เที่ยวสุราษฎร์ ไปกับพวกตัวป่วนนน

สวัสดีครับพวกเราข้าวเหนียวมันปู กับ trip สุดแสนจะวุ่นวายของวัยรุ่นปี 4 ที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งการรวมตัวกันของพวกเราในครั้งนี้มีโจทย์ในการเที่ยวคือ low price high experience กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งพอได้โจทย์แบบนี้แล้ว พวกเราทุกคนเลยเลือกที่จะไปที่สุราษฎร์ธานี ที่ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและธรรมชาติ เราจะพบเจออะไรกันบ้างใน trip นี้เราไปดูกันเล้ยยยยยย เพี้ยนแว๊น

แพลนของเราวันแรกเริ่มที่วันที่ 2 ช่วงค่ำที่เราจะนัดเพื่อนๆมากันที่สถานีกลางบางซื่อ เพื่อที่จะนั่งรถไฟไปยังจังหวัดสุราษฎร์ ทุกคนเตรียมพร้อมกันม๊ากกกก ตื่นเต้นสุดๆที่จะได้ออกเดินทาง backpack ในครั้งนี้

รอชั้นรอเธออยู่ ในที่สุดก็จะได้ไปเที่ยวกันแล้ววว รถไฟออกจากชานชาลาเวลา 22.20 น. ไปสุราษฎร์กันนนน

นั่งบนรถไฟสุดแสนจะเมื่อยกว่า 13 ชั่วโมงในที่สุดก็ถึงแล้ววว สุราษฎร์ธานี!!!!!!!!!!!!!! เราถึงสุราษฎร์ ช่วงเวลาประมาณ 10 โมง 
อมยิ้ม12อมยิ้ม12อมยิ้ม12อมยิ้ม12อมยิ้ม12

รอรถจากลุงที่โฮมสเตย์มารับแล้วขึ้นรถไปที่พัก พวกเรา 6 คนนั่งท้ายกระบะกันลมตีแรงมาก

พอถึงโฮมสเตย์ก็ได้กินลอดช่องน้ำกะทิที่ทำจากใบเตยสดๆ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง อร่อยมาก ก ไก่ล้านตัว

ไปดูศูนย์ฝึกลิงเพื่อการเกษตร ได้ดูลิงเก็บลูกมะพร้าวจากต้น ได้ดูลิงทะเลาะกันด้วย โคตรมันนึกว่าดูเวทีมวย

ไปอู่ต่อเรือช่างกบ ตำบลคลองน้อย ได้เจอลุงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของอู่ต่อเรือ เขาได้เล่าเรื่องราวต่างๆ วิธีการทำเรือ มูลค่าของเรือแต่ละลำ ส่วนประกอบของเรือ แต่ละเรือก็จะมีเวลาการทำแตกต่างกันแล้วแต่ขนาดความยาวและความกว้างแต่เฉลี่ยจะอยู่ที่ 15 - 20 วัน

ไปดูสวนลุงสงค์ ที่มีการทำร่วมกับชุมชนบางใบ้ไม้ แต่ปรากฎว่าทางสวนไม่ได้มีการสาธิตวิธีการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เราจึงได้แค่เพียงดูสินค้าและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ขายแล้วเท่านั้น 

แวะร้านกาแฟที่ TOODAY CAFE ไปนั่งดื่มกาแฟคล้ายร้อนเพราะข้างนอกร้อนมาก

กลับมาทำอาหารกับคุณลุงและคุณป้า เราและทางคุณลุงคุณป้าได้ทำ ผัดสตอทะเล ขั่วกลิ้งหมู 
ปลาทอดราดพริก และขนมหวานที่คล้ายกับบ้าบิ่นที่ทำมาจากมะพร้าว อร่อยมากกก

นอนแล้วตื่นเช้ามาวันที่ 2 ในคลองน้อย เราได้เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเพื่อขึ้นรถตู้ไปต่อยังเขี่อนเชี่ยวหลาน ได้มีการแฉะ 1 รูปภาพสำหรับการลงเพจที่             “โฮมสเตย์คลองน้อย” ไปเที่ยวกันได้นะครับ อบอุ่นและสนุกมากๆ หลังจากนั้นพวกเรานั่งรถกระบะของลุงโฮมสเตย์เพื่อไปสถานีขนส่ง

 -       มาถึงที่ขนส่งเวลาประมาน 7.30 น. เพื่อเตรียมตัวนั่งรถตู้ไปเขื่อนเชี่ยวหลาน รอบรถรอบแรกที่จะไป ออกเวลา 8.30 แต่เหลือที่นั่งแค่ 3 คน แต่พวกเรามีกัน6คน เลยเปลี่ยนไปรอบ 10.00น ระหว่างนั้นก็หาอะไรทำ โดยการไปหาร้านกาแฟแถวขนส่งนั่งรอเวลา

ที่รอเวลาขึ้นรถประมาน 2 ชั่วโมง รวมเวลาที่นั่งถึงเชี่ยวหลานอีกเกือบ 2 ชั่วโมง

พอมาถึงเขื่อนก็มีพี่ที่แพที่เราจองเอาไว้นำทางไปจ่ายค่าเข้าพร้อมกับขึ้นเรือไปที่แพ

ระหว่างทางพี่คนขับเรือก็แวะจุดถ่ายรูปให้พวกเราได้หามุมและแสงสวยๆถ่ายรูปกัน

ถึงแพที่พักก็กินอาหารกลางวัน โดยอาหารบนแพจะเป็นบุฟเฟ่ตลอดทุกมื้อ ว้าววววววว

หลังจากกินเสร็จก็มีเวลาพักเล่นน้ำ post ท่าเท่ๆกันซัก 1 แมต 5555555555

จากนั้นตอน 5 โมงก็ออกไปดู กุ้ยหลินเมืองไทย และดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

หลังจากดูพระอาทิตย์ตกก็กลับแพที่พักกินข้าวเย็นซึ่งเป็นบุฟเฟ่เหมือนมื้อกลางวัน และหลังจากกินเสร็จก็ถึงเวลาพักผ่อน

เช้าวันถัดมานัด 6.30น. พวกเราก็มีนัดกับคนขับเรือออกมานั่งเรือดูหมอกพระอาทิตย์ขึ้นรวมถึงสัตว์ที่ยังหลงเหลือในเขื่อน(แล้วแต่โอกาสว่าจะเจอมั้ย ซึ่งพวกเราเจอชะนี แต่ไม่เจอช้างและกระทิง)  

หลังจากนั้นก็กลับที่พักมาอาบน้ำกินข้าวและเตรียมตัวกลับเข้าฝั่ง

ถึง 10.00 น. ขึ้นเรือเพื่อกลับขึ้นฝั่ง

เมื่อพวกเรารับประทานอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดไว้ให้เสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวนั่งเรือกลับเข้าฝั่งกัน
 
เมื่อถึงฝั่งแล้วพวกเราก็จะนั่งรถตู้เพื่อเดินทางไปเซนทรัลสุราษธาณีเพื่อรอเวลาที่จะไปเดินตลาดศาลเจ้ากัน
 
พวกเราได้นั้งกะป้อเดดินทางไปยังตลาดศาลเจ้า ระหว่างทางไปพวกเราก็ได้ชมวิวภายในตัวเมืองสุราษธานีไปด้วย

และสถานที่สุดท้ายที่เราจะแวะก่อนกลับกรุงเทพก็ก็คือตลาดศาลเจ้า ตลาดแห่งนี้เป็นอีกตลาดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองสุราษฎร์ธานี เน้นขายของกินเป็นหลัก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่แนะนำให้มาเลยมามาจังหวัดสุราษธานี  ในตลาดก็จะมีอาหารท้องถิ่งขายอยู่ อาหารบางอย่างพวกเราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยชิมมาก่อน เป็นสถานที่ที่ได้รับประทานอะไรใหม่ ๆ เต็มมไปหมด
 
อาหารท้องถิ่งที่พวกเราได้ลองทานอย่างแรกก็จะเป็นผัดไทป้าหนุ้ย เป็นร้านที่หลาย ๆ คนแนะนำให้ไปลองทานมากๆ ซึ่งผัดไทยของร้านนี้จะเป็นผัดไทท่าฉางเป็นผัดไทแบบโบราณของทางภาคใต้ รสชาติจะแตกต่างจากผัดไทยที่เราเคยกินกันมา รสชาติจะออกหวาน กลมกล่อมสุด ๆ

ต่อไปก็จะเป็นร้านป้าลักษณ์ เนื้อปลาทอดมันย่าง ร้านอยู่ใกล้ๆตรงทางเข้าวัดไทร เป็นคุณลุงกับคุณป้าขายกัน 2 คน รสชาติดีมาก หอมกลิ่นสมุนไพร แถมราคาไม่แพงอีกด้วย

และอย่างสุดท้ายก็คือร้านขนมครกสูตรโบราณ ตัวขนมจะไม่มีไส้ และให้กินกับน้ำตาล รสชาติจะออกไปทางจืด ๆ มีแต่กะทิต้องกินควบคู่กับน้ำตาลรสชาติจะกำลังโอเค

พอพวกเราเดินเล่นที่ตลาดศาลเจ้าเสร็จก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปยังสถานีรถไฟเพื่อกลับกรุงเทพกัน
พอถึง  3 ทุ่ม ก็เป็นเวลาที่รถไฟเริ่มออกเดินทางไปกรุงเทพเป็นอันจบทริป 4  วัน 3 คืน เรียบร้อย

สรุปค่าใช้จ่ายที่โดนไปสำหรับทริปนี้ (5 วัน 4 คืน)
 
วันที่ 3 เมษายน
ต่ารถไปขาไป 604 บาท
ค่าที่พักโฮมสเตย์คลองน้อย 450 บาท
ศูนย์ฝักลิง 50 บาท
อู่กรมต่อเรือ 50 บาท
เหมาเรือ 167 บาท
ค่ารถประมาณ 120 บาท
 
วันที่ 4 เมษายน
ค่ารถไปตัวเมือง 50 บาท
ค่ารถตู้ไปเขื่อนเชี่ยวหลาน 100 บาท
ค่าทริปที่เขื่อน 1900 บาท
 
วันที่ 5 เมษายน
เหมารถตู้กลับตัวเมือง 100 บาท
ค่ารถไฟขากลับ 604 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 500 บาท
 
สรุปยอดทั้งหมด 4700 บาท จะเห็นได้ว่าค่าเที่ยวไม่แพงเลยแต่ไปบวมค่าเดินทางถ้าเพื่อนๆมี วิธีการเดินทางที่ถูกกว่านี้ก็จะเป็นทริปที่ไม่แพงมากก แต่ด้วยราคานี้กับประสบการณ์ที่ได้ถือว่าคุ้มค่ากับชีวิตคนๆนึงมากๆอมยิ้ม38อมยิ้ม38อมยิ้ม38อมยิ้ม38อมยิ้ม38
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่