JJNY : 'เศรษฐา'ไม่จับมือ พปชร.-รทสช.│'ธนาธร' ลั่นประเทศไทยดีกว่านี้ได้│หอค้ารุกรบ.แก้ค่าไฟ│ยูเครนซ้อมโต้กลับฤดูใบไม้ผลิ

'เศรษฐา' ประกาศลั่น ไม่จับมือ พปชร.-รทสช. กร้าวเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7624484
 
 
‘เศรษฐา’ ประกาศลั่น ไม่จับมือ พปชร.-รทสช. ชี้มีส่วนร่วมทำรัฐประหาร กร้าวเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ขอต่างคนต่างอยู่ ไม่ร่วมแน่นอน

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 21 เม.ย. 2566 ที่ลานกีฬากลางเชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และคณะ เดินทางมาเวทีปราศรัยที่ 3 ช่วยนายสมเจตน์ แสงเจริญรัตน์ ผู้สมัคร  ส.ส.เลย เขต 4 เบอร์ 1 หาเสียง โดยมีประชาชนร่วมฟังการปราศรัยล้นออกนอกพื้นที่

นายเศรษฐา ปราศรัยตอนหนึ่งถึงปัญหาค่าไฟที่มีราคาแพงว่า อากาศร้อนเจอบิลค่าไฟก็หนาวแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลต่างก็บอกว่าถ้าได้กลับมาจะแก้ปัญหาให้ แต่เหตุใดวันนี้เป็นรัฐบาลอยู่ ทำไมยังไม่ทำ ถ้าเกิดว่าทำได้จริงทำไมไม่ทำตั้งแต่วันนี้ ตนคิดว่าพวกท่านไม่มีโอกาสได้กลับเข้ามาอีกแล้ว จากนี้เป็นหน้าที่ของพรรค พท. เพราะปัญหาของพี่น้องประชาชนต้องทำทันที อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ความเดือดร้อนของประชาชนอยู่ในหัวใจของพรรค พท.ทุกคน
จากนั้นเวลา 18.30 น. นายเศรษฐาและคณะ เดินทางไปยังเวทีปราศรัยจุดที่ 4 เวทีสุดท้ายของวัน ที่สนามกีฬา รร.บ้านวังสะพุง อ.วังสะพุง จ.เลย ช่วยผู้สมัคร ส.ส.เลย พรรคพท.ประกอบด้วย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 3 นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ เขต 2 เบอร์ 5 นายบรรพต ยาฟอง เขต 3 เบอร์ 9 และนายสมเจตน์ แสงเจริญรัตน์ เขต 4 เบอร์ 1 โดยมีประชาชนร่วมฟังการปราศรัยเต็มพื้นที่
 
นายเศรษฐา ปราศรัยว่า มีเสียงพูดตลอดเวลา มีคำถามตลอดเวลาว่าพรรคพท.จะไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติหรือเปล่า พี่น้องอยากให้ร่วมหรือไม่ เราพูดหลายหนว่าพรรค พท.ตั้งใจเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เราไม่ต้องการร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
 
ขอให้พี่น้องชาวเลยร่วมเป็นสักขีพยานว่าเราไม่ร่วมกับสองพรรคนี้ เพราะสองพรรคนี้มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ปล้นอำนาจอธิปไตยจากประชาชน พรรคพท.เป็นเรือใหญ่ พรรคพวกนี้เป็นเรือเล็กพายอยู่ข้างๆ ดังนั้นไม่ต้องมาอยู่ใกล้กัน ต่างคนต่างอยู่ ไม่ร่วมกันแน่นอน
 
นายเศรษฐา ปราศรัยต่อว่า พรรคเหล่านี้เวลามาหาเสียงบอกจะลดค่าไฟ บอกจะทำโน่นทำนี่ ทั้งที่เป็นรัฐบาลอยู่ทำไมไม่ทำ วันนี้พี่น้องอีสานมีปัญหาเรื่องพลังงาน หากเราเป็นรัฐบาล ค่าไฟ ค่าน้ำมันลงทันที อย่ามาหาเหตุผลว่าทำไมราคาลงไม่ได้ทั้งที่พี่น้องเดือดร้อน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้อตอบสนองให้พี่น้องอยู่เย็นเป็นสุข
 
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า วันนี้พี่น้องอยู่ในวังวนความยากจนทั้งที่รัฐบาลปัจจุบันบริหารมาต่อเนื่อง 8 ปี ดังนั้นต้อพอเสียที หากพรรคพท.ได้รับความไว้วางใจ ภายใน 4 ปีรายได้พี่น้องจะเพิ่มขึ้นสามเท่า เราจะเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ เพื่อให้พี่น้องมีตลาดไปขายสินค้า พี่น้องที่มีปัญหาที่ดิน เราจะจัดหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินให้พี่น้อง 50 ล้านไร่ เราจะทำชลประทานเพิ่ม 15 ล้านไร่
 
กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเพื่อไทยไม่ได้รับเลือกตั้ง นโยบายที่พูดมาจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเพื่อไทยไม่เข้ามาแบบแลนด์สไลด์ เพื่อผลักดันนโยบายๆ วันนี้ผมขอวิงวอน มาขอเสียงจากใจของผมในฐานะมือใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาในวงการการเมือง ผมเห็นแววตาพี่น้องเดือดร้อน ผมเองวันนี้อายุ 62 ปีแล้ว ถึงจุดที่ว่าไม่ไหวแล้ว ผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ดังนั้น วันที่ 14 พ.ค. ขอให้พี่น้องกาเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้นายกฯ มาจากพรรคพท.” นายเศรษฐา ระบุ



'ธนาธร' ลั่นประเทศไทยดีกว่านี้ได้ ขอเลือก "ก้าวไกล" 2 ใบ เป็นรัฐบาล
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7624229

‘ธนาธร’ ลุยแปดริ้ว-ชลบุรี บุกแปดริ้ว ลั่นประเทศไทยดีกว่านี้ได้ ขอเลือก “ก้าวไกล” 2 ใบ เป็นรัฐบาล แก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่เอื้อนายทุน
 
วันที่ 21 เม.ย. 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เดินสายช่วยผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล หาเสียงที่ จ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา พบปะประชาชนพร้อมกับผู้สมัคร ส.ส. ประกอบด้วย น.ส.วรรณิดา นพสิทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 2 (เบอร์ 3), นายเอกราช เนตรดี ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 3 (เบอร์ 1), นายนพรัตน์ มุริกะ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 (เบอร์ 2) และนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 4 (เบอร์ 2) นายธนาธร กล่าวว่า แม้จะมีหลายคนที่เห็นว่าเลือกตั้งกี่ครั้งก็เหมือนเดิม บ้านเมืองไม่เปลี่ยน ชีวิตไม่เปลี่ยน แต่ตนย้ำว่านั่นเป็นเพราะปัญหาของประเทศไทยฝังลึกเป็นเรื่องโครงสร้าง โดยที่ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลต่างก็พากันแก้ปัญหาแบบขอไปที ปะผุ ทำให้การแก้ปัญหาของประเทศจบไม่ได้เสียที 
 
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ปัญหาของประเทศจำนวนมากคือปัญหาที่เกิดจากต้นตอโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ยกตัวอย่างได้มากมาย เช่น เรื่องของน้ำประปาที่คนเกินกว่าครึ่งของประเทศนี้ยังเข้าไม่ถึงน้ำประปาที่ไหลสะอาด เพียงพอใช้ 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี ในประเทศไทยปี 2566 เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ นายธนาธร กล่าวอีกว่า ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำและเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของบริการสาธารณะที่ทุกคนไม่ว่าจะเกิดที่ไหนควรจะเข้าถึง หรือเรื่องของถนนทั่วประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาไม่เท่ากันทั่วประเทศ บางแห่งผุพังทรุดโทรมมาหลายสิบปีก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข

นายธนาธร กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดจากโครงสร้าง คืองบประมาณที่กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง จะซ่อมถนนครั้งหนึ่งต้องเดินเอกสารไปถึงหน่วยงานที่กรุงเทพฯ กว่าหน่วยงานจะตั้งงบประมาณมาเริ่มดำเนินการได้ก็ต้องรอเป็นเดือนเป็นปี งบประมาณที่ท้องถิ่นมีอยู่ไม่พอให้แก้ปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ได้  “นั่นคือเหตุผลที่พรรคก้าวไกล ย้ำว่าการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องปฏิรูประบบราชการ กระจายอำนาจ เอางบประมาณและอำนาจมาให้ประชาชนแก้ปัญหาในพื้นที่ของตัวเอง กำหนดอนาคตของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์วิ่งเต้นเส้นสายเพื่อให้ได้งบประมาณมาพัฒนาบ้านตัวเอง
 
นายธนาธร กล่าวต่อว่า นี่คือรูปธรรมของคำว่ากาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม นโยบายพรรคก้าวไกลมาจากฐานคิดแบบนี้ เพราะพรรคก้าวไกลไม่เคยสัญญาว่าจะมาสร้างถนนให้ หรือทำน้ำประปาให้ที่ไหนเป็นแห่งๆ ไปแบบปะผุ แต่ต้องทำในระดับโครงสร้าง  “ที่ผ่านมาพรรคอื่นต่างก็เคยเป็นรัฐบาลบริหารประเทศมาหมดแล้ว ครั้งนี้ตนอยากขอโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ขอเพียงครั้งเดียวเท่านั้นประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีก ด้วยการแก้ปัญหาที่ต้นตอที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงได้
 
หลายคนย่อมเคยได้ยิน มีหลายคนที่ไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะดีกว่านี้ได้ บอกว่าเลือกตั้งไปประเทศไทยก็เหมือนเดิม กลายเป็นความเคยชิน ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมไป แต่ผมอยากบอกว่าอย่าเพิ่งหมดความหวังกับการเมือง กับประเทศไทย มันยังดีกว่านี้ได้ นี่คือที่มาของคำว่ากาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” นายธนาธร กล่าวอีกว่า พรรคการเมืองต่างๆ เคยเป็นรัฐบาลมาหมดแล้ว แต่ก็พาประเทศไทยมาได้เท่านี้ วันนี้พรรคการเมืองหลักที่ยังไม่เคยบริหารบ้านเมืองเหลือแค่พรรคก้าวไกล ขอโอกาสให้พวกเราทำดูสักครั้ง จะสร้างประเทศไทยที่ดีกว่านี้ให้เห็นด้วยการแก้ปัญหาที่ต้นตอ จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมเลย ถ้ากาครั้งนี้ให้พวกเราสองใบจนเป็นรัฐบาลแล้ว เรายังทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้ เราจะไม่มีหน้ามาเจอประชาชนแล้วขอทำต่ออีก

นายธนาธร กล่าวต่อว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลทุกคนต้องทำงานหนัก อยากได้เสียงก็ต้องลงมือทำตั้งแต่เช้าถึงเย็น ซื้อคะแนนด้วยใจ เพราะเรารู้ว่าใครซื้อเสียงเข้าไปก็จะต้องทุจริต ต้องเข้าไปเอื้อประโยชน์ให้นายทุนที่ให้ทุนมา
 
นี่คือเหตุผลที่พรรคก้าวไกลเลือกทำการเมืองแบบนี้ เพราะพรรคก้าวไกลต้องการมีอิสระในวันที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ จะได้ตัดสินใจเพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อนายทุนคนไหน เพราะไม่เป็นหนี้นายทุนคนไหน เป็นหนี้บุญคุณแค่ประชาชนที่มอบความไว้วางใจให้กับพรรคก้าวไกลเท่านั้น


  
บี้หั่นเพิ่ม-ลด ‘7 สตางค์’ ไม่พอ หอค้ารุกรบ.แก้ค่าไฟทันที
https://www.matichon.co.th/economy/news_3937619

บี้หั่นเพิ่ม-ลด ‘7 สตางค์’ ไม่พอ หอค้ารุกรบ.แก้ค่าไฟทันที
 
เมื่อวันที่ 22 เมษายน แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมาว่า คณะอนุกรรมการค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) เห็นชอบตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอขอรับภาระยืดหนี้การชำระค่าไฟฟ้า วงเงินประมาณ 1.3 แสนล้านบาท แทนประชาชนจาก 5 งวด หรือ 20 เดือน งวดละ 27,000 ล้านบาท เป็น 6 งวด หรือ 24 เดือน งวดละ 22,000 ล้านบาท

ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยงวดที่ 2 ของปีนี้ (พฤษภาคม-สิงหาคม 2566) ลดลง 7 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิม 4.77 บาทต่อหน่วย เป็น 4.70 บาทต่อหน่วย
จากนี้บอร์ด กกพ.จะพิจารณาวันที่ 24 เมษายน เพื่อมีมติเปิดรับฟังความเห็น 5-7 วัน และเสนอบอร์ด กกพ.พิจารณาเคาะราคาเพื่อประกาศใช้ต่อไป ตามขั้นตอนการพิจารณาของ กกพ.จะทันบิลค่าไฟรอบเดือนพฤษภาคมแน่นอน เพราะบิลค่าไฟจะเริ่มออกตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมเป็นต้นไป
 
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าแพงเป็นปัญหาของทุกคนในประเทศไม่ใช่เฉพาะของธุรกิจเพียงอย่างเดียว หอการค้าฯร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พยายามสื่อสารกับรัฐบาลถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลดค่าไฟฟ้าลงในช่วงนี้ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาซ้ำเติมกับทุกภาคส่วนกำลังฟื้นตัวจากวิกฤตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
 
ภาคธุรกิจไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจท่องเที่ยวในกลุ่มโรงแรมที่พัก ธุรกิจค้าปลีกอย่างห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า เป็นกลุ่มธุรกิจใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศกำลังเผชิญกับต้นทุนเพิ่มขึ้นจากค่าไฟฟ้า ประกอบกับค่าไฟฟ้าของไทยเป็นอัตราก้าวหน้า ยิ่งใช้มากก็ต้องยิ่งจ่ายแพงมากขึ้น
 
นายสนั่นกล่าวว่า หอการค้าฯ และ กกร.เคยมีหนังสือไปยังรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องในการพิจารณาแนวทางให้ค่าไฟฟ้าลดลง อย่างไรก็ตาม ทราบว่าปัจจุบันค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 (1 พฤษภาคม-31 สิงหาคม) คณะกรรมการกำกับกิจการไฟฟ้า (กกพ.) มีมติเห็นชอบให้ลดลงจาก 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย แม้ไม่ใช่ตัวเลขที่มากนักแต่เป็นแนวโน้มที่ดีต่อภาคเอกชนและประชาชน และแม้จะอยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการก่อนการเลือกตั้ง
 
แต่ภาคเอกชนอยากเห็นรัฐบาลกล้าตัดสินใจลดค่าไฟฟ้าทันที โดยไม่ได้มองว่าเป็นประเด็นหาเสียงช่วงเลือกตั้งหรือไม่ เพราะตอนนี้ถือเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันทั่วประเทศ และหากปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อไปจนถึงรัฐบาลชุดใหม่ คงจะกระทบต่อภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอย่างมหาศาล
 
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ให้พิจารณาทบทวนค่าไฟงวดพฤษภาคม-สิงหาคม โดยเฉลี่ยไม่ควรเกิน 4.40 บาท/หน่วย เพื่อลดภาระให้กับประชาชนที่มีค่าครองชีพสูง และภาคธุรกิจที่การส่งออกชะลอตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่