ผู้รู้ คือ ไม่คิด
ผู้คิค คือ ไม่รู้
เมื่อผู้คิดดับลง ผู้รู้ (สมาธิ) จะเด่นชัดขึ้น
แต่เมื่อผู้คิดกลับมา ผู้รู้ก็จะดับลง
สองสิ่งนี้ตรงกันข้ามกันชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น นั่งสมาธิ ฟังธรรมเกิดจิตสงบเป็นอัปนาสมาธิ ผู้รู้เด่นชัดขึ้นระหว่างฟังธรรม ธรรมนั้นเข้ามายังกาย (หู) ผู้รู้ได้ยินเด่นชัด เข้าใจแต่ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่มีการปรุงแต่งต่อแม้แต่น้อย ว่าธรรมนั้นถูก หรือ ผิด ธรรมนั้นผ่านเข้ามา 100% ก็ออกไป 100% เหมือนน้ำกลึ้งไปบนใบบอน หลังจากออกสมาธิสมองจำธรรมไม่ได้เลย เพราะจิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบหรือเอกัคตาและอุเบกขา แต่ผู้รู้บันทึกธรรมไว้หมดแล้วในจิต
ต่างจากผู้คิด คือ ฟังธรรมเข้าแล้ว เกิดการคิด พิจารณา ปรุงแต่งตามกิเลส ว่าธรรมนั้นดีหรือไม่ดี ควรเป็นอย่างนั้น ควรเป็นอย่างนึ้ เชื่อมโยงกับสิ่งนั้นกับสิ่งนี้ อันนี้สมเหตุสมผล อันนี้ไม่สมเหตุ สมผล ตามระดับกิเลสของแต่ละคน เกิดเป็นความฟุ้งซ่านในจิต
รู้ คือ ไม่คิด ผู้คิค คือ ไม่รู้
ผู้คิค คือ ไม่รู้
เมื่อผู้คิดดับลง ผู้รู้ (สมาธิ) จะเด่นชัดขึ้น
แต่เมื่อผู้คิดกลับมา ผู้รู้ก็จะดับลง
สองสิ่งนี้ตรงกันข้ามกันชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น นั่งสมาธิ ฟังธรรมเกิดจิตสงบเป็นอัปนาสมาธิ ผู้รู้เด่นชัดขึ้นระหว่างฟังธรรม ธรรมนั้นเข้ามายังกาย (หู) ผู้รู้ได้ยินเด่นชัด เข้าใจแต่ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่มีการปรุงแต่งต่อแม้แต่น้อย ว่าธรรมนั้นถูก หรือ ผิด ธรรมนั้นผ่านเข้ามา 100% ก็ออกไป 100% เหมือนน้ำกลึ้งไปบนใบบอน หลังจากออกสมาธิสมองจำธรรมไม่ได้เลย เพราะจิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบหรือเอกัคตาและอุเบกขา แต่ผู้รู้บันทึกธรรมไว้หมดแล้วในจิต
ต่างจากผู้คิด คือ ฟังธรรมเข้าแล้ว เกิดการคิด พิจารณา ปรุงแต่งตามกิเลส ว่าธรรมนั้นดีหรือไม่ดี ควรเป็นอย่างนั้น ควรเป็นอย่างนึ้ เชื่อมโยงกับสิ่งนั้นกับสิ่งนี้ อันนี้สมเหตุสมผล อันนี้ไม่สมเหตุ สมผล ตามระดับกิเลสของแต่ละคน เกิดเป็นความฟุ้งซ่านในจิต