ผู้ชายที่ทำงานด้วยกันชอบเข้ามาถูกเนื้อต้องตัวเราโดยไม่จำเป็น !!

เราทำงานในบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่มีองค์กรค่อนข้างใหญ่พอสมควร จนไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในที่ทำงานค่ะ
เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนแรกที่เราเข้ามาทำงาน (ก.ย 2565) ผู้ชายคนนี้เวลาจะพูดคุยอะไรกับเรา ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องงานด้วยซ้ำ
เค้าจะชอบแตะตัวเราก่อน แตะไหล่ แตะบ่า แตะแขน แตะข้อมือ แตะกลางหลัง เริ่มจากแค่แตะๆก่อน
ตอนนั้นเราก็เอ๊ะๆ อยู่ ว่า "มันบ้าป่าววะ เป็นโรคพูดทีสะกิดที" จนมีเหตุการณ์ที่ออกไปทำงานนอกสถานที่กัน
อยู่ๆก็เดินมาลูบหัวเราจากข้างหลัง เรานั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น ซึ่งนั่งทำงานอยู่ เขาเดินมาจากไหนไม่รู้เลย
ก็มาลูบหัว 2 ที แล้วก็เดินไปเลย ไม่ทันได้ให้โต้ตอบอะไร ำครั้งแรกก็อ่ะ จบงานออกมาเราก็ไม่ได้พูดว่าหรือถามอะไร
แต่ในใจตอนนั้นคือ ไม่ชอบคนแบบนี้ละ .... จนมีอีกครั้งนึงซึ่งก็เป็นการทำงานนอกสถานที่เช่นเคย ทำแบบเดิมเด๊ะๆ
อันนี้เราไม่โอเคละ เราก็พูดว่า จะลูบหัวทำไม ? ซึ่งพอเขาได้ยินก็ทำเป็นหัวเราะละก็เดินหายไป
จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนจากแตะๆ เป็นจับเต็มมือ แล้วจะชอบเดินมาจากข้างหลังเสมอ
เช่น เดินมาจับที่ต้นแขนแต่จับเข้ามาจากท้องแขนหรือด้านในแขนเรา,เดินมาจับไหล่และเคยจับทั้ง 2 ไหล่ 
เคยเดินเข้ามาโอบไหล่จากครั้งหลังครั้งนึงแล้วเราแสดงท่าทีไม่พอใจมาก สะบัดออกไปพร้อมพูดว่า เฮ้ย ไม่ใช่ผู้ชายจะมาทำแบบนี้ไม่ได้
เขาพูดกลับมาว่า "ทำไมพี่จะโอบน้องรักพี่ไม่ได้" เราก็ตอบว่า "เออ ไม่ได้" ซึ่งเรามั่นใจว่า น้ำเสียงเราหนักแน่นและมีท่าทีรังเกียจ รำคาญอย่างชัดมากๆ
เราเริ่มรู้สึกว่า เจตนามันไม่ดีแล้ว ก็มีอยู่ครั้งนึง เราไม่ได้เอารถไปทำงาน เลยจะขอติดรถมอเตอร์ไซค์ไปลงแถวบีทีเอส ซึ่งตอนนั้นที่ขอติดรถไปลง ยังเป็นแค่แตะๆนะคะ เรายังไม่ได้แน่ใจในเจตนาเขาชัดๆ จนถึงตอนที่รถมอเตอร์ไซค์ติดไฟแดง เขาปล่อยมือจากแฮนด์แล้วเอนตัวมาพิงเราแบบสุด เราก็เอามือมากันหน้าอกเราตั้งแต่เริ่มเห็นว่าเขาจะเอนมา พอเอนมาสุดเราก็ผลักดันออกไป เขาก็แกล้งทำเป็นว่ามีเรื่องจะคุย เราเลยบอกว่า เฮ้ย อยู่ท่านั้นพูดก็ได้ยินไม่ต้องพิงมา จะตกรถแล้ว ซึ่งในเหตุการณ์นี้แหละที่เรามั่นใจแล้วว่า เขาไม่ใช่คนดี ซึ่งต่อจากนี้จะขอเรียกว่า มัน ค่ะ

หลังจากที่เราเริ่มมั่นใจในเเจตนา ทุกครั้งที่มันเข้ามาพูดคุยด้วยจะต้องโดนตัวเราเสมอ จับข้อมือบ้าง ดึงนิ้วก้อยเราเพื่อจะถามเรื่องงานขณะที่เราเดินผ่านโต๊ะทำงานของมัน จับแขน และเคยเอามือมาแตะที่กลางหลัง ลูบลงไปประมาณ1คืบ และทุกๆครั้งที่มันโดนตัวเราจะแสดงท่าทีโวยวายเสมอ 
เช่น จะคุยไรก็พูดเลยดิ จะจับเพื่อออออออออ ..... รวมทั้งสะบัดออก แต่ต้องเกริ่นก่อนว่า ที่เราพูดไม่แรงหรือไม่ได้ใช้คำที่มันฟังดูชัดกว่านี้เพราะว่า ในตอนนั้นเรายังอยากไว้หน้าอยู่ และยังคิดถึงทีมการทำงานอยู่ จึงแสดงออกแบบนั้นมาเสมอ และตัวมันเองก็น่าจะรู้ดี หลังๆก็เริ่มพูดกับเราไม่ดีบ้าง
กวนประสาทบ้าง แต่ก็เป็นแบบทีเล่นทีจริง เป็นๆหายๆอยู่แบบนี้ และเหตุการณ์สุดท้ายที่เราไม่ทนแล้ว (สำหรับตัวเราเอง) คือ เราออกไปกินข้าวพักกลางวันกันเป็นทีมค่ะ และมันจะชอบมานั่งเบียด เบียดมากๆ ทั้งที่มันนั่งติดประตู เรานั่งตรงกลาง อีกประตูข้างนึงก็เป็นรุ่นน้องที่มาฝึกงาน
ฝั่งของมันว่างจนวางขาได้อีกข้างนึงอ่ะ แต่ก็เบียดแล้วทิ้งตัวใส่เราสุดตัวเลย เบียดไหล่เบียดขา เราก็ด่าไปว่า "จะเหลือที่ให้ใครนั่งวะ นี่หลบจนไม่มีที่จะหลบละ จะนั่งเบียดเพื่อออ เป็นโรคหรอ? เหยิบออกไป" มันก็เอามือมาจับที่ต้นขาเราแล้วพูดว่า "แหม เบียดแค่นี้ เบียดไม่ได้หรอไอน้องรัก" เราก็ตอบไปว่า "เออไม่ได้ รำคาญ ไม่ชอบ" มันก็เขยิบออกไปแต่นิดเดียวนะคะ แค่นิดเดียวจริงๆ หลังจากนั้นเราก็ไม่ไปกินข้าวกับทีมอีกเลยถ้ามีมันไปด้วย

อ่านถึงตรงนี้อาจจะเริ่มสงสัยว่า คนอื่นไม่สังเกตุบ้างหรอ ? 
- ไม่มีจริงๆค่ะ ไม่มีคนสังเกตุเลย จนมีวันที่เราได้พูดคุยกับคนอื่น

หลังจากที่มันไม่ค่อยเข้ามาใกล้เราแล้ว ตัวละครที่ 3 ที่เป็นตัวจุดประกายไฟให้เราต้องทำอะไรสักอย่างก็เกิดขึ้นมา
ซึ่งก็คือ รุ่นน้องที่มาฝึกงาน .... มันเริ่มไปจับ เข้าไปใกล้ โน้มหน้าลงไปคุยในท่าทางไม่เหมาะสม
จนมีอยู่วันนึง น้องคนนี้ใส่กระโปรงมา ก็ยืนคุยกับเราอยู่ปกติ แต่มันเดินอ้อมหลังทุกคน เพื่อมานั่งยองๆอยู่ข้างหลังน้อง
ในมุมที่ไม่เหมาะสมสุดๆ ซึ่งโชคดีมากที่เราสังเกตุเห็นว่า น้องมีการระวังตัวเหมือนกัน !!

เราจึงเริ่มถามน้องไปว่า "พี่ขอถามอะไรได้มั้ยแต่ถามแล้วต้องตอบเลยนะ ห้ามคิด" 
น้อง "ได้ค่ะ"...."เราเคยรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจเวลาที่...เข้ามาคุยด้วยมั้ย"
 น้องตอบทันทีเลยว่า "ใช่ค่ะ หนูรู้สึกอึดอัดมากๆค่ะ"
หลังจากนั้นเราก็คุยกัน ว่ามีเหตุการณ์แบบไหนบ้าง โดนจับตรงไหนบ้าง
เพื่อเตรียมข้อมูลไปคุยกับหัวหน้าในสายงานของเรา
น้องจะน่าเป็นห่วงมากกว่าเรา เพราะว่าน้องจะตัวแข็งทื่อ และหายใจไม่ออก
เวลาที่มันเข้ามาใกล้ หรือไม่กล้าพูดไปดังๆแบบที่เราทำ 
ต้องเข้าใจว่าแต่ละคนมันไม่เหมือนกันและน้องก็เด็กมากๆที่ต้องมาเจอคนแบบนี้

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่คุยกับน้องไป เราก็พุ่งไปหาหัวหน้าทันที พร้อมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
หัวหน้าบอกว่า ทางที่จะจัดการได้ดีที่สุดตอนนี้เรื่องต้องถึงผู้บริหาร
เพราะว่าถ้าเค้าพูดไปมันอาจจะไม่มีน้ำหนักมากพอ และ มันจะต้องเถียงข้างๆคูๆแน่

ถึงตรงนี้แล้วเราจะสรุปแบบรวบรัดให้นะคะ 
ตอนนี้เรื่องถึงผู้บริหารเรียบร้อยแล้ว เค้ารับทราบและเข้าใจปัญหาของเราดี
เค้าบอกเราว่า จะเรียกมันมาว่ากล่าวให้ ก่อน ว่าเราไม่ชอบ และต้องวางตัวดีๆต่อไปนี้อย่าให้มีอีก
ซึ่งบอกตรงๆว่า เราเองยังไม่พอใจในจุดการดำเนินการนี้เท่าไหร่
แต่เราก็อยากรอให้มันเป็นไปตามกระบวนการของผู้ใหญ่

เราอยากขอความเห็นเพื่อนๆว่า
1.ระหว่างนี้เรารวบรวมหลักฐานเพิ่มดีไหม เช่นถ่ายรูป หรืออัดวีดีโอเวลาเห็นเหตุการณ์แบบนี้
2.ถ้ายังมีการโดนตัวหรือสัมผัสอีก เราตะโกนดังๆเลยเพื่อให้คนทั้งออฟฟิศหันมามอง
3.จริงๆเรารักที่ทำงานนี้มากค่ะ เลยอดทนมาขนาดนี้ และเราอยากทำงานต่อไปได้อย่างมีความสุขและมีสมาธิไม่ทำงานพลาด
เราอยากให้มันลาออกไปมากๆเลย เราผิดมั้ยที่คิดแบบนี้

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่