1. ปาณาติบาต คือ ละเว้นจากการฆ่า คน/สัตว์ และการเบียดเบียนสัตว์
ศีลข้อนี้เป็นข้อห้ามที่มีเหตุผลหรือไม่?
เรื่องที่ ๑ : ห้ามฆ่า แต่ไม่ห้ามกิน (
http://www.dhammathai.org/store/sila/sila1.php )
ปัญหาเกี่ยวกับศีลข้อที่ ๑ ยังมีให้สงสัยอีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือปัญหาเรื่องการกินเนื้อสัตว์บางคน คงคิดว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์แล้ว ทำไมจึงไม่ทรงห้ามการกินเนื้อสัตว์เสียด้วยจะมิเข้าทำนองที่ว่า ปากว่าตาขยิบรึ ? ปัญหาตรงนี้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของพวกที่ทานเนื้อ กับพวกทานมังสวิรัติ มักจะมีปัญหาโต้แย้งกันอยู่เสมอ
“พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์” อดีตอนุศาสนาจารย์ แห่งกองทัพบก ท่านให้เหตุผลไว้อย่างนี้ครับการที่พระพุทธเจ้าห้ามฆ่า แต่ไม่ห้ามกินนั้น เพราะการกระทำทั้ง ๒ อย่าง มีเหตุ และ ผลไม่เหมือนกัน
A.
การฆ่านั้นจิตของผู้ฆ่าจะต้องตกอยู่ในอำนาจของกิเลส อย่างหนึ่งอย่างใด ถ้าไม่โลภก็โกรธ ไม่โกรธก็หลง จึงจะฆ่าได้ ถ้าจิตเป็นอิสระแก่ตัว คือไม่มีอาการดังกล่าวครอบงำ คนเราจะไม่ฆ่าสัตว์ การฆ่าทุกครั้ง จะต้องกระทำในขณะจิตผิดปกติ เสมอ ฉะนั้นการฆ่าแต่ละครั้งจึงมีผล ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตของผู้ฆ่า หมายความว่า การฆ่าทำให้จิตทรุดต่ำลงทุกครั้ง จะแคล้วคลาดไปไม่ได้เลยเพราะฉะนั้น ท่านจึงห้ามฆ่า
B.
ทีนี้การกินไม่เป็นอย่างนั้น จิตไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ และไม่ต้องหลง ก็กินได้ และเนื้อสัตว์ที่ปราศจากชีวิตแล้ว เขาแล่มาขาย จำหน่ายจ่ายแจกกันมาเป็นทอดๆ ย่อมมีสภาพเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งจะทิ้งก็เน่าจะกินก็อิ่ม ไม่มีเชื้อบาปเชื้อกรรมติดอยู่ในเนื้อนั้นเลย พระพุทธองค์ จึงไม่ทรงห้ามการกินเนื้อสัตว์ ชัดเจนใช่ไหมครับ สำหรับคำชี้แจงเรื่อง“ ห้ามฆ่า แต่ ทำไมไม่ห้ามกิน ? ”
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเหตุผลและการตีความของท่าน พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ เท่านั้น เราลองมาทำใจให้เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วพิจารณาเหตุผลดูซิว่า ทำไมห้ามฆ่า จึงไม่ห้ามกิน ?
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พระพุทธศาสนาเกิดมาภายใต้อิทธิพลของศาสนาฮินดูพวกทานมังสวิรัติ ดังนั้นเบ็ญจศีล จึงอาจจะเป็นคำสอนของ ปราชญ์ฮินดูผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งนี้เพราะว่าครอบครัวของพระพุทธองค์เป็นชาวฮินดูคำสอนเหล่านี้จึงฝังอยู่ในความทรงจำของท่าน และพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า เป็นหลักคำสอนที่ดีจึงเอามาบรรจุไว้ในหลักธรรมเบื้องต้นของพระพุทธศาสนา
ศีลข้อนี้จะมีเหตุผลและถือเป็นข้อปฏิบัติและสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะต้องมีขัอยกเว้น คือ ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ฆ่าศัตรูที่มารุกรานบ้านเมือง
ฆ่าผู้ร้ายที่กำลังจะทำร้ายตัวเราหรือสมาชิกในครอบครัวของเรา การห้ามฆ่าสัตว์หรือคนร้ายที่หมายชีวิตของลูกเมียเราขาดเหตุผล และจะไม่ทำให้เขาผู้นั้น บรรลุความสุขในชีวิตได้ เพราะต้องตายเสียก่อน และจะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ได้เนื่องจากการเจ็บป่วยและการยอมจำนนต่อสิ่งเลวร้าย เราจะเห็นว่าบางบ้าน จอมปลวกขึ้นใต้ถุนบ้านจนทะลุพื้นบ้านแต่ไม่กล้าที่จะกำจัดปลวกเพราะเกรงว่าจะผิดศีลข้อนี้ ศีลข้อนี้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์หรือไม่?
จากคำอธิบายที่กล่าวมานั้น การฆ่าสัตว์ และความอยาก (กินหมูกะทะ) ทั้งสองอย่างนี้เป็นกิเลสด้วยกันทั้งนั้น แต่ท่าน“พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์” ท่านเลี่ยงว่า การฆ่าสัตว์ เป็นกิเลส แต่ ความอยาก (กินหมูกะทะ) ไม่ใช่กิเลส ซึ่งผิดแต่ตรงนี้แล้ว หวังว่าพุทธสมาชิกคงอธิบายความข้องใจของผมได้ ว่าทำไม การกินเนื้อสัตว์ที่เราไม่ฆ่าเองจึงไม่ผิดศีลข้อ 1. (ทั้งๆที่การกินเนื้อย่อมเป็นการส่งเสริมการฆ่า ซึ่งเท่ากับฆ่าเข่นกัน)
1. ปาณาติบาต คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ และการเบียดเบียนสัตว์
ศีลข้อนี้เป็นข้อห้ามที่มีเหตุผลหรือไม่?
เรื่องที่ ๑ : ห้ามฆ่า แต่ไม่ห้ามกิน ( http://www.dhammathai.org/store/sila/sila1.php )
ปัญหาเกี่ยวกับศีลข้อที่ ๑ ยังมีให้สงสัยอีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือปัญหาเรื่องการกินเนื้อสัตว์บางคน คงคิดว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์แล้ว ทำไมจึงไม่ทรงห้ามการกินเนื้อสัตว์เสียด้วยจะมิเข้าทำนองที่ว่า ปากว่าตาขยิบรึ ? ปัญหาตรงนี้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของพวกที่ทานเนื้อ กับพวกทานมังสวิรัติ มักจะมีปัญหาโต้แย้งกันอยู่เสมอ
“พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์” อดีตอนุศาสนาจารย์ แห่งกองทัพบก ท่านให้เหตุผลไว้อย่างนี้ครับการที่พระพุทธเจ้าห้ามฆ่า แต่ไม่ห้ามกินนั้น เพราะการกระทำทั้ง ๒ อย่าง มีเหตุ และ ผลไม่เหมือนกัน
A. การฆ่านั้นจิตของผู้ฆ่าจะต้องตกอยู่ในอำนาจของกิเลส อย่างหนึ่งอย่างใด ถ้าไม่โลภก็โกรธ ไม่โกรธก็หลง จึงจะฆ่าได้ ถ้าจิตเป็นอิสระแก่ตัว คือไม่มีอาการดังกล่าวครอบงำ คนเราจะไม่ฆ่าสัตว์ การฆ่าทุกครั้ง จะต้องกระทำในขณะจิตผิดปกติ เสมอ ฉะนั้นการฆ่าแต่ละครั้งจึงมีผล ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตของผู้ฆ่า หมายความว่า การฆ่าทำให้จิตทรุดต่ำลงทุกครั้ง จะแคล้วคลาดไปไม่ได้เลยเพราะฉะนั้น ท่านจึงห้ามฆ่า
B. ทีนี้การกินไม่เป็นอย่างนั้น จิตไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ และไม่ต้องหลง ก็กินได้ และเนื้อสัตว์ที่ปราศจากชีวิตแล้ว เขาแล่มาขาย จำหน่ายจ่ายแจกกันมาเป็นทอดๆ ย่อมมีสภาพเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งจะทิ้งก็เน่าจะกินก็อิ่ม ไม่มีเชื้อบาปเชื้อกรรมติดอยู่ในเนื้อนั้นเลย พระพุทธองค์ จึงไม่ทรงห้ามการกินเนื้อสัตว์ ชัดเจนใช่ไหมครับ สำหรับคำชี้แจงเรื่อง“ ห้ามฆ่า แต่ ทำไมไม่ห้ามกิน ? ”
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเหตุผลและการตีความของท่าน พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ เท่านั้น เราลองมาทำใจให้เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วพิจารณาเหตุผลดูซิว่า ทำไมห้ามฆ่า จึงไม่ห้ามกิน ?
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พระพุทธศาสนาเกิดมาภายใต้อิทธิพลของศาสนาฮินดูพวกทานมังสวิรัติ ดังนั้นเบ็ญจศีล จึงอาจจะเป็นคำสอนของ ปราชญ์ฮินดูผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งนี้เพราะว่าครอบครัวของพระพุทธองค์เป็นชาวฮินดูคำสอนเหล่านี้จึงฝังอยู่ในความทรงจำของท่าน และพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า เป็นหลักคำสอนที่ดีจึงเอามาบรรจุไว้ในหลักธรรมเบื้องต้นของพระพุทธศาสนา
ศีลข้อนี้จะมีเหตุผลและถือเป็นข้อปฏิบัติและสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะต้องมีขัอยกเว้น คือ ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ฆ่าศัตรูที่มารุกรานบ้านเมือง
ฆ่าผู้ร้ายที่กำลังจะทำร้ายตัวเราหรือสมาชิกในครอบครัวของเรา การห้ามฆ่าสัตว์หรือคนร้ายที่หมายชีวิตของลูกเมียเราขาดเหตุผล และจะไม่ทำให้เขาผู้นั้น บรรลุความสุขในชีวิตได้ เพราะต้องตายเสียก่อน และจะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ได้เนื่องจากการเจ็บป่วยและการยอมจำนนต่อสิ่งเลวร้าย เราจะเห็นว่าบางบ้าน จอมปลวกขึ้นใต้ถุนบ้านจนทะลุพื้นบ้านแต่ไม่กล้าที่จะกำจัดปลวกเพราะเกรงว่าจะผิดศีลข้อนี้ ศีลข้อนี้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์หรือไม่?
จากคำอธิบายที่กล่าวมานั้น การฆ่าสัตว์ และความอยาก (กินหมูกะทะ) ทั้งสองอย่างนี้เป็นกิเลสด้วยกันทั้งนั้น แต่ท่าน“พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์” ท่านเลี่ยงว่า การฆ่าสัตว์ เป็นกิเลส แต่ ความอยาก (กินหมูกะทะ) ไม่ใช่กิเลส ซึ่งผิดแต่ตรงนี้แล้ว หวังว่าพุทธสมาชิกคงอธิบายความข้องใจของผมได้ ว่าทำไม การกินเนื้อสัตว์ที่เราไม่ฆ่าเองจึงไม่ผิดศีลข้อ 1. (ทั้งๆที่การกินเนื้อย่อมเป็นการส่งเสริมการฆ่า ซึ่งเท่ากับฆ่าเข่นกัน)