หลายคนที่เคยค้าขาย โดยเฉพาะขายหน้าร้าน น่าจะเคยโดนกันทั่วหรือเปล่า เรื่อง ลูกค้าเป็นพวกไร้มารยาท และ สามัญสำนึกที่ดีอ่ะนะ
ลูกค้าจำนวนมาก เหมือนคนขาดการศึกษา ขาดการอบรมเรื่องสามัญสำนึก แม้ว่าจะมีวุฒิการศึกาาภาคบังคับกันแล้วอ่ะนะ
-คิดว่า มีเงินนิดหน่อย พอซื้อสินค้าแล้ว ฉันคือ คนรวย ฉันคือพระเจ้า ต้องอยู่ในสถานะข้ารับใช้ฉัน
-เข้าร้าน สั่งร้าน สั่งลูกจ้าง เจ้าของร้าน เสียงแข็งเหมือน ตลอดที่ผ่านมา เคยมีบุญคุณตั้งแต่ชาติปางก่อน
-บังคับร้านค้า ต้องมีคุณธรรม ลดราคาให้ตามต้องการ แจกสินค้าให้จนกว่าจะพอใจ คุณธรรมสำคัญสุด โดยเฉพาะคุณธรรมเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
-มีเงินในกระเป๋าน้อยนิด แต่คิดว่า ตัวเองรวยล้นฟ้า มีเงิน 100 แต่คิดว่ารวยกว่าร้านค้า
ประสบการณ์หลายสิบปี ที่ค้าขายมา คิดว่า พ่อค้าแม่ค้า หลายๆคนน่าจะเจอ พฤติกรรมอันน่าเบื่อหน่าย ของพวก "ลูกค้าคือพระเจ้า"
พวกนี้ ตรรกะวิบัติมากไปไหม หรือเพราะ พวกนี้ ขาดความรู้จากการที่ ไม่มีการสอนในระบบการศึกษาบ้านเรา ไม่มีกฏ ไม่มีเงื่อนไข ลามไปถึงการไม่มีมารยาท ในการซื้อขายสินค้า
ระบบค้าขายสินค้า ความเป็นจริง "ไม่ได้อิงตามระบบคุณธรรม"
ระบบค้าขายสินค้า ความเป็นจริง "ต้องอิงตามระบบยุติธรรม"
ระบบคุณธรรม ไม่ได้อิงตามหลักความเท่าเทียม เสมอภาค แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม และ "ไม่ใช่ความดี"
คุณธรรม คือ การอ้างเหตุผล เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ โดยลบล้างความยุติธรรมเสีย โดยอ้างนู่นนี่นั่นให้ได้มา โดยเฉพาะ การอ้าง "น้ำใจ"
"น้ำใจ" นั้น ใช้ไม่ได้กับระบบ ยุติธรรม หรือถ้าให้กล่าวให้เห็นชัดเจน ยุติธรรม คือ การแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม คุณแลกเปลี่ยน "มูลค่า" ที่เท่าเทียมกัน นั่นคือ ยุติธรรม คุณฆ่าคน คุณต้องถูกฆ่าเพื่อชดใช้ นั่นคือ ยุติธรรมอย่างที่สุด
แต่ระบบ คุณธรรม ต่างไป คุณฆ่าคน คุณอ้างนู่นนี่นั่น ความดีที่ไม่มีจริง แล้วพ้นผิด นี่คือ คุณธรรม
เช่นกัน
ในระบบยุติธรรม คุณต้องการสินค้า 1000 ชิ้น คุณต้องแลกด้วย เงินเทียบเท่า มูลค่าสินค้า 1000 ชิ้น เช่นกัน นี่คือหลักการค้าขายที่ยุติธรรม
ในระบบคุณธรรม คุณต้องการสินค้า 1000 ชิ้น คุณไม่อยากเสียเงินถึง 1000 ชิ้น คุณต้องหาข้ออ้างมาเพื่อต่อรอง หรือบังคับ นี่ทำให้ความยุติธรรมมันเริ่มหายไป
หลักการค้าขาย อย่างยุติธรรม มันเริ่มหายไป เมื่อคนที่เห็นว่า ฉันอยากได้มากขึ้น ฉันได้ไม่พอ ฉันอ้างแบบหน้าด้านๆได้ ว่าฉันไม่รู้ ฉันไม่ผิด
เมื่อทำเกิน 3 ครั้ง กลายเป็นความย่ามใจ เพราะไม่มีใครบัญญัติกฏไกด์ไลน์ไว้ ให้ยึดถือ ไม่มีการให้การศึกษา อย่างทั่วถึง ให้เป็ยอบบอย่างไว้ให้อ้างอิง คนเลวๆ จำนวนมาก จึงทำตัว "หน้าด้าน" ในการลบระบบยุติธรรม ให้หายไป เพื่อที่ตัวเอง จะได้ "เอาเปรียบ" ได้สะดวก
เคยได้ยินคำว่า "น้ำใจ 3 ครั้ง กลายเป็นหน้าที่ไหม"
เมื่อขอน้ำใจได้ 3 ครั้ง มันจะบังคับขอได้ตลอดไป โดยใช้เหตุผลหน้าด้านๆว่า "เมื่อก่อนเคยได้น้ำใจ"
สำหรับคนดี น้ำใจคือ สิ่งที่ทำให้ด้วยเมตตา คือ การให้ทาน
สำหรับคนชั่ว น้ำใจคือ ผลประโยชน์นอกเหนือที่ควรได้รับเสมอ
พวกคนชั่ว จริงๆไม่ได้โง่ แต่แกล้งโง่ เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ เพราะเคยได้รับน้ำใจ จากการบังคับ จากการเรียกร้องอยู่ตลอด
สิ่งที่พวกนี้ เรียนรู้จะทำต่อไป คือ "การไร้มารยาท" เพื่อทำตัวเป็นคนโง่ คนไม่รู้ เพราะจะอ้างได้ว่า "คนไม่รู้ไม่ผิด" เป็นเกราะป้องกันตัว และเป็นเครื่องมือ ในการบีบบังคับเอาผลประโยชน์ต่อไป
สิ่งที่คนค้าขายมักเจอ คือ
-คนลูกค้า ไร้มารยาท ในการจับจ่ายซื้อของ เพื่อที่เตรียมที่จะ ใช้ "คุณธรรม"ทำลาย"ยุติธรรม"
-พยายามสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติม เพื่อหาผลประโยชน์ การพยายามสร้างเงื่อนไข คืนสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทำลายสินค้า แอบสับเปลี่ยน หรือทำลายสินค้า เพื่อให้สินค้า มีมูลค่าลดลงจากการถูกทำให้เสียหาย
พ่อค้า/แม่ค้าผลไม้ ปลาทู ทำไมถึงดุ ??
-เพราะมีพวก คอยมาบีบ ให้ผลไม้ ปลาทู มีรอย ยุบ บุบ เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่ซื้อ แล้วตัวเองจะได้กลับมาต่อราคาทีหลัง เมื่อเวลาใกล้เก็บร้าน จากสินค้าราคามีราคาทุน 50 บาท อาจถูกต่อให้ขาดทุน เหลือ 40 บาท
พ่อค้า/แม่ค้า เสื้อผ้า รองเท้า มักขาดทุนเจ๊งกันตลอด ??
-เพราะมักถูกวางเงื่อนไข ให้ "รับเปลี่ยน/คืนสินค้า" อยู่ตลอด เนื่องจากกำไรสินค้าพวกนี้ ไม่ได้มีมาก กำไรจาก 4 ชิ้น อาจเท่ากับต้นทุน 1 ชิ้นที่นำมาขาย การวางเงื่อนไข "รับเปลี่ยน/คืนสินค้า" เป็นโอกาส ให้คนชั่ว หน้าด้าน เอาสินค้าไปใช้แล้ว คืนสินค้า ไม่ต่างกับ "การยืมของใหม่ไปใช้ฟรีๆ"
โดยอ้างว่า ไม่ได้ใช้ ใช้ไม่ได้
เสื้อผ้า ถูกใส่ไปเที่ยวแล้ว รองเท้า ถูกใส่ไปเดินแล้ว
แม้ถูกบังคับคืน สินค้าพวกนี้ จะถูกตีไปเป็นสินค้ามือสอง ทันที การทำกำไร นั้น เป็นไปไม่ได้อีก เพราะสินค้าจะมีตำหนิ จากการใช้งาน แม่จะเป็นครั้งแรกครรั้งเดียว
แน่นอน ว่า ในทางกฏหมาย การซื้อขาย คือ การให้สัญญาต่อกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันประกอบไปด้วยสัญญา 2 ส่วน คือ สัญญาพื้นฐาน และสัญญาเพิ่มเติม
ในสัญญาพื้นฐาน คือ การรับจ่ายแลกเปลี่ยน และ จบสัญญาเมื่อแลกเปลี่ยน เมื่อทันทีที่มีการชำระค่าสินค้านั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินตราหรือสิ่งของ
ดังนั้น ตามกฏหมาย สัญญาซื้อขายพื้นฐาน ผู้ซื้อ มีหน้าที่ในการตรวจสอบ ให้ "แน่ใจ" ก่อนการแลกเปลี่ยน จบสัญญาซื้อขาย นี่คือ ระบบสัญญาซื้อขายยุติธรรม ที่เหล่าคนชั่วทั้งหลาย พยายามให้พวกคุณ "ไม่รับรู้ความเป็นจริง" ว่าเป็นเช่นนี้
การซื้อขาย และความรับผิดชอบนั้น "จบลง" เมื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์นั้น "จบลง" แน่นอนว่า "ช่องทางหาผลประโยชน์นั้นจบลงด้วย" เช่นกัน ทำอย่างไร ที่จะตีช่อง ให้ได้ "แสวงหาผลประโยชน์" เพิ่มเติม
คำตอบคือ "สัญญาเพิ่มเติม" ที่เหล่าคนชั่ว ใช้เป็นช่อง ให้เปิดโอกาส ให้อีกฝ่าย เปิดช่องว่างให้หาผลประโยชน์ ในการล้วงเอา "ผลประโยชน์" นั้นมา เช่น การรับผิดชอบ รับเปลี่ยนคืนทุกรณี เต็มจำนวน
สัญญาเพิ่มเติมนี่เอง ที่เป็นตัวเปิดโอกาส ให้ได้หาผลประโยชน์ "หลากหลาย" ในการโกงเงินค่าสินค้านั้นๆ แบบ เสือนอนกิน
ยกตัวอย่าง
ห้างร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง ขายสินค้า ให้เจ้าของบ้าน เจ้าของบ้าน เอาสินค้าให้ผู้รับเหมา และผู้รับเหมา เอาสินค้าไปคืนร้าน เป็นกลโกงแบบ ABC
แน่นอนว่า ห้างร้านวัสดุก่อสร้างเอง ก็ไม่อยากเป็น "ผู้รับของโจร" ก็ต้องสร้างเงื่อนไข ไม่รับคืนสินค้า หรือ ไม่สร้างสัญญาเพิ่มเติม
แน่นอนว่า ผู้รับเหมาซึ่งเป็นมิจ ก็ต้องการคืนของ ก็ต้องหาทางบีบให้เจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นเจ้าของเงิน บังคับร้านสร้างสัญญาเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้สิทธิคืนสินค้า เพื่อจะได้เงินเพิ่ม
ดังที่ได้กล่าว อาชีพค้าขาย ไม่ใช่อาชีพที่ง่าย เป็นอาชีพที่เจอคนโลภ คนโกง คนเห็นแก่ได้ตลอดเวลา เสี่ยงที่จะโดนเลห์กลโง่ๆ ซ้ำๆซากๆ ตลอด โดยพวกนี้ ไม่เคยคิดว่า คนค้าขาย เขารู้ทันอยู่ตลอดเวลา
นั่นแหละ คนไม่รู้ ก็มั่นหน้า พยายามเอาเปรียบคนค้าขาย
นั่นแหละ คนที่รู้ ก็อยากได้ช่องทางไว้หาผลประโยชน์ด้วย
เนื่องด้วยประเทศไทย ไม่เคยมีการสอนถึง มารยาทการซื้อของ ซื้อสินค้า อบรม และบอกถึงหลักการ ของการซื้อขายที่ถูกต้อง สังคมเรา จึงเต็มไปด้วยคน ที่คอยเอารัดเอาเปรียบ คอยหาผลประโยชน์ เพราะไม่เคยมีใคร สั่งสอนว่า การทำแบบนั้น แบบนี้ เป็นทัศนคติที่ผิด
มีแต่ไม่สอน ไว้เพื่อที่ฉันจะได้หาโอกาสทำบ้างในวันข้างหน้า
คุณล่ะคิดว่ายังไง ควรให้เด็กๆ เจนเนอเรชั่นใหม่ๆ เป็นแบบคนรุ่นเก่าที่แย่ๆที่ผ่านมาหรือเปล่า???
วิชาที่อยากให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนมากที่สุดใคความคิด ตอนนี้ คือ วิชา มารยาทในการซื้อของ
ลูกค้าจำนวนมาก เหมือนคนขาดการศึกษา ขาดการอบรมเรื่องสามัญสำนึก แม้ว่าจะมีวุฒิการศึกาาภาคบังคับกันแล้วอ่ะนะ
-คิดว่า มีเงินนิดหน่อย พอซื้อสินค้าแล้ว ฉันคือ คนรวย ฉันคือพระเจ้า ต้องอยู่ในสถานะข้ารับใช้ฉัน
-เข้าร้าน สั่งร้าน สั่งลูกจ้าง เจ้าของร้าน เสียงแข็งเหมือน ตลอดที่ผ่านมา เคยมีบุญคุณตั้งแต่ชาติปางก่อน
-บังคับร้านค้า ต้องมีคุณธรรม ลดราคาให้ตามต้องการ แจกสินค้าให้จนกว่าจะพอใจ คุณธรรมสำคัญสุด โดยเฉพาะคุณธรรมเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
-มีเงินในกระเป๋าน้อยนิด แต่คิดว่า ตัวเองรวยล้นฟ้า มีเงิน 100 แต่คิดว่ารวยกว่าร้านค้า
ประสบการณ์หลายสิบปี ที่ค้าขายมา คิดว่า พ่อค้าแม่ค้า หลายๆคนน่าจะเจอ พฤติกรรมอันน่าเบื่อหน่าย ของพวก "ลูกค้าคือพระเจ้า"
พวกนี้ ตรรกะวิบัติมากไปไหม หรือเพราะ พวกนี้ ขาดความรู้จากการที่ ไม่มีการสอนในระบบการศึกษาบ้านเรา ไม่มีกฏ ไม่มีเงื่อนไข ลามไปถึงการไม่มีมารยาท ในการซื้อขายสินค้า
ระบบค้าขายสินค้า ความเป็นจริง "ไม่ได้อิงตามระบบคุณธรรม"
ระบบค้าขายสินค้า ความเป็นจริง "ต้องอิงตามระบบยุติธรรม"
ระบบคุณธรรม ไม่ได้อิงตามหลักความเท่าเทียม เสมอภาค แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม และ "ไม่ใช่ความดี"
คุณธรรม คือ การอ้างเหตุผล เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ โดยลบล้างความยุติธรรมเสีย โดยอ้างนู่นนี่นั่นให้ได้มา โดยเฉพาะ การอ้าง "น้ำใจ"
"น้ำใจ" นั้น ใช้ไม่ได้กับระบบ ยุติธรรม หรือถ้าให้กล่าวให้เห็นชัดเจน ยุติธรรม คือ การแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม คุณแลกเปลี่ยน "มูลค่า" ที่เท่าเทียมกัน นั่นคือ ยุติธรรม คุณฆ่าคน คุณต้องถูกฆ่าเพื่อชดใช้ นั่นคือ ยุติธรรมอย่างที่สุด
แต่ระบบ คุณธรรม ต่างไป คุณฆ่าคน คุณอ้างนู่นนี่นั่น ความดีที่ไม่มีจริง แล้วพ้นผิด นี่คือ คุณธรรม
เช่นกัน
ในระบบยุติธรรม คุณต้องการสินค้า 1000 ชิ้น คุณต้องแลกด้วย เงินเทียบเท่า มูลค่าสินค้า 1000 ชิ้น เช่นกัน นี่คือหลักการค้าขายที่ยุติธรรม
ในระบบคุณธรรม คุณต้องการสินค้า 1000 ชิ้น คุณไม่อยากเสียเงินถึง 1000 ชิ้น คุณต้องหาข้ออ้างมาเพื่อต่อรอง หรือบังคับ นี่ทำให้ความยุติธรรมมันเริ่มหายไป
หลักการค้าขาย อย่างยุติธรรม มันเริ่มหายไป เมื่อคนที่เห็นว่า ฉันอยากได้มากขึ้น ฉันได้ไม่พอ ฉันอ้างแบบหน้าด้านๆได้ ว่าฉันไม่รู้ ฉันไม่ผิด
เมื่อทำเกิน 3 ครั้ง กลายเป็นความย่ามใจ เพราะไม่มีใครบัญญัติกฏไกด์ไลน์ไว้ ให้ยึดถือ ไม่มีการให้การศึกษา อย่างทั่วถึง ให้เป็ยอบบอย่างไว้ให้อ้างอิง คนเลวๆ จำนวนมาก จึงทำตัว "หน้าด้าน" ในการลบระบบยุติธรรม ให้หายไป เพื่อที่ตัวเอง จะได้ "เอาเปรียบ" ได้สะดวก
เคยได้ยินคำว่า "น้ำใจ 3 ครั้ง กลายเป็นหน้าที่ไหม"
เมื่อขอน้ำใจได้ 3 ครั้ง มันจะบังคับขอได้ตลอดไป โดยใช้เหตุผลหน้าด้านๆว่า "เมื่อก่อนเคยได้น้ำใจ"
สำหรับคนดี น้ำใจคือ สิ่งที่ทำให้ด้วยเมตตา คือ การให้ทาน
สำหรับคนชั่ว น้ำใจคือ ผลประโยชน์นอกเหนือที่ควรได้รับเสมอ
พวกคนชั่ว จริงๆไม่ได้โง่ แต่แกล้งโง่ เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ เพราะเคยได้รับน้ำใจ จากการบังคับ จากการเรียกร้องอยู่ตลอด
สิ่งที่พวกนี้ เรียนรู้จะทำต่อไป คือ "การไร้มารยาท" เพื่อทำตัวเป็นคนโง่ คนไม่รู้ เพราะจะอ้างได้ว่า "คนไม่รู้ไม่ผิด" เป็นเกราะป้องกันตัว และเป็นเครื่องมือ ในการบีบบังคับเอาผลประโยชน์ต่อไป
สิ่งที่คนค้าขายมักเจอ คือ
-คนลูกค้า ไร้มารยาท ในการจับจ่ายซื้อของ เพื่อที่เตรียมที่จะ ใช้ "คุณธรรม"ทำลาย"ยุติธรรม"
-พยายามสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติม เพื่อหาผลประโยชน์ การพยายามสร้างเงื่อนไข คืนสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทำลายสินค้า แอบสับเปลี่ยน หรือทำลายสินค้า เพื่อให้สินค้า มีมูลค่าลดลงจากการถูกทำให้เสียหาย
พ่อค้า/แม่ค้าผลไม้ ปลาทู ทำไมถึงดุ ??
-เพราะมีพวก คอยมาบีบ ให้ผลไม้ ปลาทู มีรอย ยุบ บุบ เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่ซื้อ แล้วตัวเองจะได้กลับมาต่อราคาทีหลัง เมื่อเวลาใกล้เก็บร้าน จากสินค้าราคามีราคาทุน 50 บาท อาจถูกต่อให้ขาดทุน เหลือ 40 บาท
พ่อค้า/แม่ค้า เสื้อผ้า รองเท้า มักขาดทุนเจ๊งกันตลอด ??
-เพราะมักถูกวางเงื่อนไข ให้ "รับเปลี่ยน/คืนสินค้า" อยู่ตลอด เนื่องจากกำไรสินค้าพวกนี้ ไม่ได้มีมาก กำไรจาก 4 ชิ้น อาจเท่ากับต้นทุน 1 ชิ้นที่นำมาขาย การวางเงื่อนไข "รับเปลี่ยน/คืนสินค้า" เป็นโอกาส ให้คนชั่ว หน้าด้าน เอาสินค้าไปใช้แล้ว คืนสินค้า ไม่ต่างกับ "การยืมของใหม่ไปใช้ฟรีๆ"
โดยอ้างว่า ไม่ได้ใช้ ใช้ไม่ได้
เสื้อผ้า ถูกใส่ไปเที่ยวแล้ว รองเท้า ถูกใส่ไปเดินแล้ว
แม้ถูกบังคับคืน สินค้าพวกนี้ จะถูกตีไปเป็นสินค้ามือสอง ทันที การทำกำไร นั้น เป็นไปไม่ได้อีก เพราะสินค้าจะมีตำหนิ จากการใช้งาน แม่จะเป็นครั้งแรกครรั้งเดียว
แน่นอน ว่า ในทางกฏหมาย การซื้อขาย คือ การให้สัญญาต่อกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันประกอบไปด้วยสัญญา 2 ส่วน คือ สัญญาพื้นฐาน และสัญญาเพิ่มเติม
ในสัญญาพื้นฐาน คือ การรับจ่ายแลกเปลี่ยน และ จบสัญญาเมื่อแลกเปลี่ยน เมื่อทันทีที่มีการชำระค่าสินค้านั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินตราหรือสิ่งของ
ดังนั้น ตามกฏหมาย สัญญาซื้อขายพื้นฐาน ผู้ซื้อ มีหน้าที่ในการตรวจสอบ ให้ "แน่ใจ" ก่อนการแลกเปลี่ยน จบสัญญาซื้อขาย นี่คือ ระบบสัญญาซื้อขายยุติธรรม ที่เหล่าคนชั่วทั้งหลาย พยายามให้พวกคุณ "ไม่รับรู้ความเป็นจริง" ว่าเป็นเช่นนี้
การซื้อขาย และความรับผิดชอบนั้น "จบลง" เมื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์นั้น "จบลง" แน่นอนว่า "ช่องทางหาผลประโยชน์นั้นจบลงด้วย" เช่นกัน ทำอย่างไร ที่จะตีช่อง ให้ได้ "แสวงหาผลประโยชน์" เพิ่มเติม
คำตอบคือ "สัญญาเพิ่มเติม" ที่เหล่าคนชั่ว ใช้เป็นช่อง ให้เปิดโอกาส ให้อีกฝ่าย เปิดช่องว่างให้หาผลประโยชน์ ในการล้วงเอา "ผลประโยชน์" นั้นมา เช่น การรับผิดชอบ รับเปลี่ยนคืนทุกรณี เต็มจำนวน
สัญญาเพิ่มเติมนี่เอง ที่เป็นตัวเปิดโอกาส ให้ได้หาผลประโยชน์ "หลากหลาย" ในการโกงเงินค่าสินค้านั้นๆ แบบ เสือนอนกิน
ยกตัวอย่าง
ห้างร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง ขายสินค้า ให้เจ้าของบ้าน เจ้าของบ้าน เอาสินค้าให้ผู้รับเหมา และผู้รับเหมา เอาสินค้าไปคืนร้าน เป็นกลโกงแบบ ABC
แน่นอนว่า ห้างร้านวัสดุก่อสร้างเอง ก็ไม่อยากเป็น "ผู้รับของโจร" ก็ต้องสร้างเงื่อนไข ไม่รับคืนสินค้า หรือ ไม่สร้างสัญญาเพิ่มเติม
แน่นอนว่า ผู้รับเหมาซึ่งเป็นมิจ ก็ต้องการคืนของ ก็ต้องหาทางบีบให้เจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นเจ้าของเงิน บังคับร้านสร้างสัญญาเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้สิทธิคืนสินค้า เพื่อจะได้เงินเพิ่ม
ดังที่ได้กล่าว อาชีพค้าขาย ไม่ใช่อาชีพที่ง่าย เป็นอาชีพที่เจอคนโลภ คนโกง คนเห็นแก่ได้ตลอดเวลา เสี่ยงที่จะโดนเลห์กลโง่ๆ ซ้ำๆซากๆ ตลอด โดยพวกนี้ ไม่เคยคิดว่า คนค้าขาย เขารู้ทันอยู่ตลอดเวลา
นั่นแหละ คนไม่รู้ ก็มั่นหน้า พยายามเอาเปรียบคนค้าขาย
นั่นแหละ คนที่รู้ ก็อยากได้ช่องทางไว้หาผลประโยชน์ด้วย
เนื่องด้วยประเทศไทย ไม่เคยมีการสอนถึง มารยาทการซื้อของ ซื้อสินค้า อบรม และบอกถึงหลักการ ของการซื้อขายที่ถูกต้อง สังคมเรา จึงเต็มไปด้วยคน ที่คอยเอารัดเอาเปรียบ คอยหาผลประโยชน์ เพราะไม่เคยมีใคร สั่งสอนว่า การทำแบบนั้น แบบนี้ เป็นทัศนคติที่ผิด
มีแต่ไม่สอน ไว้เพื่อที่ฉันจะได้หาโอกาสทำบ้างในวันข้างหน้า
คุณล่ะคิดว่ายังไง ควรให้เด็กๆ เจนเนอเรชั่นใหม่ๆ เป็นแบบคนรุ่นเก่าที่แย่ๆที่ผ่านมาหรือเปล่า???