว้ให้เลี้ยงที่บ้าน เป็นไซบีเรียน คือเด็กมันไปเป็นแฟนกันซื้อลูกหมามาเลี้ยงเป็นลูก (อันนี้งงใจกับคนขายหมานะคะ ช่วยดูสภาพคนเลี้ยงด้วยอันนี้อยากได้เงินกันเกินไป เด็กนักเรียนจ้า ฮัลโหลลล ขายหมาดูสภาพคนเลี้ยงด้วยยยย เลี้ยงไม่ไหวเอาไปคืนได้มั้ยค้าาาาา) ซึ่งมีแต่คนป่วยและคนแก่ แล้วพี่สาวของเราก็ไปเก็บหมาจรมาอีก งงมาก ทำอะไรกันว่ะเนี่ย หมาตัวผู้กับตัวเมียก็เลยมีลูกหมาที่มาอีก  6 ตัวแบบงงๆอีก เราถามพี่ว่าทำไมไม่ไปทำหมั๋นนางบอกว่าหมอไม่ทำให้เอาไปแล้ว เค้าบอกว่ามันยังเด็กอยู่เลยไม่ทำ เถียงกันไปมาเราก็จำเป็นต้องรับมาเพราะไม่มีใครเลี้ยงเลย เราเลยต้องเลี้ยงทั้งหมด คือหมาไซบีเรียนกับพันทางแบบจุกๆ 8 ตัว ค่าอาหารค่ายาไม่ต้องพูดถึง เอาไปฉีดวัคซีนกับสัตวแพทย์ที่ไม่รับทำหมั๋น ฉีดแปดตัวรวมกันเป็นหมื่น (ปาไป >70% ของค่าแรงขั้นต่ำ หมาป่วยก็ค่าใช้จ่าย 2-3 พัน ตัดขนทีละ 2,500 ไหนจะค่าอาหารอีก 

ตอนนี้ที่นั่งพิมพ์อยู่นี้เราว่างงาน เพราะตอนเเรกคุยกับเพื่อนไว้ว่าจะไปทำงานต่อด้วยกัน แต่มันก็ผิดแผน แล้วเราก็พยายามหางานใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วโดนถามทุกครั้งเลยว่าทำไมเปลี่ยนงานบ่อย ซึ่งเราว่าจุดที่เป็น Job Hopper มันกำลังทำหน้าที่ของมัน ทำให้เราดูเป็นคนไม่น่าจ้างงาน เราคิดอยากท้อเหมือนกันแต่ชีวิตมันก็ต้องดิ้นรนกันไป เราขอให้กำลังใจทุกคนนะคะ สู้ สู้ อยากฝากบอก HR ว่าอย่าพึ่งปิดกั้น Job Hopper นะคะ ลองคุยกับเค้าก่อน เค้าอาจจะอยู่กับเราได้นานก็ได้ และอยากฝากถึงคนที่คิดว่าการมีลูกคือการหาคนมาเลี้ยงดู หรือเอามาเป็นคนใช้หนี้ให้ พอเถอะคะ เด็กเกิดมาก็ให้เกิดมาจากความรักและหวังดี ถ้าคิดจะใช้ประโยชน์จากลูกของคุณ เราว่าเด็กน่าสงสารค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่