ศิธา-ณัฐวุฒิ ทะลวงฟันปม ‘ชังชาติ’ ยกศัพท์จารึกพ่อขุนรามฯอัด อย่าไล่ใครพ้นแผ่นดิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3956475
ศิธา-ณัฐวุฒิ ทะลวงฟันปม ‘ชังชาติ’ ยกศัพท์จารึกพ่อขุนรามฯอัด อย่าไล่ใครพ้นแผ่นดิน
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้า สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ มติชนxเดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “
สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR”
ในตอนหนึ่ง บนเวที “
ขุนศึก ประจัญบาน”นาย
ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคไทยสร้างไทย ตอบคำถามในหมวดการเมืองที่ถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดเรื่องการไล่คนที่เห็นว่าชังชาติออกนอกประเทศ พรรคของท่านมีแนวทางในเรื่องดังกล่าวอย่างไร ว่าตนเป็นคนติดตามข่าวทางอินเตอร์เน็ตอย่างละเอียด เวลามีการกล่าวหาว่าใครชังชาติ ชาวเน็ตเขาก็บอกว่าไม่ได้ชังชาติ และตอบเป็นคำสุภาพสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า “
แต่เขาชัง-ึง”
นาย
ศิธากล่าวว่า การที่คุณจะไปบอกว่าใครคนใดคนหนึ่งชังชาติเพื่อที่จะหาคะแนนเสียงให้กับตัวเอง การทำงานการเมืองมีอยู่สองอย่าง คือทำให้ตัวเองดีขึ้น แต่ถ้าไม่มีปัญญาคิดว่าจะทำให้ตัวเองดีกว่าคนอื่นอย่างไร และจะไปเหยียบคนอื่นให้ต่ำลง การไปกล่าวหาว่าเขาชังชาติหรือไปแบรนดิ้งว่าพรรคการเมืองนี้ชังชาติ สิ่งที่กลัวคือคนออกไปเลือกตั้งมีแค่ 37 ล้านเสียงโดยประมาณ เกิดมีสัก 10 ล้านเสียงไปเลือกพรรคที่คุณบอกว่าชังชาติ คุณกำลังจะส่งสัญญาณอะไร? จะบอกพี่น้องประชาชนว่ามีคนที่ชังชาติอยู่ 10 ล้านคนหรือ? มันไม่ใช่
“
ผมยืนยัน ผมเป็นทหาร ผมสวนสนามสาบานตน ผมมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมถามทุกพรรคการเมืองเขาก็ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้นมุขแบบนี้เลิกสักที คนที่เป็นผู้ใหญ่อีกไม่กี่ปีก็ล้มหายตายจาก คุณไม่คุยกับเด็กในวันนี้ ถึงเวลาที่คุณล้มหายตายจากไป เด็กเขาไม่มาคุย ถ้าเรารักชาติด้วยเหตุผล สิ่งที่รวมกันเป็นชาติไทยจะสถาพรยืนยงตลอดไป อย่าหาเสียงแบบนี้เลยครับ” นาย
ศิธากล่าว
ด้าน นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวตอบคำถามว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการไล่คนที่เห็นว่าชังชาติออกนอกประเทศ และพรรคของท่านมีแนวทางกับเรื่องดังกล่าวอย่างไรว่า ไม่เห็นด้วยกับการขับไล่ใครที่ถูกอ้างว่าชังชาติออกจากประเทศนี้ เพราะไม่เชื่อว่ามีคนไทยคนไหนที่ชังชาติ ยืนยันว่าสิ่งที่กำลังทำคือการไล่คนที่ยึดอำนาจออกนอกทำเนียบรัฐบาล และนี่คือภารกิจร่วมของคนไทยทุกคน ไม่เคยมีใครหรือข้อกล่าวหาใดๆ ในโลกนี้ที่ไล่คนที่เกิดบนแผ่นดินนี้และเป็นเจ้าของคนหนึ่งแผ่นดินนี้ออกไป พรรค พท.จะพยายามถึงที่สุดให้คนอยู่ด้วยกันด้วยกติกาที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเป็นสากล แม้ว่าเขาจะชังกัน เราร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน เราจะปฏิรูปกองทัพให้กองทัพอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลประชาชน
เราปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ว่าคนไทยชังชาติและเราขอประกาศให้คนไทยทุกคนว่าที่นี่คือแผ่นดินเรา บ้านเรา เมืองเรา กลับมาช่วยกันทำให้บ้านเราเป็นประชาธิปไตย ไม่มีใครชังชาติในประเทศนี้ ถ้า พท.เป็นรัฐบาล เราชนะการเลือกตั้งมาทุกครั้ง เราจะเป็นรัฐบาลครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราชนะแบบแลนด์สไลด์ หากเราไปถึงจุดนั้นได้เราจะไม่เหยียบย่ำคนแพ้ แต่เราจะบอกคนแพ้ว่าขอให้ยอมรับความพ่ายแพ้และเดินตามเรามาในวิถีทางประชาธิปไตย
'ธนาธร' อึ้งอุดรธานี ทีมงานแจ้ง แค่เวทีเล็กๆ ไปถึงไม่ใช่อย่างที่คิด
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7642623
‘ธนาธร’ อึ้งลงพื้นที่อุดรธานี ช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล ทีมงานแจ้ง แค่เวทีเล็กๆ พอไปถึงประชาชนจำนวนมาก แห่ฟังปราศรัย
วันที่ 3 พ.ค.2566 เพจ
พรรคก้าวไกล รายงานการลงพื้นที่หาเสียงของ นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ระบุว่า ‘
ธนาธร’ อึ้ง ทีมงานบรีฟว่าเวทีอุดรเล็กๆ ไปถึงอึ้ง ไม่ใหญ่แน่นะวิ
วันที่ 2 พฤษภาคม 2566
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เดินทางไปที่จังหวัดอุดรธานี หลังจากเสร็จจากเวทีดีเบตที่กรุงเทพฯ เพื่อรณรงค์หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี ของพรรคก้าวไกล ปรากฏว่าเที่ยวบินออกจาก กทม. ล่าช้า 1 ชั่วโมง
เมื่อไปถึงอุดรธานี ธนาธรขึ้นรถแห่พร้อมกับ
ณัฐพงศ์ พิพัฒน์ไชยศิริ ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 1 (เบอร์ 4) ไปยังเวทีปราศรัยขนาดย่อมหน้าร้านเคเอฟซี สาขายูดีทาวน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี สมทบกับผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี อีก 3 คนได้แก่
ภูษณิศา มหาวรากร ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 2 (เบอร์ 2),
นิธิศ รอดชมภู ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 3 (เบอร์ 4) และ
ศรีสวัสดิ์ ดวงพรม ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 5 (เบอร์ 6)
ทั้งนี้ ทีมงานในพื้นที่แจ้งว่าขอให้ธนาธรช่วยแวะมาที่เวทีปราศรัยย่อย ระบุเป็นเวทีเล็ก ๆ แต่เมื่อไปถึงสถานที่จริง พบว่าแม้ลักษณะเวที เป็นเพียงเวทียกพื้นขนาดย่อม แต่มีประชาชนรอฟังปราศรัยอยู่อย่างล้นหลาม ทั้งคนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรครวมถึงผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ทำให้จำนวนคนล้นลานหน้าตลาดยูดีทาวน์ โดยนอกจาก
ธนาธร ยังมี
อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ
ครูใหญ่ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ร่วมปราศรัยด้วย
พระเนติวิทย์ ลาสิกขา พร้อมสู้เรื่องเกณฑ์ทหาร ชี้ระบบเกณฑ์เหมือน ‘วินัย’ สร้างให้คนกลัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3956608
พระเนติวิทย์ ลาสิกขาแล้ว พร้อมสู้คดีไม่ไปเกณฑ์ทหาร ชี้ระบบเกณฑ์เหมือน ‘วินัย’ สร้างให้คนกลัว
จากกรณีที่
พระเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล หรือ พระจรณสมปนโน ระบุไม่ขอตอบว่าวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน จะเดินทางไปจับใบดำใบแดงตามหมายเรียกหรือไม่ แต่มีเซอร์ไพรส์แน่นอน ต่อมา สำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่านเผยแพร่แถลงการณ์ลายมือของพระเนติวิทย์ยืนยันตามเจตนารมณ์ที่เคยประกาศไว้เมื่อ 9 ปีก่อนว่าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการเกณฑ์ทหาร และขอโอกาสศึกษาในพระธรรมวินัยใช้ชีวิตสมณเพศถึงสิ้นเดือน (เเมษายน) นี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พระเนติวิทย์ระบุว่า ได้ลาสิกขาแล้ว พร้อมกันนี้ยังสอบบาลีได้ประโยค 1-2
พระเนติวิทย์เปิดเผยว่า ดังที่ผมได้เคยแจ้งขณะเป็นพระเนติวิทย์ในถ้อยแถลงส่วนตัวว่า นับแต่รัฐประหาร 2557 ผมก็ตาสว่างเห็นการบังคับเกณฑ์ทหารเป็นเครื่องมือควบคุมคน สร้างความกลัว และระบบนี้เป็นอุปสรรคต่อความเจริญงอกงามของผู้คนในสังคมและสร้างเสรีประชาธิปไตย แม้โดยส่วนตัวจะมีวิธีหลีกเลี่ยงได้มากมายโดยไม่ผิดกฎหมาย (เช่น เรียน รด.) แต่ก็คิดว่าวิธีนี้คนใช้เยอะแล้ว
และเราก็ควรมีสิทธิศักดิ์ศรีชัดในฐานะมนุษย์ว่าเรามีเสรีภาพในการเลือกพัฒนาชาติในแบบของเราได้ เราไม่ควรต้องกลัวกับระบบไม่เป็นธรรม ผมก็ได้มีเจตนามุ่งมั่นและออกแถลงการณ์ตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งก็ผ่านมาถึง 9 ปีแล้วว่าจะไม่เข้าร่วมระบบเกณฑ์ทหาร แม้จะต้องโดนดำเนินคดีหรืออะไรก็ตามที
แม้ตอนนี้ ผมก็ไม่เคยเปลี่ยนความเชื่อ ความตั้งใจของตน โดยเฉพาะสิ่งที่เราทำเราต่อต้าน เมื่อพิจารณาอย่างแยบคาย เป็นสิ่งที่ดีกับคนรุ่นหลังจากเรา ที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างปราศจากความกลัว สามารถรักชาติได้ดีขึ้น (เพราะเขามีสิทธิคิด สิทธิเลือก ไม่ใช่รักเพราะกลัวเกรง)
หากที่ผมไม่ไปที่หน่วยตรวจเลือดเกณฑ์ทหารเพื่อประกาศเจตนารมณ์นี้ด้วยตัวเองก็เพราะติดอ่านสอบบาลีประโยค 1-2 ซึ่งตนก็ตั้งใจศึกษาบาลีมาถึง 4-5 เดือน อยากสอบซ่อมให้เรียบร้อยแล้วก็จะสึกออกมาต่อสู้ ไม่ได้ต้องการหลีกเลี่ยงจะใช้ผ้าเหลืองเพื่อหลบหนี แม้อยากจะบวชต่ออีกสักพักก็ตาม
ขณะนี้ก็สอบซ่อมเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้ทำผิดที่เคยให้สัตย์ไว้ ก็ได้ลาสิกขาจากวัดญาณเวศกวันช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา และเมื่อวานแม่กองบาลีก็ประกาศผลแล้วว่าพระเนติวิทย์สอบได้ประโยค 1-2
ท่านเจ้าคุณได้ให้โอวาทตอนลาสิกขา คือ หลักอธิษฐานธรรม 4
1. ไม่พึงประมาทปัญญา
2. พึงมั่นคงและมุ่งมั่นในสัจจะ
3. พึงเพิ่มพูนจาคะการให้
4. พึงศึกษาสันติ สันติภาพภายในและโลกไร้สงคราม
ตอนนี้ก็กลับมาเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ครองเรือน เป็นผู้หนึ่งที่มั่นใจยิ่งขึ้นทุกทีว่าพระธรรมคำสอนสองพันกว่าปีนี้สามารถมีประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น และประโยชน์ในการพัฒนาสังคม ได้สัมผัสสุขอิงอามิสและไม่อิงอามิสความไม่เบียดเบียน จะนำเอาธรรมมาประยุกต์และเผยแพร่
เรื่องเกณฑ์ทหารนี้ไม่ได้ขัดกับที่ได้ศึกษา พุทธศาสนามีสองส่วนคือ ธรรม และ วินัย วินัยคือตัวระบบให้บรรลุจุดหมายคือธรรม ถ้าวินัยไม่ทำให้เกิดธรรม วินัยนั้นก็ใช้ไม่ได้
ระบบบังคับเกณฑ์ทหารเหมือนเป็นวินัย แต่ไม่ทำให้บรรลุความงอกงามของบุคคลและสังคม แต่ระบบนี้กลับสร้างความขยาด กลัว มีคนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจนเสียชีวิต สิ้นเปลืองงบประมาณเกินจำเป็น
วินัยนี้จึงไม่อยู่บนฐานธรรม เจตนาตอนแรกอาจจะดี แต่ไม่ได้ผล ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับธรรม ก็คือมีระบบสมัครใจ ให้สวัสดิการดีขึ้น กองทัพเองก็ได้ประโยชน์ และผู้คนก็ไม่ต้องสูญเสียงานที่ตนรักไปแต่ช่วยประเทศชาติสังคมในแนวทางตน แต่คนใฝ่อำนาจนิยมและคนรับสินบาทคาดสินบนจากระบบนี้จำนวนน้อยอาจจะเสียประโยชน์
ก็เรียนให้ทราบในเบื้องต้นเท่านี้ แจ้งความเป็นไปของตนและความมุ่งมั่นไม่คลอนแคลน ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเกื้อกูลกันมาโดยตลอด
ขอบุญกุศลที่ได้จากการอุปสมบท 10 เดือน เป็นพลวปัจจัยให้ทุกท่านเจริญรุ่งเรือง มีเมตตาต่อกัน เกื้อกูลสังคมของเราให้ปราศจากการเบียดเบียนและงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป
JJNY : ศิธา-ณัฐวุฒิ ทะลวงฟันปม ‘ชังชาติ’│'ธนาธร' อึ้งอุดรธานี│พระเนติวิทย์ ลาสิกขา│จับตากฟภ.ชงบอร์ดกกพ. ให้ซื้อไฟแพงลิ่ว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3956475
ศิธา-ณัฐวุฒิ ทะลวงฟันปม ‘ชังชาติ’ ยกศัพท์จารึกพ่อขุนรามฯอัด อย่าไล่ใครพ้นแผ่นดิน
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้า สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ มติชนxเดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR”
ในตอนหนึ่ง บนเวที “ขุนศึก ประจัญบาน”นายศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคไทยสร้างไทย ตอบคำถามในหมวดการเมืองที่ถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดเรื่องการไล่คนที่เห็นว่าชังชาติออกนอกประเทศ พรรคของท่านมีแนวทางในเรื่องดังกล่าวอย่างไร ว่าตนเป็นคนติดตามข่าวทางอินเตอร์เน็ตอย่างละเอียด เวลามีการกล่าวหาว่าใครชังชาติ ชาวเน็ตเขาก็บอกว่าไม่ได้ชังชาติ และตอบเป็นคำสุภาพสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า “แต่เขาชัง-ึง”
นายศิธากล่าวว่า การที่คุณจะไปบอกว่าใครคนใดคนหนึ่งชังชาติเพื่อที่จะหาคะแนนเสียงให้กับตัวเอง การทำงานการเมืองมีอยู่สองอย่าง คือทำให้ตัวเองดีขึ้น แต่ถ้าไม่มีปัญญาคิดว่าจะทำให้ตัวเองดีกว่าคนอื่นอย่างไร และจะไปเหยียบคนอื่นให้ต่ำลง การไปกล่าวหาว่าเขาชังชาติหรือไปแบรนดิ้งว่าพรรคการเมืองนี้ชังชาติ สิ่งที่กลัวคือคนออกไปเลือกตั้งมีแค่ 37 ล้านเสียงโดยประมาณ เกิดมีสัก 10 ล้านเสียงไปเลือกพรรคที่คุณบอกว่าชังชาติ คุณกำลังจะส่งสัญญาณอะไร? จะบอกพี่น้องประชาชนว่ามีคนที่ชังชาติอยู่ 10 ล้านคนหรือ? มันไม่ใช่
“ผมยืนยัน ผมเป็นทหาร ผมสวนสนามสาบานตน ผมมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมถามทุกพรรคการเมืองเขาก็ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้นมุขแบบนี้เลิกสักที คนที่เป็นผู้ใหญ่อีกไม่กี่ปีก็ล้มหายตายจาก คุณไม่คุยกับเด็กในวันนี้ ถึงเวลาที่คุณล้มหายตายจากไป เด็กเขาไม่มาคุย ถ้าเรารักชาติด้วยเหตุผล สิ่งที่รวมกันเป็นชาติไทยจะสถาพรยืนยงตลอดไป อย่าหาเสียงแบบนี้เลยครับ” นายศิธากล่าว
ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวตอบคำถามว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการไล่คนที่เห็นว่าชังชาติออกนอกประเทศ และพรรคของท่านมีแนวทางกับเรื่องดังกล่าวอย่างไรว่า ไม่เห็นด้วยกับการขับไล่ใครที่ถูกอ้างว่าชังชาติออกจากประเทศนี้ เพราะไม่เชื่อว่ามีคนไทยคนไหนที่ชังชาติ ยืนยันว่าสิ่งที่กำลังทำคือการไล่คนที่ยึดอำนาจออกนอกทำเนียบรัฐบาล และนี่คือภารกิจร่วมของคนไทยทุกคน ไม่เคยมีใครหรือข้อกล่าวหาใดๆ ในโลกนี้ที่ไล่คนที่เกิดบนแผ่นดินนี้และเป็นเจ้าของคนหนึ่งแผ่นดินนี้ออกไป พรรค พท.จะพยายามถึงที่สุดให้คนอยู่ด้วยกันด้วยกติกาที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเป็นสากล แม้ว่าเขาจะชังกัน เราร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน เราจะปฏิรูปกองทัพให้กองทัพอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลประชาชน
เราปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ว่าคนไทยชังชาติและเราขอประกาศให้คนไทยทุกคนว่าที่นี่คือแผ่นดินเรา บ้านเรา เมืองเรา กลับมาช่วยกันทำให้บ้านเราเป็นประชาธิปไตย ไม่มีใครชังชาติในประเทศนี้ ถ้า พท.เป็นรัฐบาล เราชนะการเลือกตั้งมาทุกครั้ง เราจะเป็นรัฐบาลครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราชนะแบบแลนด์สไลด์ หากเราไปถึงจุดนั้นได้เราจะไม่เหยียบย่ำคนแพ้ แต่เราจะบอกคนแพ้ว่าขอให้ยอมรับความพ่ายแพ้และเดินตามเรามาในวิถีทางประชาธิปไตย
'ธนาธร' อึ้งอุดรธานี ทีมงานแจ้ง แค่เวทีเล็กๆ ไปถึงไม่ใช่อย่างที่คิด
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7642623
‘ธนาธร’ อึ้งลงพื้นที่อุดรธานี ช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล ทีมงานแจ้ง แค่เวทีเล็กๆ พอไปถึงประชาชนจำนวนมาก แห่ฟังปราศรัย
วันที่ 3 พ.ค.2566 เพจ พรรคก้าวไกล รายงานการลงพื้นที่หาเสียงของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ระบุว่า ‘ธนาธร’ อึ้ง ทีมงานบรีฟว่าเวทีอุดรเล็กๆ ไปถึงอึ้ง ไม่ใหญ่แน่นะวิ
วันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เดินทางไปที่จังหวัดอุดรธานี หลังจากเสร็จจากเวทีดีเบตที่กรุงเทพฯ เพื่อรณรงค์หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี ของพรรคก้าวไกล ปรากฏว่าเที่ยวบินออกจาก กทม. ล่าช้า 1 ชั่วโมง
เมื่อไปถึงอุดรธานี ธนาธรขึ้นรถแห่พร้อมกับ ณัฐพงศ์ พิพัฒน์ไชยศิริ ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 1 (เบอร์ 4) ไปยังเวทีปราศรัยขนาดย่อมหน้าร้านเคเอฟซี สาขายูดีทาวน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี สมทบกับผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี อีก 3 คนได้แก่ ภูษณิศา มหาวรากร ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 2 (เบอร์ 2), นิธิศ รอดชมภู ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 3 (เบอร์ 4) และ ศรีสวัสดิ์ ดวงพรม ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 5 (เบอร์ 6)
ทั้งนี้ ทีมงานในพื้นที่แจ้งว่าขอให้ธนาธรช่วยแวะมาที่เวทีปราศรัยย่อย ระบุเป็นเวทีเล็ก ๆ แต่เมื่อไปถึงสถานที่จริง พบว่าแม้ลักษณะเวที เป็นเพียงเวทียกพื้นขนาดย่อม แต่มีประชาชนรอฟังปราศรัยอยู่อย่างล้นหลาม ทั้งคนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรครวมถึงผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ทำให้จำนวนคนล้นลานหน้าตลาดยูดีทาวน์ โดยนอกจากธนาธร ยังมี อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ร่วมปราศรัยด้วย
พระเนติวิทย์ ลาสิกขา พร้อมสู้เรื่องเกณฑ์ทหาร ชี้ระบบเกณฑ์เหมือน ‘วินัย’ สร้างให้คนกลัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3956608
พระเนติวิทย์ ลาสิกขาแล้ว พร้อมสู้คดีไม่ไปเกณฑ์ทหาร ชี้ระบบเกณฑ์เหมือน ‘วินัย’ สร้างให้คนกลัว
จากกรณีที่ พระเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล หรือ พระจรณสมปนโน ระบุไม่ขอตอบว่าวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน จะเดินทางไปจับใบดำใบแดงตามหมายเรียกหรือไม่ แต่มีเซอร์ไพรส์แน่นอน ต่อมา สำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่านเผยแพร่แถลงการณ์ลายมือของพระเนติวิทย์ยืนยันตามเจตนารมณ์ที่เคยประกาศไว้เมื่อ 9 ปีก่อนว่าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการเกณฑ์ทหาร และขอโอกาสศึกษาในพระธรรมวินัยใช้ชีวิตสมณเพศถึงสิ้นเดือน (เเมษายน) นี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พระเนติวิทย์ระบุว่า ได้ลาสิกขาแล้ว พร้อมกันนี้ยังสอบบาลีได้ประโยค 1-2
พระเนติวิทย์เปิดเผยว่า ดังที่ผมได้เคยแจ้งขณะเป็นพระเนติวิทย์ในถ้อยแถลงส่วนตัวว่า นับแต่รัฐประหาร 2557 ผมก็ตาสว่างเห็นการบังคับเกณฑ์ทหารเป็นเครื่องมือควบคุมคน สร้างความกลัว และระบบนี้เป็นอุปสรรคต่อความเจริญงอกงามของผู้คนในสังคมและสร้างเสรีประชาธิปไตย แม้โดยส่วนตัวจะมีวิธีหลีกเลี่ยงได้มากมายโดยไม่ผิดกฎหมาย (เช่น เรียน รด.) แต่ก็คิดว่าวิธีนี้คนใช้เยอะแล้ว
และเราก็ควรมีสิทธิศักดิ์ศรีชัดในฐานะมนุษย์ว่าเรามีเสรีภาพในการเลือกพัฒนาชาติในแบบของเราได้ เราไม่ควรต้องกลัวกับระบบไม่เป็นธรรม ผมก็ได้มีเจตนามุ่งมั่นและออกแถลงการณ์ตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งก็ผ่านมาถึง 9 ปีแล้วว่าจะไม่เข้าร่วมระบบเกณฑ์ทหาร แม้จะต้องโดนดำเนินคดีหรืออะไรก็ตามที
แม้ตอนนี้ ผมก็ไม่เคยเปลี่ยนความเชื่อ ความตั้งใจของตน โดยเฉพาะสิ่งที่เราทำเราต่อต้าน เมื่อพิจารณาอย่างแยบคาย เป็นสิ่งที่ดีกับคนรุ่นหลังจากเรา ที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างปราศจากความกลัว สามารถรักชาติได้ดีขึ้น (เพราะเขามีสิทธิคิด สิทธิเลือก ไม่ใช่รักเพราะกลัวเกรง)
หากที่ผมไม่ไปที่หน่วยตรวจเลือดเกณฑ์ทหารเพื่อประกาศเจตนารมณ์นี้ด้วยตัวเองก็เพราะติดอ่านสอบบาลีประโยค 1-2 ซึ่งตนก็ตั้งใจศึกษาบาลีมาถึง 4-5 เดือน อยากสอบซ่อมให้เรียบร้อยแล้วก็จะสึกออกมาต่อสู้ ไม่ได้ต้องการหลีกเลี่ยงจะใช้ผ้าเหลืองเพื่อหลบหนี แม้อยากจะบวชต่ออีกสักพักก็ตาม
ขณะนี้ก็สอบซ่อมเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้ทำผิดที่เคยให้สัตย์ไว้ ก็ได้ลาสิกขาจากวัดญาณเวศกวันช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา และเมื่อวานแม่กองบาลีก็ประกาศผลแล้วว่าพระเนติวิทย์สอบได้ประโยค 1-2
ท่านเจ้าคุณได้ให้โอวาทตอนลาสิกขา คือ หลักอธิษฐานธรรม 4
1. ไม่พึงประมาทปัญญา
2. พึงมั่นคงและมุ่งมั่นในสัจจะ
3. พึงเพิ่มพูนจาคะการให้
4. พึงศึกษาสันติ สันติภาพภายในและโลกไร้สงคราม
ตอนนี้ก็กลับมาเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ครองเรือน เป็นผู้หนึ่งที่มั่นใจยิ่งขึ้นทุกทีว่าพระธรรมคำสอนสองพันกว่าปีนี้สามารถมีประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น และประโยชน์ในการพัฒนาสังคม ได้สัมผัสสุขอิงอามิสและไม่อิงอามิสความไม่เบียดเบียน จะนำเอาธรรมมาประยุกต์และเผยแพร่
เรื่องเกณฑ์ทหารนี้ไม่ได้ขัดกับที่ได้ศึกษา พุทธศาสนามีสองส่วนคือ ธรรม และ วินัย วินัยคือตัวระบบให้บรรลุจุดหมายคือธรรม ถ้าวินัยไม่ทำให้เกิดธรรม วินัยนั้นก็ใช้ไม่ได้
ระบบบังคับเกณฑ์ทหารเหมือนเป็นวินัย แต่ไม่ทำให้บรรลุความงอกงามของบุคคลและสังคม แต่ระบบนี้กลับสร้างความขยาด กลัว มีคนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจนเสียชีวิต สิ้นเปลืองงบประมาณเกินจำเป็น
วินัยนี้จึงไม่อยู่บนฐานธรรม เจตนาตอนแรกอาจจะดี แต่ไม่ได้ผล ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับธรรม ก็คือมีระบบสมัครใจ ให้สวัสดิการดีขึ้น กองทัพเองก็ได้ประโยชน์ และผู้คนก็ไม่ต้องสูญเสียงานที่ตนรักไปแต่ช่วยประเทศชาติสังคมในแนวทางตน แต่คนใฝ่อำนาจนิยมและคนรับสินบาทคาดสินบนจากระบบนี้จำนวนน้อยอาจจะเสียประโยชน์
ก็เรียนให้ทราบในเบื้องต้นเท่านี้ แจ้งความเป็นไปของตนและความมุ่งมั่นไม่คลอนแคลน ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเกื้อกูลกันมาโดยตลอด
ขอบุญกุศลที่ได้จากการอุปสมบท 10 เดือน เป็นพลวปัจจัยให้ทุกท่านเจริญรุ่งเรือง มีเมตตาต่อกัน เกื้อกูลสังคมของเราให้ปราศจากการเบียดเบียนและงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป