JJNY : 5in1 เศรษฐามั่นใจกระแสเพื่อไทย│พิธาลุยหาเสียงกทม│คนเลี้ยงโอด'หมู'ราคาร่วง│ดีลซื้อห้างพุ่ง│กลุ่มแวกเนอร์ถูกขู่

เศรษฐา มั่นใจกระแส เพื่อไทย แรงกว่า ก้าวไกล สวน ‘อนุทิน’ ทุกพรรคจองกันหมด
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7655947
 
 
เศรษฐา มั่นใจกระแสเพื่อไทย แรงกว่า ก้าวไกล โนคอมเมนต์ ‘แม้ว’ อยากกลับไทย ชี้ไม่เกี่ยวกับพรรค สวนกลับ ‘อนุทิน’ เห็นจองกระทรวงกันทุกพรรค
 
วันที่ 10 พ.ค.2566 ที่ จ.เชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่จ.เชียงใหม่ ช่วงโค้งสุดท้ายว่า เราแข่งขันดุเดือดทุกพื้นที่ แต่เรามั่นใจว่าบ้านของเราตรงนี้ เราจะยกทั้งจังหวัด เมื่อถามว่าพื้นที่เมือง พรรคก้าวไกลพยายามจะตี นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรคก้าวไกล มีหลายพรรค วันนี้เราจึงมาให้ความสำคัญด้วยการยกทีมใหญ่มา
 
เมื่อถามว่ากังวลถึงกระแสของพรรคก้าวไกลที่มาแรงช่วงนี้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทย จะเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงส่วนมากอยู่

เมื่อถามถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทวีตข้อความจะกลับประเทศไทยในเดือนก.ค. โดยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะมีผลต่อคะแนนเสียงของพรรคหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “ท่านเป็นคุณพ่อ คุณตา และเป็นคุณปู่ ตรงนี้ก็น่าเห็นใจ เพราะท่านพูดมาว่า 17 ปีไม่ได้กลับบ้าน และอายุท่านก็มาก ท่านอยากจะกลับมา แต่ท่านพูดชัดเจนคือ การกลับเข้ามาตามกระบวนการยุติธรรม และไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย เหนือสิ่งอื่นใดการที่ท่านประกาศจะกลับช่วงเดือน ก.ค. ก็เป็นช่วงที่รัฐบาลปัจจุบันยังรักษาการอยู่ ฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย ส่วนจะส่งผลเป็นแรงบวกหรือแรงลบ ประชาชนต้องตัดสินเอง ผมพูดในฐานะแคนดิเดตนายกฯ และคนเป็นพ่อว่าเห็นใจท่าน
 
เมื่อถามว่าจากเนื้อหาการทวีตประเมินหรือไม่จะเป็นผลบวกหรือผลลบต่อการเลือกตั้ง นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มีการประเมิน เมื่อถามย้ำว่ามีคนออกมาตั้งขอสังเกตว่าเป็นการเรียกคะแนนให้พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีความเห็นตรงนี้
 
เมื่อถามถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงคนที่ออกมาพูดจะยึดกระทรวงคมนาคม ไม่ยกให้ใคร เป็นเรื่องไม่เหมาะสมเพราะยังไม่มีการเลือกตั้ง ยังไม่รู้ว่าใครจะได้ส.ส.เท่าไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตรงนี้ตนต้องขอความเป็นธรรม เพราะหลายพรรคก็พูดว่าถ้าเป็นรัฐบาลจะเอากระทรวงใด กระทรวงคมนาคมก็เป็นกระทรวงหลัก และที่ตนไปพูดก็พูดกับสหกรณ์รถแท็กซี่ที่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคมโดยตรง
 
และถือเป็นหนึ่งในกระทรวงเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทย มีความชำนาญในการบริหารอยู่แล้ว ตนไม่ได้ประกาศว่าจะยึด แต่มีคำถามมาว่าหากได้เป็นรัฐบาลก็อย่าไปยกกระทรวงนี้ให้คนอื่น ตนก็ตอบว่าใช่ ไม่ได้เป็นการไม่ให้เกียรติประชาชน แต่ต้องไปดูทั้งหมดว่ามีบทสนทนาออกมาเช่นนั้น มีความเป็นมาอย่างไร ต้องขอความเป็นธรรม ตนไม่ได้ตั้งใจล่วงอำนาจประชาชน แน่นอนว่าต้องเลือกตั้งมาก่อน และต้องมีการประกาศผลจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เป็นขั้นเป็นตอนอยู่แล้ว
 
เมื่อถามว่านายอนุทิน ระบุด้วยว่าคนที่ออกมาพูดไม่ได้มีอำนาจจริง นายเศรษฐา มีอำนาจมากน้อยแค่ไหน นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนมีความเข้าใจในการเมืองดี ว่า จริงๆ แล้วพื้นฐานของการเล่นการเมือง เราเข้ามาทำเพื่อประชาชน คนที่มีอำนาจจริงๆ คือประชาชน ตนไม่ปฏิเสธว่าตนไม่มีอำนาจจริง เพราะคนที่มีอำนาจจริงคือประชาชน
 


พิธา ลุยหาเสียงกทม. ไม่หวั่นปมถือหุ้นสื่อ ชี้คนร้องหวังดิสเครดิต
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7656127

พิธา นำทัพหาเสียง กทม. ไม่หวั่นปมถือหุ้นสื่อ ชี้คนร้องหวังดิสเครดิตการเมือง ลดทอนความเชื่อมั่นช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ขอประชาชนอย่ากังวล
 
วันที่ 10 พ.ค. 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ช่วยผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล หาเสียงในหลายพื้นที่ ช่วงเช้าไปที่ตลาดฝั่งโขง ช่วยนายเอกราช อุดมอำนวย ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 10 (เขตดอนเมือง) ต่อด้วยลงพื้นที่ตลาดเอซี ช่วยนายศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ทนายแจม ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 11 (เขตสายไหม) ที่ตลาดเอซี จากนั้นไปที่ตลาดถนอมมิตร ช่วยนายภูริวรรธก์ ใจสำราญ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 12 (เขตบางเขน เขตสายไหม เขตลาดพร้าว) โดยทุกตลาดมีประชาชนให้การตอบรับอย่างคึกคัก ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบกรณีถือหุ้นสื่อ มีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) นายพิธา กล่าวว่า ในทางกฎหมาย ไม่มีอะไรต้องกังวล เราประเมินไว้ก่อนแล้วว่าในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งจะมีการนำเรื่องนี้มาดิสเครดิตหวังผลทางการเมือง เพื่อลดทอนความเชื่อมั่นต่อตนและพรรคก้าวไกล นี่คือเจตนาที่แท้จริงของผู้ร้อง มากกว่าการหวังผลทางกฎหมาย ดังนั้น ขอให้ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลไม่ต้องเป็นกังวล เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของตน แต่คือเรื่องของทุกคนที่อยากเห็นประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง
 


คนเลี้ยงโอด 'หมู' ราคาร่วงแรง หน้าฟาร์มเหลือ ก.ก.ละ 70 ขาดทุนยับ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7656265

คนเลี้ยงโอด ‘หมู’ ราคาร่วงแรง หน้าฟาร์มเหลือ ก.ก.ละ 70 ขาดทุนกันยับ ซ้ำอาหารขึ้นราคา เชื่อเหตุหมูเถื่อนทำกระทบตลาด จี้รัฐช่วยหาทางแก้
 
วันที่ 10 พ.ค.2566 ที่กลุ่มวิสาหกิจหมูหลุมบ้านหนองสองพี่น้อง หมู่ที่ 5 ตำบลหนองช้างแล่น อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง นายประพันธ์ วิมลเมือง ประธานกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเดือดร้อนหนัก ทั้งจากราคาอาหารหมู เบอร์ 3 สำหรับหมูขุน น้ำหนัก 70-90 กก. ที่มีราคากระสอบละ 580 บาท จากเมื่อ 4 เดือนก่อนราคาแค่กระสอบละ 545 บาท ส่วนอาหารหมูอนุบาลราคาขึ้นเป็นกระสอบละ 800 บาท จากที่ก่อนหน้านี้กระสอบละ 680 บาท ซึ่งอาหารหมูยังแพงขึ้นต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะลดลงมา
 
หากขายหน้าฟาร์มตอนนี้ กก.ละประมาณ 70 บาท ก็จะขายได้ตัวละประมาณ 7,000 บาท เมื่อหักต้นทุนค่าลูกหมู ค่าอาหาร จะเหลือเงินต่อตัวประมาณ  300 บาท แต่หากนำไปหักค่าแรง ค่าน้ำ ค่าไฟ ด้วย ก็เท่ากับขาดทุน ถ้าไม่ปรับวิธีการเลี้ยง
 
ตนต้องต่อยอดเอาวัสดุรองพื้น พร้อมมูลหมู ไปทำปุ๋ยอินทรีย์ขาย ทำดินพร้อมปลูกขาย จึงทำให้ยังพออยู่ได้ แต่ขณะที่ผู้เลี้ยงหมู ทั้งรายเล็ก รายใหญ่  หากยังเลี้ยงเหมือนการเลี้ยงทั่วไป คือ เลี้ยงหมูขายเพื่อเอากำไรอย่างเดียว จะประสบภาวะขาดทุนทั้งหมด นอกจากราคาหมูขายหน้าฟาร์มจะขยับขึ้นเป็น ก.ก.ละ 85 บาท จึงจะอยู่ได้ แต่หากต่ำกว่า ก.ก.ละ 85 บาท จะขาดทุนทันที จนตอนนี้ผู้เลี้ยงหมูหลายรายในกลุ่มของตน ต่างประสบภาวะขาดทุนในการเลี้ยงครั้งละ 3-4 แสนบาท หลายรายเริ่มท้อ ไม่มีทุนเลี้ยงต่อ ต้องหยุดเลี้ยงชั่วคราว
 
ทั้งนี้ ราคาหมูตกต่ำลงมาต่อเนื่องติดต่อกันประมาณ 2-3 เดือนมาแล้ว ราคาลดลงชนิดเกษตรกรตั้งตัวไม่ติด โดยราคาจะลดลงทุกๆ วันพระ วันพระละ 5-7 บาท จนตอนนี้มาอยู่ที่ก.ก.ละ 71-72 บาท ซึ่งสาเหตุส่วนตัวคิดว่าเกิดจากการลักลอบนำเข้า ทำให้ผู้เลี้ยงในประเทศขาดทุนตัวละกว่า 2,000 บาท
จึงอยากให้รัฐเร่งแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน และแก้ปัญหาด้านต้นทุน เพราะราคาอาหารหมูที่ยังแพงขึ้นต่อเนื่อง สวนทางราคาหมูหน้าฟาร์ม ไม่เช่นนั้นคนเลี้ยงคงหายไปจากระบบหมด ตอนนี้ต้องบวกเรื่องค่าไฟที่แพงขึ้นอีกด้วย ก็กลายเป็นต้นที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับเกษตรกร
 


ดีลซื้อห้างพุ่ง 1.2 แสนล้าน ปีนี้จ่อขายอีกเพียบ ‘โบ๊เบ๊ทาวเวอร์รังสิต’ ปิดยาว เซ่นพิษโควิด
https://www.matichon.co.th/economy/news_3970895

ดีลซื้อห้างพุ่ง 1.2 แสนล้าน ปีนี้จ่อขายอีกเพียบ ‘โบ๊เบ๊ทาวเวอร์รังสิต’ ปิดยาว เซ่นพิษโควิด
 
สำรวจศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์หลังโควิด ‘คอลลิเออร์ส’ ระบุเจ้าของตัดใจขายกิจการเพียบ เผยสถิติ 15 ปี มีซื้อขายเปลี่ยนมือ 25 แห่ง มูลค่าเฉียด 1.2 แสนล้าน คาดปี’66 ปิดดีล 5 พันล้านย่านเชียงใหม่ สะพัดมีห้างดังจ่อขายอีก ด้าน ’โบ๊เบ๊ทาวเวอร์รังสิต’ ปิดบริการยาว
 
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจพาณิชยกรรมให้เช่าประเภทศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง จากการประกาศปิดพื้นที่ ส่งผลให้ผู้เช่าจำนวนมากยกเลิกสัญญาการเช่าก่อนระยะกำหนด ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญต่อผู้พัฒนาในเรื่องของสภาพคล่อง โดยพบว่าผู้พัฒนาหลายรายตัดสินใจยุติการดำเนินกิจการและนำโครงการประกาศขาย
นายภัทรชัยกล่าว่า ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่าในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีโครงการพาณิชยกรรมในประเทศไทยซื้อขายเปลี่ยนมือประมาณ 25 แห่ง ด้วยมูลค่ารวมกว่า 115,565 ล้านบาท

โดยพบว่าศูนย์การค้าและโครงการคอมมูนิตี้ มอลล์ หลายแห่งมีการซื้อขายเปลี่ยนมือไป ซึ่งมีบางโครงการผู้ซื้อนำมาดำเนินกิจการต่อ และบางโครงการมีการเปลี่ยนรูปแบบการบริการไป หรือบางโครงการมีการซื้อขายเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่ง ณ ไตรมาสแรกของปี 2566 มีศูนย์การค้าหลายแห่งทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น เชียงใหม่ เป็นต้น มีการประกาศขายโครงการและมีผู้พัฒนารายใหญ่ให้ความสนใจเข้าซื้อ
 
หลังภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อัตราการเช่าเฉลี่ยและค่าเช่าเฉลี่ยโดยภาพรวมปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ ทำให้ปริมาณทราฟฟิคของกลุ่มธุรกิจพาณิชยกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัด ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี2566 นี้ อาจมีการซื้อขายเปลี่ยนมือโครงการพาณิชยกรรมให้เช่า ด้วยมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เชียงใหม่”นายภัทรชัยกล่าว
 
แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก กล่าวว่า หลังเกิดวิกฤตในปี 2540 ทำให้ศูนย์การค้าเก่าแก่หลายแห่งต้องประสบปัญหาด้านการเงินและต้องปิดกิจการไป อย่างเช่นเมอร์รี่คิงส์ที่ปัจจุบันปิดกิจการ มีการเปลี่ยนมือ และแปลงโฉมเป็นโครงการอื่น นอกจากนี้ยังมีศูนย์การค้าแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนบุรีในช่วงที่ผ่านมาได้มีการประกาศขายอย่างเงียบๆตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ทางบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างถนนวงเวียนใหญ่ เขตภาษีเจริญ (เมอร์รี่คิงส์เดิม) เนื้อที่กว่า 1 ไร่ เป็นอาคารสูง 7 ชั้น พื้นที่รวม 20,371 ตารางเมตร(ตร.ม.) ใกล้บีทีเอสสถานีวงเวียนใหญ่ และติดสายสีม่วงใต้กำลังก่อสร้าง ออกมาประกาศขายในราคา 550 ล้านบาท
 
ล่าสุดบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด(JLL) ประกาศขายโครงการ Neighbourhood Mall Plus Hotel ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมในอยุธยา เนื้อที่กว่า 11 ไร่ หรือ 18,416 ตร.ม. อยู่ ห่างจากตลาดน้ำอโยธยา 3.2 กิโลเมตร(กม.) และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ 5.5 กม. ในราคา 1,050 ล้านบาท

ทั้งนี้จากการสำรวจย่านรังสิตพบว่า โครงการโบ๊เบ๊ทาวเวอร์รังสิต ที่กลุ่มโบ๊เบ๊ได้เข้าซื้อกิจการศูนย์การค้าเมอร์รี่คิงส์รังสิตเดิมและนำมาปรับปรุงใหม่ เป็นอาคาร 10 ชั้น รวมใต้ดิน 2 ชั้น ด้วยวงเงิน 3,000 ล้านบาท โดยเปิดบริการเมื่อปี 2558 ขณะนี้ได้ปิดบริการอย่างไม่มีกำหนดตั้งแต่โควิดระบาดรอบแรกเมื่อต้นปี 2563 หรือกว่า 3 ปีแล้ว จากการสอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยโครงการให้ข้อมูลว่าทางศูนย์การค้ายังไม่มีแผนจะกลับมาเปิดให้บริการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่