JJNY : ธนาธรลุยสมุทรปราการ│โพลชี้ อย่างน้อย 75%จะไปเลือกตั้ง│ส.อ.ท.ไม่ถอย จี้รื้อค่าไฟ│สิงคโปร์แขวนคอชายมีส่วนลอบขนกัญชา

ธนาธร ลุยสมุทรปราการ ปลื้มปชช.เลือกตั้งแต่อนาคตใหม่ ลั่นก้าวไกลทำได้ดีกว่าแน่
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7631278
 
 
ธนาธร ลงพื้นที่สมุทรปราการ ช่วยผู้สมัครหาเสียง ปลื้มประชาชนชื่นชมผลงาน บอกเลือกตั้งแต่อนาคตใหม่ ลั่นก้าวไกล ทำได้ดีกว่าแน่นอน
 
เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 ที่ซอยโรงเรียนราชวินิต บางแก้ว จ.สมุทรปราการ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่หาเสียงช่วย นายวุฒินันท์ บุญชู ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 4 พรรคก้าวไกล เบอร์ 6 โดยร่วมกันเดินแจกแผ่นพับ และแนะนำตัวผู้สมัครตามบ้านเรือนประชาชน และร้านค้าจากปากซอยไปถึงท้ายซอย
 
โดยระหว่างการเดินหาเสียง ประชาชน พ่อค้าแม่ขาย และผู้สัญจรไปมา ต่างให้การตอบรับอย่างอบอุ่น มีทั้งผู้ที่เข้ามาขอถ่ายรูป พูดคุย และสอบถามถึงนโยบายพรรคก้าวไกลตลอดเส้นทาง ทั้งนี้ พบว่ามีผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลหลายราย ที่เข้ามาพูดคุยพร้อมบอกว่าเลือกมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่แล้ว
 
นายธนาธร ได้สอบถามถึงความพึงพอใจต่อผลงาน 4 ปีที่ผ่านมาของทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ว่ารู้สึกคุ้มค่าหรือไม่กับการลงคะแนนให้ ทุกคนต่างตอบว่าได้ติดตามผลการทำงานของพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ทั้งในและนอกสภาฯ มาตลอด 4 ปี ได้เห็นการทำงานการเมืองที่มีความแตกต่างจากในอดีตเป็นอย่างมาก ทำให้เริ่มสนใจติดตามการทำงานในสภาฯ มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการอภิปรายโดย ส.ส.พรรคก้าวไกล
 
นายธนาธร ได้กล่าวขอบคุณ พร้อมกล่าวว่า ในฐานะผู้ที่สร้างพรรคอนาคตใหม่มากับมือ และได้เห็นการทำงานของพรรคก้าวไกลต่อมา ยืนยันได้ว่าพรรคก้าวไกลวันนี้ มีทั้งประสบการณ์ เพื่อนร่วมทาง เครือข่าย และความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ตนมั่นใจและสามารถพูดได้เลยว่า พรรคก้าวไกลวันนี้จะทำได้ดีกว่าพรรคอนาคตใหม่แน่นอน
 

 
โพลชี้ คนไทยอย่างน้อย 75% จะไปเลือกตั้ง พรรคฝ่าย ปชต.แชมป์ปาร์ตี้ลิสต์
https://www.matichon.co.th/politics/news_3944208

โพลชี้ คนไทยอย่างน้อย 75% จะไปเลือกตั้ง พรรคฝ่าย ปชต.แชมป์ปาร์ตี้ลิสต์

เมื่อวันที่ 26 เมษายน รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เผยแพร่งานวิจัยส่วนบุคคลโดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามจากคนทั้งประเทศ (ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52.32 ล้านคน) จำนวน 4,588 คน ใน 57 จังหวัด เรื่อง ทัศนคติของประชาชนต่อการเลือกตั้งและสังคมการเมืองไทย 2566
 
ผลการวิจัยพบว่า
 
1. คำถามว่า “ท่านจะไปเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 หรือไม่” ตอบว่า ไปเลือกตั้ง ร้อยละ 90.72 ไม่ไปเลือกตั้ง ร้อยละ 1.85 ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 5.79 ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 1.64

แต่เมื่อพิจารณาพฤติกรรมการมาใช้สิทธิเลือกตั้งในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ปี 2554 มาใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 75.03 ปี 2562 มาใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 74.87 ดังนั้น สภาพการณ์เลือกตั้งปีนี้ที่คนไทยมีความกระตือรือร้นสูงมาก คาดได้ว่าน่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งปีนี้ ราวร้อยละ 75-80 หรือราว 39-42 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 52.28 ล้านคน (ผู้มีสิทธิเลือกตั้งปีนี้มีเพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 1.04 ล้านคน)

2. แม้จะมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งราว 39-42 ล้านคน แต่เนื่องจากบัตรเสียที่ผ่านมามีอยู่ระดับร้อยละ 5 หรือราว 2.1 ล้านเสียง และไม่ประสงค์ลงคะแนนราว 6 แสนเสียง หรือรวม 2.7 ล้านเสียง ทำให้คะแนนที่จะใช้นับเพื่อนำไปคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อจึงมีอยู่ที่ 36-39 ล้านเสียง ดังนั้น 100 ส.ส.บัญชีรายชื่อ น่าจะต้องได้คะแนนเสียงราว 3.6-3.9 แสนเสียงต่อ 1 ส.ส.บัญชีรายชื่อ

3. ผู้ตัดสินใจเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย รวมร้อยละ 64.71 ได้แก่ อันดับที่ 1 ก้าวไกล 36.46% อันดับที่ 2 เพื่อไทย 24.30% อันดับที่ 3 ประชาชาติ 2.25% อันดับที่ 4 เสรีรวมไทย 1.0% อันดับที่ 5 ไทยสร้างไทย 0.70% ซึ่งสอดคล้องกับสำนักนิด้าโพล (เมษายน) พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้ร้อยละ73.6 มติชน-เดลินิวส์โพล (ครั้งที่ 1) ได้ร้อยละ 74.10 ไทยรัฐโพล (ครั้งที่ 2) ได้ร้อยละ 63.31
คะแนนเสียงระดับ ร้อยละ 63-74 (ของสี่สำนักโพล) จากผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 75 จะเป็นคะแนนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยเบื้องต้นราว 22-26 ล้านเสียง

4. ผู้ที่ตัดสินใจเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจ คสช. และพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมร้อยละ 12.21 ได้แก่ อันดับที่ 1 รวมไทยสร้างชาติ 4.42% อันดับที่ 2 ประชาธิปัตย์ 2.76% อันดับที่ 3 ภูมิใจไทย 2.62% อันดับที่ 4 พลังประชารัฐ 2.06% อันดับที่ 5 ชาติไทยพัฒนา 0.35% ซึ่งสอดคล้องกับสำนักนิด้าโพล (เมษายน) ได้ร้อยละ 20.7 มติชน-เดลินิวส์โพล (ครั้งที่ 1) ได้ร้อยละ 19.52 ไทยรัฐโพล (ครั้งที่ 2) ได้ร้อยละ 30.87
 
คะแนนเสียงระดับ ร้อยละ 12-30 (ของสี่สำนักโพล) จากผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 75 จะเป็นคะแนนของพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจ คสช. และพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เบื้องต้นราว 4-10 ล้านเสียง
 
5. ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคการเมืองใด และไม่แสดงความเห็น รวมทั้งเลือกพรรคอื่นๆ ในระดับน้อยกว่าร้อยละ 1 นั้น มีจำนวนร้อยละ 23.08 หรือราว 8 ล้านเสียง
สำหรับอีกสามสำนักโพลนั้น ผู้ยังไม่ตัดสินใจและเลือกอื่นๆ นั้น สำนักนิด้าโพล (เมษายน) มีร้อยละ 5.7 มติชน-เดลินิวส์โพล (ครั้งที่ 1) มีร้อยละ 6.38 ไทยรัฐโพล (ครั้งที่ 2) มีร้อยละ 5.82
 
6. ข้อมูลการมาใช้สิทธิเลือกตั้งปี 2562
ภาคกลาง รวมกรุงเทพฯ ผู้มีสิทธิ 18.0 ล้านคน มาใช้สิทธิ 13.69 ล้านคน ร้อยละ 76.04 ไม่มาใช้สิทธิ 4.31 ล้านคน
ภาคอีสาน ผู้มีสิทธิ 17.18 ล้านคน มาใช้สิทธิ 12.21 ล้านคน ร้อยละ 71.08 ไม่มาใช้สิทธิ 4.97 ล้านคน
ภาคเหนือ ผู้มีสิทธิ 9.05 ล้านคน มาใช้สิทธิ 6.99 ล้านคน ร้อยละ 77.23 ไม่มาใช้สิทธิ 2.06 ล้านคน
ภาคใต้ ผู้มีสิทธิ 6.97 ล้านคน มาใช้สิทธิ 5.44 ล้านคน ร้อยละ 78.08 ไม่มาใช้สิทธิ 1.53 ล้านคน
จากข้อมูลการมาใช้สิทธิเลือกตั้งปี 2562 เห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์รณรงค์การมาใช้สิทธิเลือกตั้งควรพุ่งเป้าหมายที่ภาคอีสาน ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพฯ โดยภาคอีสานนั้น กว่าสิบจังหวัดมาใช้สิทธิในระดับน้อยกว่าร้อยละ 70 ขณะที่อัตราเฉลี่ยของการมาใช้สิทธิทั้งประเทศอยู่ที่ร้อยละ 74.87 หรือควรสร้างความรับรู้และวิธีการเอื้อให้ประชาชนสะดวกต่อการที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งในแบบต่างๆ มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มด้านข่าวสารและช่องทางข่าวสาร รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
 
7. บัตรเสีย
เลือกตั้งปี 2554 เป็นการเลือกตั้งแบบสองบัตร มีบัตรเสียแบบบัญชีรายชื่อ 1.72 ล้านบัตร หรือร้อยละ 4.90 บัตรเสียแบบเขตเลือกตั้ง 2.04 ล้าน หรือร้อยละ 5.79
เลือกตั้งปี 2562 เป็นการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว มีบัตรเสีย 2.13 ล้านบัตร หรือร้อยละ 5.58
 
บัตรเสียในระดับ 2 ล้านกว่าบัตรในรอบสิบปีที่ผ่านมา คือปัญหาที่ฝ่ายบริหารการเลือกตั้งจะต้องหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้เสียงของประชาชนตกน้ำหรือเป็นศูนย์ โดยต้องวิเคราะห์ถึงปัจจัยบัตรเสีย และการหาแนวทางแก้ไขในด้านอุปกรณ์การกาบัตร ทั้งปากกาที่มีคุณภาพ โต๊ะรองการกาบัตรที่เรียบ รวมทั้งการเอื้อให้ประชาชนไม่ต้องจดจำหมายเลขที่ต้องการจะกาบัตรเพราะเกิดความจำที่สับสน หนึ่งในปัจจัยนั้นคือไทยเปลี่ยนแปลงกฎกติกาการเลือกตั้งทุกครั้ง อันนับได้ว่าเป็นการทำลายหลักการประชาธิปไตย และทำลายอำนาจสูงสุดของประชาชน หรือการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการกดออกเสียงบัตรเลือกตั้ง เป็นต้น
 
ข้อมูลพื้นฐาน
 
งานวิจัยทัศนคติของประชาชนต่อการเลือกตั้งและสังคมการเมืองไทย 2566 มีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 4,588 คน เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6-17 เมษายน 2566
 
เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม : หญิง 2,439 คน (53.16%) ชาย 2,023 คน (44.09%) เพศหลากหลาย 126 คน (2.75%)
อายุของผู้ตอบแบบสอบถาม Gen Z (18-26 ปี) 1,915 คน (41.74%) Gen Y (27-44 ปี) 1,016 คน (22.10%) Gen X (44-58 ปี) 1,046 คน (22.80%) Gen Baby Boomer ขึ้นไป (59 ปีขึ้นไป) 613 คน (13.36%)
 
การศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถาม ประถมศึกษาหรือต่ำกว่า 492 คน (10.72%) มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า 971 คน (21.16%) อนุปริญญาหรือเทียบเท่า 542 คน (11.82%) ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า 2,210 คน (48.17%) สูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า 373 คน (8.13%)
อาชีพหลักของผู้ตอบแบบสอบถาม : นักเรียนนักศึกษา 1,529 คน (33.33%) เกษตรกร 456 คน (9.94%) พนักงานเอกชน 431คน (9.39%) รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน 471 คน (10.27%) เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ 602 คน (13.12%) ข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ 600 คน (13.08%) พ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน 329 คน (7.17%) อื่นๆ 170 คน (3.70%)
 
รายได้ต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถาม : ไม่มีรายได้ 939 คน (20.47%) รายได้ไม่เกิน 10,000 บาท 1,141 คน (24.87%) รายได้ 10,001-20,000 บาท 1,170 คน (25.50%) รายได้ 20,001-30,000 บาท 620 คน (13.51%) รายได้ 30,001-40,000 บาท 302 คน (6.58%) รายได้ 40,001 บาทขึ้นไป 416 คน (9.07%)


 
ส.อ.ท.ไม่ถอย จี้รื้อค่าไฟหลังปตท.แจ้งก๊าซถูก ด้านกกพ.ยันยึดเกณฑ์สกัดการเมืองแทรก
https://www.matichon.co.th/economy/news_3944223

ส.อ.ท.จี้รัฐรื้อค่าไฟหลังปตท.แจ้งก๊าซถูก 15 เหรียญฯ ด้านกกพ.ยันทำตามเกณฑ์สกัดการเมืองแทรก ช่วงกำหนดราคาปตท.แจ้ง 20 เหรียญฯ
 
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวกรณีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) มีมติลดค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม2566 เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย จากมติเดิม 4.77 บาทต่อหน่วย ตามข้อเสนอยืดหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ว่า มติดังกล่าวไม่เป็นไปตามต้นทุนจริงในปัจจุบันที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ลดเหลือระดับ 12-13 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่งกกพ.ยืนยันใช้ราคาแพงกว่าสถานการณ์ปัจจุบันคือ 20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู
 
ล่าสุดส.อ.ท.พบข้อมูลใหม่ว่าช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้รับผิดชอบจัดหาแอลเอ็นจี คือ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ได้ส่งตังเลขงวดพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 ใหม่ในอัตรา15 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ค่าเงินบาทประมาณการ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จะทำให้ค่าไฟอยู่ระดับ 4.52 บาทต่อหน่วย เมื่อลบกับการยืดหนี้กฟผ. 7 สตางค์ต่อหน่วย จะเหลือค่าไฟสุทธิ 4.45 บาทต่อหน่วย ขณะที่กกพ.ยืนยันใช้ราคาแอลเอ็นจี 20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ค่าเงินบาทประมาณการ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ค่าไฟอยู่ระดับ 4.77 บาทต่อหน่วย ลบยืดหนี้กฟผ.จะเหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย

อยากให้กกพ.มีระบบข้อมูลที่โปร่งใส เปิดเผยในทุกมิติ ไม่ลึกลับ และทันสมัยต่อสถานการณ์ รวมทั้งข้อมูลควรมีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ของประเทศ ควรแยกแยะระหว่างการแทรกแซงและข้อเสนอแนะ ควรดูว่ากลไกเดิมตอบโจทย์หรือไม่”นายอิศเรศกล่าวและว่า นอกจากนี้กรณีกกพ.ระบุให้เอกชนรับผิดชอบค่าไฟส่วนต่างหากราคาช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม2566 ราคาแอลเอ็นจีแพงกว่าที่ส.อ.ท.ระบุนั้น จากการหารือกับสมาชิกส.อ.ท.ต่างไม่พอใจ ไม่ควรท้าทาย เพราะส.อ.ท.อยากค่าไฟเป็นไปตามต้นทุนจริงที่เป็นธรรมทุกฝ่าย”นายอิศเรศกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่