สามีแบบนี้ ใครๆ ก็บอกว่า เราทนมาก จริงไหมคะ

เราแต่งงานกับสามี นับรวมถึงวันนี้ก็ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันมา 12 ปีแล้ว มีลูกด้วยกัน 2 คน  และเราเริ่มคิดมากขึ้นทุกวันจากปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่เลยก็ว่าได้  ปัญหาของเรา สามีมองว่า เป็นเพราะเราเห็นแก่เงิน ส่วนเรามองว่า เป็นเพราะ สามีนั่นแหละเห็นแก่ตัว .... ลองมาตัดสินกันดู นะคะว่าแบบไหน
เริ่มจากตัวเราเองมั้ง ที่เป็นคนผิด การเลือกคู่เรา เราไม่ได้ดูเลยว่า เขาจะรวยหรือจน ตอนนั้นถึงแม้เงินเดือนสามีจะน้อยกว่าเรา (ตอนแต่งงานสามีเงินเดือน ประมาณ 15,000 บาท ส่วนเราเงินเดือนประมาณ 20,000 บาท) เรา 2 คน รับราชการทั้งคู่ค่ะ  ซึ่งตอนเป็นแฟนกันเราไม่ได้มีปัญหาตรงนี้ เพราะนิสัยเราเป็นคนไม่ขอเงินผู้ชายใช้อยู่แล้ว ทุกอย่างตอนเป็นแฟนก็ช่วยกันจ่าย ช่วยกันหาร ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ตัวใครตัวมัน 
แต่พอแต่งงาน สามีจะเรียนต่อ ป.ตรี และผ่อนรถยนต์อีกคัน เพื่อใช้ไปเรียน  เพราะรถของเรา เราจะเอากลับบ้านพ่อแม่ในช่วงวันหยุด จึงให้เขาใช้ไปเรียนไม่ได้  ก็ยังโชคดีว่าพ่อแม่เขาช่วยดาวน์ส่วนนึง และเราก็เอาเงินเก็บเราช่วยดาวน์อีกส่วนนึง  ส่วนเขาก็ผ่อนไป เพราะรถชื่อเขา ทำให้เขามีรายจ่ายค่าผ่อนรถเดือนละ 8,000 บาท และค่าน้ำมันรถไปเรียนเพิ่มเติมมา ... ส่วนเรานั้น ก็ยังผ่อนรถตัวเองอยู่เดือนละ 6,500 บาท  เหตุนี้ทำให้ตอนเราท้อง จนถึงคลอดลูกออกมา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงตกอยู่ที่เราหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าฝากท้องแบบพิเศษ  ค่าหมอ อาหารบำรุง ค่ายา เสื้อผ้าของใช้ลูก ค่านม แพมเพิส ค่าวัคซีน ค่าน้ำมันไปหาหมอ ฯลฯ ส่วนเขาออกแค่ค่าห้องพิเศษที่เกินสิทธิ์เบิกมา ประมาณ 2,000 กว่าบาท แค่นั้นเลย ตลอดระยะเวลา 9 เดือน หลังคลอด ส่วนใหญ่เราก็ดูแลลูก เขาจะมาแค่เสาร์ อาทิตย์  ค่าใช้จ่ายก็นาน ๆ ออกสักที แบบเราเริ่มน้อยใจบอกให้เขาช่วย เขาจึงช่วย รู้สึกลูกคนแรก ตั้งแต่คลอดจนหย่านมชงตอน 5 ขวบ สามีเราซื้อนมให้ลูกแค่ 6 กระป๋อง (ลูกกินนมเดือนละ 4 กระป๋อง โดยประมาณ) ดังนั้น มันจึงทำให้เราซึ่งมีเงินเดือนแค่ 20,000 บาท หักค่าผ่อนรถ ค่าโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็เหลือไม่กี่บาท ต้องหาอาชีพเสริมทำ นั่นคือ ขายของออนไลน์
ซึ่งการขายของออนไลน์เมื่อช่วง10 ปีก่อนนั้น ขายง่ายมาก แม่ค้าไม่เยอะ กฎเกณฑ์ไม่ยุ่งยาก เราฝากลูกให้แม่เราช่วยเลี้ยงด้วย จึงมีเวลาขายของ เราขายของดีมาก สัปดาห์หนึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 10,000 – 20,000 บาท ทำให้เรามีเงินใช้จ่าย สามารถดูแลลูกได้ดี มีเงินพาลูกพาสามีไปเที่ยว เราเป็นคนชอบเที่ยว เวลาไปเที่ยวเราก็ออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง พูดง่ายๆ ว่า สามีไม่พกเงินเลยสักบาทก็สามารถเที่ยวทั่วไทยได้  พอลูกอายุ 2 ขวบกว่า เราก็เอาลูกมาเลี้ยงเอง เพราะไม่อยากรบกวนแม่มาก สงสารท่าน  การดูแลลูกทุกอย่างก็เป็นหน้าที่ของเรา ตั้งแต่ทำกับข้าว ป้อนข้าว อาบน้ำแต่งตัว รับ-ส่งโรงเรียน  สอนหนังสือ เล่นกับลูก พาลูกนอน  ดูแลตอนป่วย รวมทั้งงานบ้านทุกอย่าง ก็อยู่ที่เรา แถมค่าใช้จ่ายในบ้านเราก็รับผิดชอบเป็นส่วนใหญ่ สามีจะรับผิดชอบเฉพาะค่าไฟเท่านั้น (เนื่องจากอยู่บ้านพักข้าราชการของเขา ค่าไฟจึงโดนหักอัตโนมัติจากเงินเดือน) เหตุนี้  มันทำให้เราเริ่มเหนื่อยมากขึ้น  เพราะมีทั้งงานประจำ งานขายของ งานบ้าน และ เลี้ยงลูก ดังนั้น เรื่องส่วนตัวของสามี เราเลยยกให้เขารับผิดชอบเอง เช่น รีดผ้า ซักผ้าของเขาเอง หากินเอง เป็นต้น 
ต่อมา เราก็ท้องลูกคนที่ 2 เราก็ยังรับผิดชอบเหมือนเดิม คือ ทั้งงานประจำ งานขายของ งานบ้าน และ เลี้ยงลูก ขับรถไปฝากท้องเอง ไปหาหมอเอง และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเหมือนเดิม  พอท้องแก่ เราก็ต้องเลิกขายของออนไลน์ ด้วยสภาพร่างกายไม่ไหว ไม่สามารถนั่งแพคของนาน ๆ ได้ และยกของไปส่งก็ลำบาก พอใช้ให้เขาศึกษาเรื่องนี้ เพื่อได้ทำต่อ เขาก็มีข้ออ้างว่าไม่ถนัดเรื่องค้าขาย ทำให้เราต้องยกเลิกกิจการไป  วันคลอด ก็เหมือนเดิม เขารับผิดชอบแค่ค่าห้องส่วนเกินสิทธิ์เหมือนเดิม  และค่าใช้จ่ายของลูกหลังจากนี้ ก็ยังเป็นหน้าที่เราเหมือนเดิม
พอมีลูก 2 คน เราเริ่มไม่ไหวแล้ว ต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูก 2 คนไปด้วย (เรามีปัญหากับพี่น้อง เลยเอาลูกคนที่ 2 มาเลี้ยงเองตั้งแต่ขวบกว่าๆ พาลูกไปเลี้ยงที่ทำงาน จนมีกระแสดราม่าจากเพื่อนร่วมงานเยอะ แต่โชคดีว่าหัวหน้างานเข้าใจ)  แต่สามีเราใช้ชีวิตเหมือนเดิม  และพอผ่อนรถของเขาหมด  เขาบอกว่า จะซื้อรถใหม่ ลูกจะได้สบายเวลาเดินทางไปไหน  เลยขายรถคันเก่าไป และเอาเงินไปดาวน์รถคันใหม่ ราคาล้านกว่าบาท  (ในขณะที่เงินเดือนเขายังไม่ถึง 2 หมื่น ผ่อนรถเดือนละ 13,000 บาท) เราก็ห้ามแล้วเพราะรู้ว่า สุดท้าย ภาระทุกอย่างจะมาตกที่เราอีก แต่เขาสัญญาว่าจะช่วยหาเงิน  เขาก็เลยพยายามช่วย  ด้วยการขายของ เราจะได้เอาเวลามาดูแลลูก  แต่สุดท้าย เขาก็ไปไม่รอด ทำได้ประมาณปีกว่า ๆ ก็เลิกกิจการไปเลย ทุนหาย กำไรหด และก็ใช้เงินเดือนล้วน ๆ ค่ะ  ... คราวนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าภาระจะมาตกอยู่ที่ใคร  ก็เราเหมือนเดิมค่ะ แต่ตอนนี้ลูก 2 คน เลี้ยงเองไม่มีคนช่วย เราเหนื่อยสุด ๆ งานประจำก็เยอะขึ้น เพราะเลื่อนตำแหน่ง ขายของก็เริ่มยากขึ้นด้วยเงื่อนไขของเฟสบุค ไหนจะเลี้ยงลูก ไหนจะงานบ้าน  ทำให้เราเริ่มเครียด เริ่มชวนทะเลาะมากขึ้น  เพราะทำไม่ทัน ทำไม่ได้ดีสักอย่าง งานบ้านก็เละ งานที่ทำงานต้องขนเอามาทำที่บ้าน  งานขายของไม่ได้ทำ ลูกค้าหาย เลี้ยงลูกก็ไม่ค่อยมีเวลาให้มากเหมือนเดิม เพราะ 2 คน เอาไม่ทันเหมือนกัน  พอให้เขาช่วย เขาก็อ้าง 2 เหตุผล คือ (1) เงินเดือนน้อยต้องผ่อนรถ (2) งานประจำหนักไม่ค่อยมีเวลา (เขาออกไปทำงาน ก่อน 8 โมงเช้าทุกวัน และกลับมา 6 โมงเย็นอย่างเร็ว บางครั้งวันหยุดก็ไปทำงาน คือ เงินเดือน 2 หมื่น ทำงานแบบ 2 ล้านอ่ะ)  แต่ถามว่า ช่วยไหม งานบ้าน งานดูแลลูก เขา ก็ช่วยค่ะ แต่ก็ทำได้ไม่ดี เพราะเขาไม่เคยได้ทำมาก่อน (แบบล้างจาน ไม่ล้างช้อน  กวาดขยะมากองไม่โกย ซักผ้าไม่แยกผ้า )  .... และช่วงแต่งงานปีที่ 8 เป็นต้นมา เพราะเราขี้บ่นมั้ง ทำให้เขามีกิ๊กไปเรื่อย จับได้ก็เลิก เลิกคนนี้ ก็มีคนนั้น จนเราเลิกสนใจไปเลยค่ะ ขี้เกียจตามเช็ค ไม่จับโทรศัพท์ ไม่สนใจใส่ใจเรื่องสามีอีกเลยค่ะ ตั้งแต่ปีที่ 10 จะมีก็มีไป เราชวนทะเลาะเฉพาะเรี่องดูแลลูก กับเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียวค่ะ  จนเขาตราหน้าเราว่าเรา “เงินแก่เงิน”  คำนี้เจ็บมาก ๆ  จนเราขอหย่าเลยค่ะ  เจ็บกว่าการที่รู้ว่าเขาไปมีกิ๊กอีกนะ  แต่เขาไม่ยอมหย่า  บอกเห็นแก่ลูก แถมว่าเราอีกว่า เลิกรักเขาเพราะเขาจน  ไม่มีเงินให้ใช้  เขาบอกว่าเราเห็นแก่เงิน  ถ้าเราประหยัด เลิกเที่ยว เลิกฟุ่มเฟือย ก็จะไม่เหนื่อย ไม่ทุกข์  ซึ่งคนละเรื่องกันเลยค่ะ จุดประสงค์เรา “เราเรียกร้องความรับผิดชอบ เราไม่ได้เรียกร้องให้เขาเอาเงินมาดูแลเราค่ะ” ทุกครั้งที่ทะเลาะ เราจะบอกเขาตลอดว่า ให้เลือก จะทำงานหาเงินเพิ่ม แล้วให้เราเอาเวลาไปดูแลบ้านดูแลลูกได้เต็มที่ หรือ เขาจะดูแลบ้านดูแลลูกให้ดี เราจะได้เอาเวลาไปทำงานหาเงินเพิ่มจะได้ไม่ต้องขอเงินเขา ... แต่เขาไม่เคยเลือกค่ะ 
สรุป  คือ ถ้าเล่าละเอียดยาวมาก ๆ เพราะปัญหามันสะสมมา 12 ปี เอาเป็นว่า ตอนนี้เขาผ่อนรถหมดแล้วค่ะ มีรายได้เงินเดือน เดือนละ 25,000 บาท หักอะไรโน่นนี่ของราชการ ก็เหลือประมาณ 20,000 บาท เบี้ยเลี้ยงอะไรโน่นนี่ ก็รวมประมาณ เดือนละ 30,000 บาท ค่ะ ในขณะที่ของเราก็ประมาณ 45,000 บาท เราเลยคิดว่า ถึงเงินเดือนเราจะมากกว่า แต่เขาก็ไม่ได้น้อยแล้ว (เขาเคยพูดว่า เราเงินเดือนมากกว่า น่าจะเห็นใจเขา ซึ่งแน่นอนว่าระบบราชการ ยังไงๆ เขาก็ไม่มีทางเงินเดือนตามเราทัน นะ ... มันต้องหาเพิ่มทางอื่น เหมือนที่เราหาเพิ่มป่ะคะ) เมื่อเทียบกับตอนที่เรามีลูกคนแรก เราเงินเดือนแค่ 17,000 บาท และต้องรับผิดชอบทุกอย่าง เรายังทำมาได้  เราเลยยื่นข้อเสนอให้เขา รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน + ค่าใช้จ่ายเฉพาะของลูก แบบ 50/50 หารกันค่ะ หารออกมาแล้ว ตกอยู่ที่คนละประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ... แต่สุดท้าย คือ เงียบ ไม่รับข้อเสนอ และเลือกที่จะช่วยแบบให้เราทวงค่ะ คือ พอเงินเดือนเข้า เราต้องทวงไปว่า ฝากเงินให้ลูกด้วย จ่ายค่าเรียนพิเศษลูกด้วย จ่ายค่าโน่นนี่นั่นลูกด้วย  บางทีก็ให้ บางทีก็ทำมึนค่ะ เราด่าที ก็ทำดีที พอเราหายโกรธ ก็เหมือนเดิม จนเราจะเป็นบ้าแล้วค่ะ เพราะเป็นคนไม่ชอบขอเงินใครด้วย พอทวงเหมือนเราไปขอเงินเขาใช้  ทำให้บางทีเราก็รับผิดชอบไปเองเลยดีกว่า อย่างค่าใช้จ่ายในบ้าน ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเราเหมือนเดิมค่ะ ไม่งั้น ไม่มีสบู่ถูตัว ไม่มีแก๊สทำกับข้าว ไม่มีข้าวสารไว้กรอกหม้อ  ให้หย่าก็ไม่หย่า ไม่อะไรใดใด ไม่รู้จะเอายังไง เราบ้าใส่เขาแค่ไหน เขาก็ทนค่ะ เขาคงไม่เดือนร้อนอะไรมั้งคะ  ข้อดี ของเขาก็คงเป็นตรงนี้แหละค่ะ เขาทน  ไม่บ่น  ไม่ด่า ไม่ว่า เวลาทะเลาะส่วนใหญ่เขาจะเงียบ (ปัญหาเลยยังค้างคาอยู่ที่เรา)
คำถามคือ 
1. เราจะทำยังไงดีคะ?? เราควรทนต่อไปหรือไม่?? ความต้องการของเราที่แท้จริง คือ อยากให้เขาแสดงความเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัวให้มากกว่านี้  (เพราะตอนนี้ ลูกเริ่มโต ลูกเริ่มพูดบ่อยขึ้นค่ะ ว่า “พ่ออะไร ๆ ก็ให้แม่จ่าย” ตอนแรกลูกก็พูดแค่กับแม่ แต่ล่าสุดนี่ พูดตรงๆ กับพ่อเขาเลยค่ะ ... เราไม่อยากให้ลูกมองพ่อเขาแบบนี้ค่ะ )
2. ที่ผ่านมา เราเป็นแบบนี้ เราเป็นคนเห็นแก่เงินเหรอคะ?? ทั้งที่ (1) เราไม่เคยขอเงินเขามาใช้จ่ายส่วนตัวเลย  ไม่ว่าเรื่องอะไร แม้แต่เรื่องเที่ยว เราก็ใช้เงินเราค่ะ แถมพาเขาไปเที่ยวด้วย (หลัง ๆ เลยไปเที่ยวกับลูกค่ะ ไม่ชวนเขาไป เกลียดขึ้นมา ) (2) ค่าใช้จ่ายในบ้าน เราก็รับผิดชอบเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า เรา 90% เขา 10% (3) ค่าใช้จ่ายลูก เราก็รับผิดชอบเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า เรา 90% เขา 10% เอาง่าย ๆ เสื้อผ้าลูกที่แขวนเต็มตู้ เขาไม่เคยซื้อสักตัวเลยค่ะ มีที่ดูแลลูกบ้าง ก็พวกของกิน ของเล่น  นอกนั้นที่ชีวิตลูกสุขสบาย เราล้วน ๆ ค่ะ (4) วันครบรอบแต่งงาน  วันเกิด วันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ วันบ้าบออะไรที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เขาเรียกร้องของขวัญจากสามี เราไม่เคยเรียกร้องเลยค่ะ ตั้งแต่ป็นแฟนแล้ว ของขวัญที่สามีซื้อให้ มีแค่ชิ้นเดียวจริง ๆ ตั้งแต่แต่งงานมา คือ เสื้อบาติก ใส่ทำงาน และมีพาไปเลี้ยงข้าว 2-3 ครั้งในวันเกิด  ในขณะที่เราซื้อของให้เขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ไม่เคยรอวาระพิเศษด้วย (และมาเพลาๆ ไม่ค่อยซื้ออะไรให้เอาช่วงขึ้นปีที่ 8 นี่แหละค่ะ เริ่มเบื่อ) (4) เรามีเงินฝากให้ลูก มีกรมธรรม์ให้ลูก ซื้อทองเก็บให้ลูกทุกอย่างเงินเรานะคะ  ในขณะที่เขาไม่มีเลย  
3. มีสาว ๆ คนไหน ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเราบ้าง เราตอนนี้ดำเนินชีวิตครอบครัวยังไงคะ
4. เพื่อน ๆ ยุให้หย่า เราก็อยากจะหย่านะ แต่เขาไม่หย่า จะทำไงดี หรือทนดีกว่าคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่