สวัสดีทุกคนค่ะ นี้เป็นกระทู้ที่ 2 ของเราแล้วนร้าาาาา สำหรับกระทู้แรกติดตามกันได้จากที่นี้เลยจ้า
https://pantip.com/topic/41976505 ลองไปอ่านและคอมเม้นติชมกันได้นะ
มาเริ่มเลย สำหรับทริปนี้ ก็อย่างว่าเนอะช่วงเดือนเมษาอากาศก็ ร๊อน ร้อน อยากไปแช่น้ำให้เย็นช้ำ แต่ด้วยคอนเซปเดิม เบี้ยน้อย หอยน้อย เวลาน้อย
จึงเกิดทริปสั้นกระจิดลิด ไปกลับ กทม.-สวนสนประดิพัทธ์ ว่าแล้วก็เริ่มเลย ทริปนี้เราเดินทางโดยรถไฟนะ เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย เขามีรถไฟนำเที่ยวด้วยน่ะซิ ราคาก็จับต้องได้ เราเลือกเดินทางวันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2566 โดยจองตั๋วผ่านเว็บ
https://www.dticket.railway.co.th/DTicketPublicWeb/home/Home ราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 120 บาทไทยต่อคน
รถไฟนำเที่ยวขบวนนี้จะออกจากสถานีหัวลำโพง 06.30 น. ซึ่งถ้าใครบ้านอยู่ในระแวกนั้น ก็คงดูไม่ได้เช้ามากใช่มิล่ะ
แต่ต่างจากอิช้อยยิ่งนักทำไมน่ะหรอ บ้านอิช้อยอยู่นนทบุรีๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยู่เมืองนนท์คิดถึงเมืองชล ล่ะไปอยู่เมืองชล ก็คิดถึงเมืองนนท์ แต่ แด๊ด แต๊ด พ๊อออดีกว่าเนอะ อิอิ เราก็ต้องตื่นตั้งแต่ ตี 3.30 ไปเลยซิค่ะ เพราะนัดรถแท็กซี่ไว้ตี 4 เพราะพี่แท็กซี่บอกว่าไกล กลัวเราจะตกรถไฟ อ่ะแล้วยังไงน่ะหรอ
ก็ถึงที่หัวลำโพงมันตี 5 ไปเลยซิค่ะ ซิส



แล้วจะทำไรได้ นัดเพื่อนไว้ 6 โมง ก็ได้แต่ รอ รอ รอ แล้วก็ รอ และแล้วก็ 6 โมง เพื่อนมาแว้วววว
ก็จัดเตรียมไปรอขึ้นรถไฟกันที่ชานชาลารถไฟได้เลอ รอสักแปปเราก็ได้ยินเสียงงงง รถด่วนขบวนสุดท้ายยยยยย คริคริ รถไฟมาแล้ว ก็แชะภาพสักหน่อยล่ะก็ขึ้นไปเม้ามอยกันต่อบนรถ ระหว่างการเดินทางก็จะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายว่าจะแวะรับคนที่ไหนอะไรยังไงบ้าง





จุดที่ 1 แวะไหว้พระองค์ประปฐมเจย์ดี 30 นาทีถ้วนจ้าาา

รถไฟก็มาถึงที่องค์พระปฐมเจย์ดี เวลา 07.45 น. ซึ่งระหว่างทางที่เดินจากสถานนีรถไฟไปที่องค์พระปฐม ก็มีตลาดเล็กๆ ที่มีของกินล้นหลาม เรากับเพื่อนก็แพลนกันไว้ว่า เดี๋ยวไหว้พระเสร็จ ก็มาจะเดินมาซื้อของไปกินบนรถไฟกันนะ เราก็รีบเดินไปไหว้พระกัน เมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ดูเวลา โอ๊ะ เหลือเวลาอีกตั้ง 20 นาทีเเนะชิวๆได้อยู่ เหลือๆ เลยเพื่อน ก็เดินชิวๆกันไป เมื่อลงมาจากที่ไหว้พระ ถึงหน้าประตูวัด ก็เอะคนมุงอะไรกัน ก็เดินเข้าไปดูปรากฎว่า มีคนนอนราบกับพื้น เหมือนเกร็งตัวเองอยู่ตรงนั้น โดยที่ไม่มีญาติหรือคนติดตามมาด้วย เท่าที่สังเกตเบื้องต้น
แต่พอเมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆด้วยความที่พี่ที่ยืนอยู่พยายามเรียกพี่ที่คนนอนล้มตรงนั้น ปรากฎว่าเขาน้ำลายฟูมปากแล้ว มีอาการเหมือนตาลอย
เราจึงบอกให้คนแถวนั้นช่วยจับพี่เขานอนตะแคง คนแถวนั้นใจดีมากก็ช่วยกันอุ้มพี่เขา เข้าไปในร่ม แล้วให้นอนตะแคงต่อเพื่อที่จะคลายอาการเบื้องต้น
ที่เรารู้ว่าต้องนอนตะแคงเพราะว่าคนที่บ้านเรามีคนเป็นโรคชักเกร็ง แล้วคุณหมอแนะนำมา พอคนที่ช่วยอุ้มพี่เขาเข้ามาในร่มแล้ว
พี่เขาก็มีอาเจียนเศษอาหารออกมาหมด เเละยังคงมีอาการเกร็ง แต่เมื่อนอนตะแคงไปสักพัก ก็เริ่มคลายตัว ผ่อนมือที่เกร็งอยู่บ้าง
ตอนนั้นรู้สึกดีขึ้นมานิดนึง หวังว่าเราจะพอช่วยพี่เขาได้หรือเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่าที่เราพอจะทราบก่อน สักพักพี่เขาก็กลับมาเกร็งอีก
เหมือนพยายามต่อสู้กับอะไรภายในตัวเอง ป้าๆแถวนั้นก็นำผ้าชุมน้ำช่วยกันกับเรา เพื่อนเเละพี่อีกคนก็มาเช็ดหน้า ให้พี่เขาพยายามช่วยให้หายใจคล่องขึ้น แต่เอ๊ะ เราลืมอะไรไปมั้ย ??
รถไฟนำเที่ยวให้เวลาเราแค่ 30 น. เมื่อเราดูนาฬิกาอีกที ขุ่นพระ เหลือเวลาไม่ถึง 10 นาที เราก็เลยบอกพี่ๆ ป้าๆแถวนั้นว่า
ฝากจับพี่เขานอนตะแคงต่อก่อน อย่าให้หน้าคว่ำนะคะ หนูต้องไปก่อนแล้ว เเล้วต้องรอรถพยาบาลมาถึงอีกสักพักจากที่ช่วยโทรเรียกกัน
เลยบอกคุณป้าว่าหนูจะตกไฟแล้วค่ะ เพราะสัมภาระกระเป๋าก็ยังอยู่บนรถไฟด้วย
เรากับเพื่อนก็สับเลยรัวๆๆ นาทีนี้ รีบซื้ออะไรที่กินง่ายๆ แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟกัน พอขึ้นปุ๊ป รถไฟออกปั๊ป เราเป็นคู่ที่เจ้าหน้าที่เดินมารอเพื่อตามขึ้นรถล๊อตสุดท้ายจริงๆ เป็นอารมณ์ก้าวช้าอีกสองวิ ก็คือตกเครื่องได้เลย
ระหว่างทางที่นั่งรถไฟบอกตามตรงว่าเรากับเพื่อนบอกเลยนะว่าจิตตกมาก ได้แต่นั่งภาวนา ขอให้รถมารับพี่เขาไปแล้ว ขอให้พี่เขาปลอดภัย ทำไมพี่เขามาเที่ยวคนเดียว หรือพี่เขามีโรคประจำตัวอะไรทำไมมานอนล้มแบบนั้น คำถามวนกันอยู่ในหัว
ก็นั่งจิตตกกันไปยาวๆ และแล้วก็มาถึงที่สวนสนประดิพัทธิ์ จุดมุ่งหมายของวันนี้ เรามาถึงที่สวนสนกัน 12.30 น.โดยประมาณ












เจ้าหน้าที่เขาจะให้เรานั่งเล่นชิวกันกันที่หาดทรายประมาณ 4 ชั่วโมง เรากับเพื่อนก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและหาของกินกันตามประสามนุษย์อ้วน
ก็นั่งเล่นนอนเล่น ถ่ายรูปแชะๆกันไป เรื่อยเปื่อย แดดเเรงสมฤดู เเต่ลมก็เเรงไม่แพ้กันเลย เราลืมบอก ที่สวนสน เขามีเก้าอี้ให้เช่านั่งกันด้วยนะ แต่เราไม่มีทางหลุดคอนเซป เบี้ยน้อย หอยน้อยเรานะจ้ะ
พกเสื่อมาด้วยหรอ พกเสื่อมาด้วยหรอเนี่ย แหม่มาแค่เนี่ยพกเสื่อมาด้วยยยยยย ถูกต้องค่ะ เราพกเสื่อมาจากบ้าน
ก็นั่งไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยจนถึงเวลาที่รถไฟจะต้องมารับแว้วววว เย้ๆ เราจะได้กลับบ้านแล้ว แต่ขากลับก็จะแอบเพลียๆกันนิดนึง โดนทั้งแดดทั้งลม
อ่ะเนอะ คนบอบบางอย่างเราก็ขอมุมอ่อนแอบ้าง


ขากลับก็นั่งกันยาวๆไปเลยจ้า หลับบ้าง ตื่นบ้าง กินบ้าง ซึ่งจังหวะที่รถไฟถึงที่องค์พระปฐมในยามค่ำคืน ความจิตตกของเรากับเพื่อนก็มาอีกแล้ว เรากับเพื่อนหวังว่าพี่เขาจะไม่เป็นอะไรมาก หวังว่าป่านนี้พี่เขาคงได้กลับบ้านแล้ว ก็นั่งเม้ามอยกันไปเรื่อยๆ
กว่าจะถึง หัวลำโพงก็นู้นจ้า ปาไป 22.30น. ได้ สำหรับทริปนี้ก็เป็นวันเดย์ทริปที่มีหลายเรื่องราว หลายความรู้สึกมาก เกิดเรื่องไม่คาดคิด มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบไม่ตั้งตัว บวกกับเวลาที่จำกัดมากๆเช่นกัน ถามว่าทำไมน่ะหรอ
ช่วงเวลาที่เราเขียนกระทู้นี้ จริงๆเเล้วเป็นช่วงเวลาที่มีข่าวดัง ที่เชื่อว่าทุกคนจะได้ยินและได้ดูกันพอสมควร
"แอมไซยาไนด์"
ซึ่งเป็นข่าวที่เราก็ไม่ได้ติดตามมาก แต่รู้ว่าเขาตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งเรารู้ว่าหลายคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ คง งง ใช่มั้ย ว่าเราพูดเรื่องนี้ทำไม
ถ้าทุกคนนึกย้อนกลับไปเหตุการณ์ที่เราเล่าให้ฟังว่าเราเจอคนเป็นลม ชักเกร็ง ที่บริเวณหน้าวัด ใช่ค่ะ พี่ที่เราพบนั้น พี่เขาคือ 1 ในเหยื่อของ
แอมไซยาไนด์ เราเห็นคลิปและเห็นข่าวเหยือที่โดนวางยามาหลายครั้งมาก แต่ไม่ได้เอ๊ะใจ จนมีมานั่งฟังข่าวช่องนึงตอนอยู่บ้านแบบจริงจังๆบอกว่า เหยื่อผู้เสียชีวิตที่หน้าองค์พระปฐมเจย์ดี เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566
เมื่อเราได้ฟังเราก็เอ๊ะ วันเดียวกันกับที่เราไปเที่ยว เราเลยไปหาคลิปดูชัดๆอีกที และแล้วมันก็คือเรื่องจริงที่ว่าพี่เขาคือคนเดียวกันกับที่เราได้เข้าไปช่วย
บอกตามตรงว่าจังหวะนั้นที่รู้ มือสั่น ใจสั่นมาก และก็แอบเสียใจลึกๆ ที่เราและเพื่อนเรารู้สึกว่า เราช่วยพี่เขาได้มากกว่านี้ไหม?
ถ้าตรงนั้นมีหน่วยกู้ชีพฉุกเฉิน ถ้าตรงนั้นมีถังออกซิเจน พี่เขาคงอาจจะรอดปลอดภัยเเล้วกลับมาอยู่กับครอบครัวเเล้วก็ได้
ต้องขอบอกเลยว่า ที่หลายคนชอบพูดว่า
"ระหว่างการเดินทางมักจะมีเรื่องราวมายให้เราได้เจอและเรียนรู้"
ซึ่งยอมรับเลยว่าจริง ครั้งนี้เจอกันตัวเอง ทำให้เรียนรู้ได้เยอะมาก ว่าเศษเสี้ยววินาทีมันมีความหมายมากจริงๆ
สำหรับสุดท้ายนี้ขออนุญาตเอ่ยนามผู้เสียชีวิตนะคะ พ.ต.ต. นิภา หรือ สารวัตรปู เสียใจจริงๆจากการเหตุการณ์ครั้งนั้น ขอให้พี่ไปสู่สุขคติ
เเต่สิ่งสุดท้ายที่คิดว่าพี่สารวัตรปูจะรับรู้ได้คือ ความถูกต้องจะพิสูจน์ความจริง เเล้วความจริงที่จะบ่งบอกทุกอย่างๆ ผู้กระทำผิดก็จะรับในสิ่งที่ทำ
พาดพิงหรือเบียดเบียนผู้อื่นอย่างเเน่นอน หลับให้สบาย เป็นนางฟ้าบนสวรรค์นะคะ R.I.P
วันเดย์ทริปทัวร์ไปกับเทรน
https://pantip.com/topic/41976505 ลองไปอ่านและคอมเม้นติชมกันได้นะ
มาเริ่มเลย สำหรับทริปนี้ ก็อย่างว่าเนอะช่วงเดือนเมษาอากาศก็ ร๊อน ร้อน อยากไปแช่น้ำให้เย็นช้ำ แต่ด้วยคอนเซปเดิม เบี้ยน้อย หอยน้อย เวลาน้อย
จึงเกิดทริปสั้นกระจิดลิด ไปกลับ กทม.-สวนสนประดิพัทธ์ ว่าแล้วก็เริ่มเลย ทริปนี้เราเดินทางโดยรถไฟนะ เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย เขามีรถไฟนำเที่ยวด้วยน่ะซิ ราคาก็จับต้องได้ เราเลือกเดินทางวันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2566 โดยจองตั๋วผ่านเว็บ https://www.dticket.railway.co.th/DTicketPublicWeb/home/Home ราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 120 บาทไทยต่อคน
รถไฟนำเที่ยวขบวนนี้จะออกจากสถานีหัวลำโพง 06.30 น. ซึ่งถ้าใครบ้านอยู่ในระแวกนั้น ก็คงดูไม่ได้เช้ามากใช่มิล่ะ
แต่ต่างจากอิช้อยยิ่งนักทำไมน่ะหรอ บ้านอิช้อยอยู่นนทบุรีๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยู่เมืองนนท์คิดถึงเมืองชล ล่ะไปอยู่เมืองชล ก็คิดถึงเมืองนนท์ แต่ แด๊ด แต๊ด พ๊อออดีกว่าเนอะ อิอิ เราก็ต้องตื่นตั้งแต่ ตี 3.30 ไปเลยซิค่ะ เพราะนัดรถแท็กซี่ไว้ตี 4 เพราะพี่แท็กซี่บอกว่าไกล กลัวเราจะตกรถไฟ อ่ะแล้วยังไงน่ะหรอ
ก็ถึงที่หัวลำโพงมันตี 5 ไปเลยซิค่ะ ซิส
แล้วจะทำไรได้ นัดเพื่อนไว้ 6 โมง ก็ได้แต่ รอ รอ รอ แล้วก็ รอ และแล้วก็ 6 โมง เพื่อนมาแว้วววว
ก็จัดเตรียมไปรอขึ้นรถไฟกันที่ชานชาลารถไฟได้เลอ รอสักแปปเราก็ได้ยินเสียงงงง รถด่วนขบวนสุดท้ายยยยยย คริคริ รถไฟมาแล้ว ก็แชะภาพสักหน่อยล่ะก็ขึ้นไปเม้ามอยกันต่อบนรถ ระหว่างการเดินทางก็จะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายว่าจะแวะรับคนที่ไหนอะไรยังไงบ้าง
จุดที่ 1 แวะไหว้พระองค์ประปฐมเจย์ดี 30 นาทีถ้วนจ้าาา
รถไฟก็มาถึงที่องค์พระปฐมเจย์ดี เวลา 07.45 น. ซึ่งระหว่างทางที่เดินจากสถานนีรถไฟไปที่องค์พระปฐม ก็มีตลาดเล็กๆ ที่มีของกินล้นหลาม เรากับเพื่อนก็แพลนกันไว้ว่า เดี๋ยวไหว้พระเสร็จ ก็มาจะเดินมาซื้อของไปกินบนรถไฟกันนะ เราก็รีบเดินไปไหว้พระกัน เมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ดูเวลา โอ๊ะ เหลือเวลาอีกตั้ง 20 นาทีเเนะชิวๆได้อยู่ เหลือๆ เลยเพื่อน ก็เดินชิวๆกันไป เมื่อลงมาจากที่ไหว้พระ ถึงหน้าประตูวัด ก็เอะคนมุงอะไรกัน ก็เดินเข้าไปดูปรากฎว่า มีคนนอนราบกับพื้น เหมือนเกร็งตัวเองอยู่ตรงนั้น โดยที่ไม่มีญาติหรือคนติดตามมาด้วย เท่าที่สังเกตเบื้องต้น
แต่พอเมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆด้วยความที่พี่ที่ยืนอยู่พยายามเรียกพี่ที่คนนอนล้มตรงนั้น ปรากฎว่าเขาน้ำลายฟูมปากแล้ว มีอาการเหมือนตาลอย
เราจึงบอกให้คนแถวนั้นช่วยจับพี่เขานอนตะแคง คนแถวนั้นใจดีมากก็ช่วยกันอุ้มพี่เขา เข้าไปในร่ม แล้วให้นอนตะแคงต่อเพื่อที่จะคลายอาการเบื้องต้น
ที่เรารู้ว่าต้องนอนตะแคงเพราะว่าคนที่บ้านเรามีคนเป็นโรคชักเกร็ง แล้วคุณหมอแนะนำมา พอคนที่ช่วยอุ้มพี่เขาเข้ามาในร่มแล้ว
พี่เขาก็มีอาเจียนเศษอาหารออกมาหมด เเละยังคงมีอาการเกร็ง แต่เมื่อนอนตะแคงไปสักพัก ก็เริ่มคลายตัว ผ่อนมือที่เกร็งอยู่บ้าง
ตอนนั้นรู้สึกดีขึ้นมานิดนึง หวังว่าเราจะพอช่วยพี่เขาได้หรือเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่าที่เราพอจะทราบก่อน สักพักพี่เขาก็กลับมาเกร็งอีก
เหมือนพยายามต่อสู้กับอะไรภายในตัวเอง ป้าๆแถวนั้นก็นำผ้าชุมน้ำช่วยกันกับเรา เพื่อนเเละพี่อีกคนก็มาเช็ดหน้า ให้พี่เขาพยายามช่วยให้หายใจคล่องขึ้น แต่เอ๊ะ เราลืมอะไรไปมั้ย ??
รถไฟนำเที่ยวให้เวลาเราแค่ 30 น. เมื่อเราดูนาฬิกาอีกที ขุ่นพระ เหลือเวลาไม่ถึง 10 นาที เราก็เลยบอกพี่ๆ ป้าๆแถวนั้นว่า
ฝากจับพี่เขานอนตะแคงต่อก่อน อย่าให้หน้าคว่ำนะคะ หนูต้องไปก่อนแล้ว เเล้วต้องรอรถพยาบาลมาถึงอีกสักพักจากที่ช่วยโทรเรียกกัน
เลยบอกคุณป้าว่าหนูจะตกไฟแล้วค่ะ เพราะสัมภาระกระเป๋าก็ยังอยู่บนรถไฟด้วย
เรากับเพื่อนก็สับเลยรัวๆๆ นาทีนี้ รีบซื้ออะไรที่กินง่ายๆ แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟกัน พอขึ้นปุ๊ป รถไฟออกปั๊ป เราเป็นคู่ที่เจ้าหน้าที่เดินมารอเพื่อตามขึ้นรถล๊อตสุดท้ายจริงๆ เป็นอารมณ์ก้าวช้าอีกสองวิ ก็คือตกเครื่องได้เลย
ระหว่างทางที่นั่งรถไฟบอกตามตรงว่าเรากับเพื่อนบอกเลยนะว่าจิตตกมาก ได้แต่นั่งภาวนา ขอให้รถมารับพี่เขาไปแล้ว ขอให้พี่เขาปลอดภัย ทำไมพี่เขามาเที่ยวคนเดียว หรือพี่เขามีโรคประจำตัวอะไรทำไมมานอนล้มแบบนั้น คำถามวนกันอยู่ในหัว
ก็นั่งจิตตกกันไปยาวๆ และแล้วก็มาถึงที่สวนสนประดิพัทธิ์ จุดมุ่งหมายของวันนี้ เรามาถึงที่สวนสนกัน 12.30 น.โดยประมาณ
เจ้าหน้าที่เขาจะให้เรานั่งเล่นชิวกันกันที่หาดทรายประมาณ 4 ชั่วโมง เรากับเพื่อนก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและหาของกินกันตามประสามนุษย์อ้วน
ก็นั่งเล่นนอนเล่น ถ่ายรูปแชะๆกันไป เรื่อยเปื่อย แดดเเรงสมฤดู เเต่ลมก็เเรงไม่แพ้กันเลย เราลืมบอก ที่สวนสน เขามีเก้าอี้ให้เช่านั่งกันด้วยนะ แต่เราไม่มีทางหลุดคอนเซป เบี้ยน้อย หอยน้อยเรานะจ้ะ
พกเสื่อมาด้วยหรอ พกเสื่อมาด้วยหรอเนี่ย แหม่มาแค่เนี่ยพกเสื่อมาด้วยยยยยย ถูกต้องค่ะ เราพกเสื่อมาจากบ้าน
ก็นั่งไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยจนถึงเวลาที่รถไฟจะต้องมารับแว้วววว เย้ๆ เราจะได้กลับบ้านแล้ว แต่ขากลับก็จะแอบเพลียๆกันนิดนึง โดนทั้งแดดทั้งลม
อ่ะเนอะ คนบอบบางอย่างเราก็ขอมุมอ่อนแอบ้าง
ขากลับก็นั่งกันยาวๆไปเลยจ้า หลับบ้าง ตื่นบ้าง กินบ้าง ซึ่งจังหวะที่รถไฟถึงที่องค์พระปฐมในยามค่ำคืน ความจิตตกของเรากับเพื่อนก็มาอีกแล้ว เรากับเพื่อนหวังว่าพี่เขาจะไม่เป็นอะไรมาก หวังว่าป่านนี้พี่เขาคงได้กลับบ้านแล้ว ก็นั่งเม้ามอยกันไปเรื่อยๆ
กว่าจะถึง หัวลำโพงก็นู้นจ้า ปาไป 22.30น. ได้ สำหรับทริปนี้ก็เป็นวันเดย์ทริปที่มีหลายเรื่องราว หลายความรู้สึกมาก เกิดเรื่องไม่คาดคิด มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบไม่ตั้งตัว บวกกับเวลาที่จำกัดมากๆเช่นกัน ถามว่าทำไมน่ะหรอ
ช่วงเวลาที่เราเขียนกระทู้นี้ จริงๆเเล้วเป็นช่วงเวลาที่มีข่าวดัง ที่เชื่อว่าทุกคนจะได้ยินและได้ดูกันพอสมควร "แอมไซยาไนด์"
ซึ่งเป็นข่าวที่เราก็ไม่ได้ติดตามมาก แต่รู้ว่าเขาตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งเรารู้ว่าหลายคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ คง งง ใช่มั้ย ว่าเราพูดเรื่องนี้ทำไม
ถ้าทุกคนนึกย้อนกลับไปเหตุการณ์ที่เราเล่าให้ฟังว่าเราเจอคนเป็นลม ชักเกร็ง ที่บริเวณหน้าวัด ใช่ค่ะ พี่ที่เราพบนั้น พี่เขาคือ 1 ในเหยื่อของ
แอมไซยาไนด์ เราเห็นคลิปและเห็นข่าวเหยือที่โดนวางยามาหลายครั้งมาก แต่ไม่ได้เอ๊ะใจ จนมีมานั่งฟังข่าวช่องนึงตอนอยู่บ้านแบบจริงจังๆบอกว่า เหยื่อผู้เสียชีวิตที่หน้าองค์พระปฐมเจย์ดี เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566
เมื่อเราได้ฟังเราก็เอ๊ะ วันเดียวกันกับที่เราไปเที่ยว เราเลยไปหาคลิปดูชัดๆอีกที และแล้วมันก็คือเรื่องจริงที่ว่าพี่เขาคือคนเดียวกันกับที่เราได้เข้าไปช่วย
บอกตามตรงว่าจังหวะนั้นที่รู้ มือสั่น ใจสั่นมาก และก็แอบเสียใจลึกๆ ที่เราและเพื่อนเรารู้สึกว่า เราช่วยพี่เขาได้มากกว่านี้ไหม?
ถ้าตรงนั้นมีหน่วยกู้ชีพฉุกเฉิน ถ้าตรงนั้นมีถังออกซิเจน พี่เขาคงอาจจะรอดปลอดภัยเเล้วกลับมาอยู่กับครอบครัวเเล้วก็ได้
ต้องขอบอกเลยว่า ที่หลายคนชอบพูดว่า "ระหว่างการเดินทางมักจะมีเรื่องราวมายให้เราได้เจอและเรียนรู้"
ซึ่งยอมรับเลยว่าจริง ครั้งนี้เจอกันตัวเอง ทำให้เรียนรู้ได้เยอะมาก ว่าเศษเสี้ยววินาทีมันมีความหมายมากจริงๆ
สำหรับสุดท้ายนี้ขออนุญาตเอ่ยนามผู้เสียชีวิตนะคะ พ.ต.ต. นิภา หรือ สารวัตรปู เสียใจจริงๆจากการเหตุการณ์ครั้งนั้น ขอให้พี่ไปสู่สุขคติ
เเต่สิ่งสุดท้ายที่คิดว่าพี่สารวัตรปูจะรับรู้ได้คือ ความถูกต้องจะพิสูจน์ความจริง เเล้วความจริงที่จะบ่งบอกทุกอย่างๆ ผู้กระทำผิดก็จะรับในสิ่งที่ทำ
พาดพิงหรือเบียดเบียนผู้อื่นอย่างเเน่นอน หลับให้สบาย เป็นนางฟ้าบนสวรรค์นะคะ R.I.P