มีปัญหากับแฟนที่กำลังคบกันครับ/เกย์/ชช

ผมคบกับแฟนมาได้สามเดือนกว่า ๆ แล้วครับ เป็นเกย์ทั้งคูนะครับ (ไม่ได้ตุ้งติ่งแอบสาวทั้งคู่ก็คือดูภายนอกก็เหมือนผู้ชายปกติทั่วไป ผมอายุ 22 ปี ส่วนแฟนอายุ 23 ปี) พบว่ามีปัญหาหลักดังนี้ครับ
1.      ไม่ค่อยหาเวลามาเจอเรา
2.      ไม่ยอมเปิดตัวเรากับคนอื่นเพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาเป็นเกย์
แฟนกลัวถึงการที่เพศสภาพของเขาจะถูกเปิดเผย ถ้าป๊า-ม้า รู้ สภาพในบ้านจะไม่เหมือนเดิม เขาบอกว่าจะถึงขนาดบ้านแตก กลัวเพื่อนรู้ กลัวจะโดนมองไม่เหมือนเดิม กลัวจะโดนรังเกียจ/บูลลี่ เพื่อนจะเลิกคบ กลัวอับอาย และกลัวว่าถ้าคนอื่นรู้ซักวันหนึ่งมันจะไปถึงหูที่บ้านได้ ว่าง่ายๆ คือกลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน
               ทุกวันนี้ก็คบกันโดยที่ปิดบังกัน ผลก็คือเราไม่รู้รายละเอียดหรือด้านอื่น ๆ ของเขาเลยจากคนอื่น มันทำให้ต้องมาเจอกัน ลับ ๆ ล่อ ๆ มิต่างอะไรกับเป็นชู้กัน มันไม่อิศระและสบายใจ แม้แต่จะเดินจับมือกันข้างนอกเขายังไม่กล้าเลย เท่าที่สังเกตุได้ เขาดูเหมือนจะเป็นคนขี้กลัว จิตใจเปราะบาง อ่อนแอ ไม่เข้มแข็งพอ ถ้าเอาตรง ๆ เหมือนเขาสนแค่ตัวเอง เอาแค่ตัวเองสบายใจพอ ไม่กล้าเผชิญและต่อสู้เอาชนะอุปสรรค เอาแต่หลบซ้อนในเงามืด คือตอนนี้เขาก็เริ่มทำงานมาได้ 1 เดือนแล้ว 
                ตอนแรกเขาก็ยื่นข้อเสนอตั้งแต่แรกที่คบกันว่าจะอยู่อย่างนี้นะ ไม่เปิดตัวนะ ตอนนั้นเราก็ตกลงลองคบดูใจกันศึกษากันไปก่อน เพราะต่างคนต่างเป็นแฟนคนแรกซึ่งกันและกัน วันนั้นที่เรายอมตกลงคบไปอย่างนั้น เพื่อที่จะให้คบกันให้ได้ก่อนและหวังว่าเดี๋ยววันหนึ่งเขาก็เปลี่ยนให้เราได้เอง 
ก็เคยถามเขาเป็นบางครั้งนะครับตลอดช่วงเวลาที่คบกันมาว่า “เราจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” เขาก็บอกว่า “ก็จนกว่าที่บ้านเขาจะไป” (ห๊ะ!!?? ว่าไงนะ! จะบ้ารึเปล่าเนี่ย! ใครมันจะไปรอนานขนาดนั้นได้ ตอนนี้ป๊า-ม้า ของเขาก็อายุประมาณ 60 ได้ อย่างต่ำคงต้องรอซัก 20-30 ปีได้กว่าทั้งสองท่านจะตาย ถึงตอนนั้นพวกผมก็คงอายุได้ 50 แล้ว พระเจ้า!!! มันเกินไปมั้ย??? ต้องหลบซ้อนกันไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ? ) ล่าสุดคุยกับเขาเรื่องนี้อีกทีเขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่า รอให้ที่บ้านไปก่อน เขายังคงยืนกรานว่าจะไม่มีวันยอมให้ป้า-ม้าของเขารู้เด็ดขาดว่าเขาเป็นเกย์และมีแฟนเป็นผู้ชาย //ปาดเหงื่อเลยกู// ผมเริ่มกะเกณฑ์ในอนาคตได้เลย และถามด้วยว่าถ้าเราตกลงปลงใจกันจริงๆ ถ้าในอนาคตสมรสเท่าเทียมมันผ่านเราจะจดทะเบียนกันมั้ย? เขาก็บอกว่าจดสิ จดแน่ๆ แต่คิดเหราว่าในอนาคตมันจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่มันคาดไม่ถึงจริงๆ เช่น วันดีคืนดีเขาต้องเข้าโรงพยาบาล ผมก็ต้องไปหาแน่ และแน่นอนป๊า-ม้าของเขาก็ต้องไป เกิดเจอกันขึ้นมายังไงความก็แตกอยู่ดี (ผมว่าเหตุการณ์อย่างในหนังในละครต้องมีแน่ๆ) หรือไม่ว่าจะเรื่องอื่นยังไงมันก็ปิดไม่พ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ความลับไม่มีในโลก อยู่แค่มันรอเวลาและเหตุปัจจัยที่พร้อม มันก็แดงออกมาเอง เท่าที่ดูแล้วเขาไม่มีความพยายามในการที่จะต่อสู้ฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคหรือสู้เพื่อให้คนอื่นยอมรับเลย เขาบอกผมว่าถ้าเลือกได้เขาระหว่างบอกความจริงและก็อธิบายให้คนอื่นยอมรับกับอยู่เฉยๆปิดเก็บเงียบไว้เขาขอเลือกอย่างหลังมากกว่าเพราะรู้สึกเหมือนมันเหนื่อย มันกินพลังงานเยอะ ผิดกับผมนะในชีวิตที่ผ่านมาผมสู้ทุกอย่างดิ้นรนฟันผ่าอะไรมา เช่น พ่อผมอยากให้เรียนหมอแต่ผมไม่ชอบอยากเรียนวิทยาศาสตร์ผมก็ไม่เอาผิดเถียงกับพ่อทำสงครามขับเคี่ยวกันมา 4 ปี เพราะผมถือว่าชีวิตเป็นขชองผม ผมไม่ยอมให้ใครมาชีดเส้นบงการชีวิตผมได้ “ชีวิตเป็นของกูเอง และกูเลือกที่จะลิขิตชีวิตกูเอง ไม่มีใครมาบังคับกูได้” ผมถือคตินี้มาตลอด แต่ตรงกันข้ามแหนเขากลับไม่ยอมที่จะต่อสู้เพื่อความสำพันธ์ของเราเลย เขาเลือกที่จะยอมจำนนกับสภาพแบบนี้ ผมคาดการณ์ออกเลยว่าในอนาคตผมคงต้องสู้คนเดียวแน่ๆ แต่ผมสู้คนเดียวไม่ได้ ผมอ่ะไม่ปล่อยมือเขาอยู่แล้ว แต่เขานี่สิปล่อยมือผมแน่ๆ ล่าสุดผมก็ทิ้งคำถามให้เขาไว้ว่า  “นี่แหละที่เป็นปัญหา จะซ่อนตัวเพื่อเอาชีวิตรอดหรือว่าจะสู้ให้อยู่ต่อไป?”
                เราจะหลอกตัวเองว่าทุกอย่างจะราบรื่นดีไม่มีอะไรหรอก ความลับจะคงอยู่ต่อไป ผลมันก็พอคาดเดากันได้แล้ว ซุกปัญหาไว้ใต้พรมแล้วเหยียบเอาไว้ ทำเป็นมองข้ามไม่สนใจมัน แล้วรอจนมันค่อยๆลุกลามและระเบิดขึ้นมางี้เหรอ?
                เขาก็เป็นแนว ๆ ยอมที่บ้านไปเกือบซะทุกอย่าง ผมยังเคยแซะเขาไปว่า “เธอนี่ก็เชื่องดีเหมือนกันนะ” เขาก็คอตกหงอยไปนิดนึง ถ้าเขาคิดว่าเราเป็นคนสำคัญในชีวิตเขา เขาต้องยอมพยายามให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา เขาจะพยายามทำให้เรามีตัวตนในชีวิตเขาให้ได้
                คืออย่างผมเนี่ยก็มีเพื่อน ๆ รู้ว่าผมเป็นเกย์ชอบผู้ชายประมาณ 10 คน แต่ที่บ้านยังไม่ได้บางและวางแผนไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องพยายามหาทางบอกให้ได้ แต่รอโอกาสและเวลาที่เหมาะสมอยู่ และคิดว่าจะพาแฟนไปเจอให้ที่บ้านรู้จักด้วย แต่ตรงกันข้ามฝ่ายเขาไม่มีใครรู้เลยแม้แต่เพื่อนสนิทเขาไม่เคยคิดจะ come out เลยแม้แต่น้อยและคิดจะปิดเอาไว้จนกว่าที่บ้านเขาจะตายไปกันหมด ไม่คิดจะพาไปเปิดตัวกับเพื่อนเข้าเลย สุดท้ายผมคงไม่สามารถเปลี่ยนเขาได้ ถ้าเขาไม่ยอมเปลี่ยนตัวเขาเอง ถ้าบอกตรง ๆ ผมก็อึดอัดในความสันพันธุ์แบบนี้นะครับ
                 ตอนนี้ผมตัดอารมณ์รัก ๆ ใคร่ ๆ ออกไปนะ แล้วว่าเอาดูตามตรรกะและเหตุผลล้วนๆอย่างเดียวเลย คือการคบกันเป็นแฟนมันก็ไม่ใช่ความรักกิ๊กก๊อกหวานไปวัน ๆ นะครับ ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็โตกันแล้วเข้าสู่วัยทำงานกันแล้ว การที่ต้องมาคบกันแบบลับๆล่อ ต้องคอยหลบเลี่ยงทุกคนที่เขารู้จัก เหมือนมีความผิดไปฆ่าใครตายมาอย่างนั้น สู้ทำให้ยอมรับกันทุกฝ่าย เข้าตามตรอกออกตามประตู ให้ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรมไม่ดีกว่างั้นเหรอ? รักแบบมีเงื่อนไขเยอะแบบนี้ก็ปวดหัวดีเหมือนกันนะครับ แรกๆมันก็โอเคนะครับ แต่หลัง ๆ มานานวันเข้าผมว่ามันเริ่มแปลก ๆ ละ เพราะก็ถามตลอดนะว่าไม่ได้คบกันเล่น ๆ นะจริงจังมากนะ เขาก็บอกว่าจริงจังเหมือนกัน
                สุดท้ายถ้าต้องเลิกกันตอนนี้ก็ดีว่าปล่อยให้มันคาราคาซังก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ยังไงก็ต้องเจ็บเหมือนกัน ถ้าตัดตอนนี้ก็เจ็บน้อยกว่า ผมนิยามไว้ว่าเขาอย่างกับแวมไพร์ที่ต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนในเงามืด มิอาจที่จะออกมายยืนท่านกลางแสงตะวันอันสว่างสดใสได้  ถ้าสุดท้ายเขาจะเอาแต่หลบในเงามืดไปตลอด ผมก็คงต้องบอกว่า “เชิญตามสบาย แต่กูไม่ขอเอาด้วยแล้วนะ อยากซ่อนอยู่แต่ในเงามืดก็เชิญเลย เต็มที่เลย กูขอบายนะ”
                ทุกท่านที่อุตสาห์อดทนอ่านมาถึงตอนนี้แล้วคิดเห็นเป็นเช่นไรครับ ผมควรเรียกเขามาคุยเรื่องนี้แบบเปิดอกเลย หรือเฝ้าสังเกตุไปอีกซักเดือนหนึ่งก่อนดีแล้วค่อยสรุปผล? ที่ผมมาตั้งกระทู้นี้คือต้องการเล่าปัญหา + ระบาย และเก็บข้อมูลเพิ่มเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ ขอบคุณทุก ๆ ท่านมีมาแสดงความคิดเห็นนะครับ
                                                                                                                                                                   ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2023
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่