วิจารณ์สนั่น! เพจดังแฉ ตลาดเมืองปากน้ำใช้งบเกือบ 800 ล้าน แต่ 2 เดือนยังไร้เงาแม่ค้า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7643776
วิจารณ์สนั่น! เพจดังแฉ ตลาดเชิงท่องเที่ยว ท้ายบ้าน สมุทรปราการ ใช้งบเกือบ 800 ล้าน ยังไม่รวมค่าที่ดิน แต่ 2 เดือนยังคงเงียบ ไม่มีผู้ค้ามาขายของ
เมื่อวันที่ 3 พ.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ
สปอร์ตไลท์บางปู โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเรื่องราวของตลาดเชิงท่องเที่ยว ท้ายบ้าน สมุทรปราการ ที่หลังจากเปิดตัวได้ 2 เดือน ยังคงเงียบ ไม่มีผู้ค้ามาขายของ ทั้งที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้โลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์ เรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก
โดย เพจ
สปอร์ตไลท์บางปู ระบุว่า
“
2 เดือนผ่านไปก็ยังไร้วี่แววแม่ค้า พิธีเปิดตลาดอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 66 เปิดป้ายตลาดเชิงท่องเที่ยว ท้ายบ้าน สมุทรปราการ
ศูนย์การจำหน่ายทางการประมง และศูนย์ส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดสมุทรปราการ แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีปลาสักตัววางขาย
งบประมาณจังหวัด เทศบาลนครสมุทรปราการ และ อบจ.สมุทรปราการ 785,500,000 บาท เกือบ 800 ล้าน ยังไม่รวมค่าที่ดินนะ ที่ดินประมาณ 25 ไร่ แบ่งเป็นเงินสนับสนุน อบจ. 600 ล้าน ที่เหลือเป็นของเทศบาลนครสมุทรปราการ
โครงการยาวนาน เริ่มปี 58 เลื่อนเวลาแล้ว ขยายเวลาอีก จนยื้อมาถึง ปี 66 จนเสร็จ ใช้เวลา 8 ปี โครงการที่เหมือนคนในจังหวัดจะได้ประโยชน์ แต่กลับตรงกันข้าม เสียเงินจังหวัด เสียที่สาธารณะ แถมต้องเสียบุคลากรคอยดูแล และเสียเงินรายเดือนดูแลอีก เปิดม่านตัดริบบิ้น เสียงตบมือดังกึกก้อง
พอสิ้นเสียงหันหลังกลับ ก็ปัดตูด ไม่ได้สนใจจริงๆ ว่าจะขับเคลื่อนโครงการอย่างไร แผนโครงการไปทางไหน ได้แต่ปล่อยให้อ้างว้าง ไร้แม่ค้า ไร้ผู้คน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างที่ ท่านๆ บอก ว่าคนจังหวัดสมุทรปราการได้ประโยชน์แน่นอน ทำเพื่อคนในจังหวัด
แถมหน่วยงานในจังหวัดที่คอยตรวจสอบ กลับมองไม่เห็นว่าผิดปกติ หรือว่าเปิดแล้วแล้วกัน ถือว่าถูกต้องแล้วใช่ไหมครับท่าน ตรวจสอบอย่างไงก็ผ่าน จนจังหวัดสมุทรปราการ ขึ้นชื่อสร้างโครงการ แต่สำเร็จน้อยมากที่จะเปิด มีโครงการปล่อยทิ้งร้าง เยอะมาก
สุดท้ายก็วนเวียนเบิกงบ ซ่อมแซม วนไปวนมาจนชาวบ้านได้แต่เกาหัว แกรกๆ งง กับจังหวัดสมุทรปราการ จริงๆ ว่าเป็นเพราะอะไร โครงการทิ้งร้างเยอะมาก สุดท้ายฝาก ท่านๆ ประชาชนอย่างผมกลัวจะปล่อยทิ้งร้างอีก มันน่าเสียดายจริงๆ กับเงินหลายร้อยล้าน”
โพสต์ดังกล่าว มีคนแชร์ออกไป 875 ครั้ง และเข้าไปคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์กันจำนวนมาก อาทิ
“สร้างไว้ก่อนไม่เน้นสำรวจเพื่อใช้งาน”, “สร้างตลาดไฮโซไม่เข้ากับสภาพถนนแถวนั้นเลยนะ”, “ไกลไปไม่มีคนไป”, “สร้างๆ ไว้ก่อน ค่อยคิดทีหลังว่าจะทำอะไร ยังคิดไม่ออกก็ปล่อยมันไว้ก่อน ขอแค่ให้เงินมันขยับก็พอละมั้ง”, “ชาวปากน้ำได้อะไรจากสิ่งนี้”
https://www.facebook.com/SpotlightBangpoo/posts/pfbid0qDUBu5Rm3e5UPrmidczyhZxuixnnsLmeawreju2nn6zm2akj9f4trS5daxEAW1ngl
กระอัก! กกร.ชี้ สินค้าจ่อขึ้นรอบ 2 หลังค่าไฟพุ่งแรง หวั่นภัยแล้งซ้ำเติม เล็งชง ‘นายก’ เตรียมแผนรับมือ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3957651
กระอัก! กกร.เผย สินค้าจ่อขยับรอบ 2 หลังต้นทุนค่าไฟพุ่งแรง หวั่นภัยแล้งซ้ำเติม เล็งร่อนหนังสือถึง ‘นายก’ เตรียมแผนรับมือ
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นาย
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า ที่ประชุม กกร.ได้ประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ณ เดือนพฤษภาคม ยังคงการคาดการณ์เดิมว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ 3.0-3.5% ตัวเลขการส่งออก ติดลบที่ 1.0-0.0% อัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 2.7-3.2%
ขณะที่เศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากภาคการท่องเที่ยว ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2566 มีโอกาสแตะระดับ 30 ล้านคน สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 28 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้จีดีพีช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก
นาย
เกรียงไกรกล่าวว่า ขณะเดียวกันภาวะต้นทุนยังอยู่ในระดับสูงและอาจปรับตัวลงช้า ราคาในตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศเศรษฐกิจหลัก ยังทรงตัวในระดับสูงและมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนยังไม่สิ้นสุด
เช่นเดียวกับในกรณีของประเทศไทย ที่ผู้ประกอบการมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า เพื่อส่งผ่านภาระต้นทุนต่อไปในระยะข้างหน้า ผลกระทบจากราคาสินค้าและต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยกดดันภาคธุรกิจและครัวเรือนต่อไป ทั้งนี้ ต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะภัยแล้ง ที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ที่อาจซ้ำเติมราคาอาหารภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง
นาย
เกรียงไกรกล่าวว่า ทั้งนี้ กกร. มีความกังวลต่อความเสี่ยงภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันออก ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 และอาจรุนแรงติดต่อกันมากถึง 3-5 ปี ปรากฏการณ์เอลนิโญในครั้งนี้ จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนและภัยแล้งเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะมีปริมาณลดลง และทำให้ปริมาณน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำในภาคตะวันออกไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วน
ดังนั้น กกร. จึงเห็นควรให้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยด่วนที่สุด เพื่อขอให้พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ภัยแล้งระยะเร่งด่วน 3 ปี และระยะยาว เพื่อเร่งวางมาตรการรับมือภัยแล้ง และเร่งรัดโครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จตามแผน เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
“
ต้นทุนราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจากค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเฉลี่ยประมาณ 5-10% หากไทยได้รับผลกระทบภัยแล้งและน้ำน้อย ซึ่งต้องรีบกักเก็บน้ำตอนนี้ เพราะถ้าไปเก็บช่วงเสี่ยงน้ำน้อย น้ำจะมีราคาแพง และจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรจะออกน้อยลง ส่งผลให้ราคาสินค้าประเภทต่างๆ จะถูกปรับขึ้นอีกครั้ง หากรัฐไม่มีแผนตั้งรับ” นาย
เกรียงไกรกล่าว
นาย
เกรียงไกรกล่าวว่า นอกจากนี้ ต้องเตรียมการใช้น้ำจำนวนมาก เพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตร เช่น ปีนี้ไทยส่งออกทุเรียนไปจีนประมาณ 7 แสนตัน มีมูลค่า 1 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งการใช้น้ำเพื่อเลี้ยงผลผลิตจากเดิมอยู่ที่ 100 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ต้องใช้ถึง 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งปริมาณการใช้ขึ้นอยู่กับผลิตผลที่ส่งออก แม้ปีนี้จะไม่มีปัญหาแต่ปลายปีน้ำแล้ง ทำให้ส่งออดผลผลิตปีหน้าจะได้รับผลกระทบ
นาย
เกรียงไกรกล่าวว่า สำหรับค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 ที่ปรับอยู่ที่ระดับ 4.70 บาทต่อหน่วย ส่งผลต่อราคาสินค้าบางประเภทที่ปรับขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งส่วนนี้อยากฝากเรื่องถึงกระทรวงพาณิชย์ให้ติดตามราคาสินค้าให้อยู่ระดับเหมาะสม ซึ่งที่กระทรวงพาณิชย์สามารถดูแลได้แน่นอนคือสินค้าควบคุม แต่สินค้าที่ควบคุมไม่ได้ก็อยากขอร้องให้ปรับราคาอย่างเหมาะสมต่อต้นทุนผู้ประกอบธุรกิจ และคำนึงถึงรายจ่ายของประชาชนด้วย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันสูงขึ้นมีการปรับราคาสินค้าแล้ว 1 ครั้ง และขณะนี้จะมีการปรับขึ้นเป็นตรั้งที่ 2 จากค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิต
“
สิ่งเหล่านี้รอรัฐบาลใหม่ เพราะค่าไฟฟ้าน่าจะถูกปรับแล้วที่ 4.70 บาทต่อหน่วย และแก้ไขไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลใหม่ได้ทำงานร่วมกันใกล้ชิด แม้ที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้ง กรอ.พลังงาน และทำข้อตกลงระหว่างรัฐ-เอกชน แต่เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีข้อสรุป จึงหวังว่าจากนี้ถ้ามีการตกลงแล้วอยากให้แก้ไขทันที เพราะถ้าไม่แก้ไขจะเป็นปัญหาและภาระต่อประชาชน” นาย
เกรียงไกรกล่าว
เศรษฐา ฉะรัฐบาลบริหารพลาด ทำค่าไฟแพง ย้ำเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ลดค่าไฟทันที
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7643276
เศรษฐา ฉะรัฐบาลบริหารพลาด ต้นเหตุค่าไฟแพง แนะทางออก ย้ำชัด รัฐบาลเพื่อไทยพร้อมลดค่าไฟ-ค่าแก๊สทันที พร้อมเร่งเจรจาหาแหล่งก๊าซเพิ่ม
เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2566 นาย
เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กในประเด็นค่าไฟฟ้า ระบุว่า
ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ประชาชนอาจมีความกังวลบิลค่าไฟที่แพงขึ้น ประกอบกับค่าพลังงาน ที่ส่งผลต่อค่าครองชีพของภาคธุรกิจที่ต้นทุนสูงขึ้น จากการบริหารพลังงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูง
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบริหารพลังงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูง และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีราคาสูงเข้ามาใช้ผลิตไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก จากการรับช่วงต่อสัมปทานการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ่าวไทยจาก บ.เชฟรอน ทำให้ผลิตก๊าซธรรมชาติ (LNG) ได้น้อยลงกว่าที่เคยทำได้ และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีราคาสูงเข้ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก รวมถึงก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในอ่าวไทยจะไม่เพียงพอสำหรับการผลิตไฟฟ้า รัฐบาลชุดนี้รู้อยู่แล้วแต่กลับไม่ได้เร่งต่อรองกับกัมพูชา เพื่อขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างไทย-กัมพูชา
นาย
เศรษฐา ระบุว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น ระยะสั้น จะลดราคาค่าไฟฟ้าทันที และตรึงราคาค่าไฟฟ้า ในระยะยาว จะเร่งเจรจาแหล่งพลังงาน ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา ต้องเจรจาลดค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้าด้วย ถ้าเรามีโอกาสได้ดำเนินนโยบาย ทุกภาคส่วนจะมีค่าไฟฟ้าที่ลดลง ค่าใช้จ่ายลดลง ประชาชนมีเงินเหลือมากขึ้น เอกชนมีกำไรมากขึ้น สินค้ามีราคาที่ถูกลง ทำให้แข่งขันกับประเทศอื่นทั่วโลกได้ เมื่อรวมเข้ากับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเสริมกัน ทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นตามที่พรรคเพื่อไทยได้ตั้งไว้
https://www.facebook.com/Thavisin.Official/posts/pfbid0garJZHMyEuRAHS1AeVVWQAVZTdXj2Gbzpi5u1mS8sLViByzRT2ywCLx1SiLdd1XMl
JJNY : 5in1 เพจดังแฉตลาดปากน้ำ│กกร.ชี้สินค้าจ่อขึ้นรอบ2│เศรษฐาฉะรบ.บริหารพลาด│พิธาปลุกกระแสเลือกตั้งชลบุรี│ยูเอ็นเตือน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7643776
วิจารณ์สนั่น! เพจดังแฉ ตลาดเชิงท่องเที่ยว ท้ายบ้าน สมุทรปราการ ใช้งบเกือบ 800 ล้าน ยังไม่รวมค่าที่ดิน แต่ 2 เดือนยังคงเงียบ ไม่มีผู้ค้ามาขายของ
เมื่อวันที่ 3 พ.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ สปอร์ตไลท์บางปู โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเรื่องราวของตลาดเชิงท่องเที่ยว ท้ายบ้าน สมุทรปราการ ที่หลังจากเปิดตัวได้ 2 เดือน ยังคงเงียบ ไม่มีผู้ค้ามาขายของ ทั้งที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้โลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์ เรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก
โดย เพจ สปอร์ตไลท์บางปู ระบุว่า
“2 เดือนผ่านไปก็ยังไร้วี่แววแม่ค้า พิธีเปิดตลาดอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 66 เปิดป้ายตลาดเชิงท่องเที่ยว ท้ายบ้าน สมุทรปราการ
ศูนย์การจำหน่ายทางการประมง และศูนย์ส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดสมุทรปราการ แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีปลาสักตัววางขาย
งบประมาณจังหวัด เทศบาลนครสมุทรปราการ และ อบจ.สมุทรปราการ 785,500,000 บาท เกือบ 800 ล้าน ยังไม่รวมค่าที่ดินนะ ที่ดินประมาณ 25 ไร่ แบ่งเป็นเงินสนับสนุน อบจ. 600 ล้าน ที่เหลือเป็นของเทศบาลนครสมุทรปราการ
โครงการยาวนาน เริ่มปี 58 เลื่อนเวลาแล้ว ขยายเวลาอีก จนยื้อมาถึง ปี 66 จนเสร็จ ใช้เวลา 8 ปี โครงการที่เหมือนคนในจังหวัดจะได้ประโยชน์ แต่กลับตรงกันข้าม เสียเงินจังหวัด เสียที่สาธารณะ แถมต้องเสียบุคลากรคอยดูแล และเสียเงินรายเดือนดูแลอีก เปิดม่านตัดริบบิ้น เสียงตบมือดังกึกก้อง
พอสิ้นเสียงหันหลังกลับ ก็ปัดตูด ไม่ได้สนใจจริงๆ ว่าจะขับเคลื่อนโครงการอย่างไร แผนโครงการไปทางไหน ได้แต่ปล่อยให้อ้างว้าง ไร้แม่ค้า ไร้ผู้คน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างที่ ท่านๆ บอก ว่าคนจังหวัดสมุทรปราการได้ประโยชน์แน่นอน ทำเพื่อคนในจังหวัด
แถมหน่วยงานในจังหวัดที่คอยตรวจสอบ กลับมองไม่เห็นว่าผิดปกติ หรือว่าเปิดแล้วแล้วกัน ถือว่าถูกต้องแล้วใช่ไหมครับท่าน ตรวจสอบอย่างไงก็ผ่าน จนจังหวัดสมุทรปราการ ขึ้นชื่อสร้างโครงการ แต่สำเร็จน้อยมากที่จะเปิด มีโครงการปล่อยทิ้งร้าง เยอะมาก
สุดท้ายก็วนเวียนเบิกงบ ซ่อมแซม วนไปวนมาจนชาวบ้านได้แต่เกาหัว แกรกๆ งง กับจังหวัดสมุทรปราการ จริงๆ ว่าเป็นเพราะอะไร โครงการทิ้งร้างเยอะมาก สุดท้ายฝาก ท่านๆ ประชาชนอย่างผมกลัวจะปล่อยทิ้งร้างอีก มันน่าเสียดายจริงๆ กับเงินหลายร้อยล้าน”
โพสต์ดังกล่าว มีคนแชร์ออกไป 875 ครั้ง และเข้าไปคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์กันจำนวนมาก อาทิ “สร้างไว้ก่อนไม่เน้นสำรวจเพื่อใช้งาน”, “สร้างตลาดไฮโซไม่เข้ากับสภาพถนนแถวนั้นเลยนะ”, “ไกลไปไม่มีคนไป”, “สร้างๆ ไว้ก่อน ค่อยคิดทีหลังว่าจะทำอะไร ยังคิดไม่ออกก็ปล่อยมันไว้ก่อน ขอแค่ให้เงินมันขยับก็พอละมั้ง”, “ชาวปากน้ำได้อะไรจากสิ่งนี้”
https://www.facebook.com/SpotlightBangpoo/posts/pfbid0qDUBu5Rm3e5UPrmidczyhZxuixnnsLmeawreju2nn6zm2akj9f4trS5daxEAW1ngl
กระอัก! กกร.ชี้ สินค้าจ่อขึ้นรอบ 2 หลังค่าไฟพุ่งแรง หวั่นภัยแล้งซ้ำเติม เล็งชง ‘นายก’ เตรียมแผนรับมือ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3957651
กระอัก! กกร.เผย สินค้าจ่อขยับรอบ 2 หลังต้นทุนค่าไฟพุ่งแรง หวั่นภัยแล้งซ้ำเติม เล็งร่อนหนังสือถึง ‘นายก’ เตรียมแผนรับมือ
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า ที่ประชุม กกร.ได้ประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ณ เดือนพฤษภาคม ยังคงการคาดการณ์เดิมว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ 3.0-3.5% ตัวเลขการส่งออก ติดลบที่ 1.0-0.0% อัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 2.7-3.2%
ขณะที่เศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากภาคการท่องเที่ยว ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2566 มีโอกาสแตะระดับ 30 ล้านคน สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 28 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้จีดีพีช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ขณะเดียวกันภาวะต้นทุนยังอยู่ในระดับสูงและอาจปรับตัวลงช้า ราคาในตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศเศรษฐกิจหลัก ยังทรงตัวในระดับสูงและมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนยังไม่สิ้นสุด
เช่นเดียวกับในกรณีของประเทศไทย ที่ผู้ประกอบการมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า เพื่อส่งผ่านภาระต้นทุนต่อไปในระยะข้างหน้า ผลกระทบจากราคาสินค้าและต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยกดดันภาคธุรกิจและครัวเรือนต่อไป ทั้งนี้ ต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะภัยแล้ง ที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ที่อาจซ้ำเติมราคาอาหารภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ทั้งนี้ กกร. มีความกังวลต่อความเสี่ยงภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันออก ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 และอาจรุนแรงติดต่อกันมากถึง 3-5 ปี ปรากฏการณ์เอลนิโญในครั้งนี้ จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนและภัยแล้งเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะมีปริมาณลดลง และทำให้ปริมาณน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำในภาคตะวันออกไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วน
ดังนั้น กกร. จึงเห็นควรให้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยด่วนที่สุด เพื่อขอให้พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ภัยแล้งระยะเร่งด่วน 3 ปี และระยะยาว เพื่อเร่งวางมาตรการรับมือภัยแล้ง และเร่งรัดโครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จตามแผน เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
“ต้นทุนราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจากค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเฉลี่ยประมาณ 5-10% หากไทยได้รับผลกระทบภัยแล้งและน้ำน้อย ซึ่งต้องรีบกักเก็บน้ำตอนนี้ เพราะถ้าไปเก็บช่วงเสี่ยงน้ำน้อย น้ำจะมีราคาแพง และจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรจะออกน้อยลง ส่งผลให้ราคาสินค้าประเภทต่างๆ จะถูกปรับขึ้นอีกครั้ง หากรัฐไม่มีแผนตั้งรับ” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกรกล่าวว่า นอกจากนี้ ต้องเตรียมการใช้น้ำจำนวนมาก เพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตร เช่น ปีนี้ไทยส่งออกทุเรียนไปจีนประมาณ 7 แสนตัน มีมูลค่า 1 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งการใช้น้ำเพื่อเลี้ยงผลผลิตจากเดิมอยู่ที่ 100 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ต้องใช้ถึง 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งปริมาณการใช้ขึ้นอยู่กับผลิตผลที่ส่งออก แม้ปีนี้จะไม่มีปัญหาแต่ปลายปีน้ำแล้ง ทำให้ส่งออดผลผลิตปีหน้าจะได้รับผลกระทบ
นายเกรียงไกรกล่าวว่า สำหรับค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 ที่ปรับอยู่ที่ระดับ 4.70 บาทต่อหน่วย ส่งผลต่อราคาสินค้าบางประเภทที่ปรับขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งส่วนนี้อยากฝากเรื่องถึงกระทรวงพาณิชย์ให้ติดตามราคาสินค้าให้อยู่ระดับเหมาะสม ซึ่งที่กระทรวงพาณิชย์สามารถดูแลได้แน่นอนคือสินค้าควบคุม แต่สินค้าที่ควบคุมไม่ได้ก็อยากขอร้องให้ปรับราคาอย่างเหมาะสมต่อต้นทุนผู้ประกอบธุรกิจ และคำนึงถึงรายจ่ายของประชาชนด้วย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันสูงขึ้นมีการปรับราคาสินค้าแล้ว 1 ครั้ง และขณะนี้จะมีการปรับขึ้นเป็นตรั้งที่ 2 จากค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิต
“สิ่งเหล่านี้รอรัฐบาลใหม่ เพราะค่าไฟฟ้าน่าจะถูกปรับแล้วที่ 4.70 บาทต่อหน่วย และแก้ไขไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลใหม่ได้ทำงานร่วมกันใกล้ชิด แม้ที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้ง กรอ.พลังงาน และทำข้อตกลงระหว่างรัฐ-เอกชน แต่เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีข้อสรุป จึงหวังว่าจากนี้ถ้ามีการตกลงแล้วอยากให้แก้ไขทันที เพราะถ้าไม่แก้ไขจะเป็นปัญหาและภาระต่อประชาชน” นายเกรียงไกรกล่าว
เศรษฐา ฉะรัฐบาลบริหารพลาด ทำค่าไฟแพง ย้ำเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ลดค่าไฟทันที
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7643276
เศรษฐา ฉะรัฐบาลบริหารพลาด ต้นเหตุค่าไฟแพง แนะทางออก ย้ำชัด รัฐบาลเพื่อไทยพร้อมลดค่าไฟ-ค่าแก๊สทันที พร้อมเร่งเจรจาหาแหล่งก๊าซเพิ่ม
เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กในประเด็นค่าไฟฟ้า ระบุว่า
ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ประชาชนอาจมีความกังวลบิลค่าไฟที่แพงขึ้น ประกอบกับค่าพลังงาน ที่ส่งผลต่อค่าครองชีพของภาคธุรกิจที่ต้นทุนสูงขึ้น จากการบริหารพลังงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูง
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบริหารพลังงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูง และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีราคาสูงเข้ามาใช้ผลิตไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก จากการรับช่วงต่อสัมปทานการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ่าวไทยจาก บ.เชฟรอน ทำให้ผลิตก๊าซธรรมชาติ (LNG) ได้น้อยลงกว่าที่เคยทำได้ และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีราคาสูงเข้ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก รวมถึงก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในอ่าวไทยจะไม่เพียงพอสำหรับการผลิตไฟฟ้า รัฐบาลชุดนี้รู้อยู่แล้วแต่กลับไม่ได้เร่งต่อรองกับกัมพูชา เพื่อขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างไทย-กัมพูชา
นายเศรษฐา ระบุว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น ระยะสั้น จะลดราคาค่าไฟฟ้าทันที และตรึงราคาค่าไฟฟ้า ในระยะยาว จะเร่งเจรจาแหล่งพลังงาน ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา ต้องเจรจาลดค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้าด้วย ถ้าเรามีโอกาสได้ดำเนินนโยบาย ทุกภาคส่วนจะมีค่าไฟฟ้าที่ลดลง ค่าใช้จ่ายลดลง ประชาชนมีเงินเหลือมากขึ้น เอกชนมีกำไรมากขึ้น สินค้ามีราคาที่ถูกลง ทำให้แข่งขันกับประเทศอื่นทั่วโลกได้ เมื่อรวมเข้ากับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเสริมกัน ทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นตามที่พรรคเพื่อไทยได้ตั้งไว้
https://www.facebook.com/Thavisin.Official/posts/pfbid0garJZHMyEuRAHS1AeVVWQAVZTdXj2Gbzpi5u1mS8sLViByzRT2ywCLx1SiLdd1XMl