จับตาโควิดหลังสงกรานต์ ‘XBB.1.16’ ติดต่อได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น ล่าสุดไทยพบแล้ว 8 ราย
https://ch3plus.com/news/social/morning/343788
กรมควบคุมโรค เผย เริ่มพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น แนวโน้มพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 2.5 เท่าของสัปดาห์ก่อนหน้า จับตาหลังเทศกาลสงกรานต์ อาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ขณะที่โอมิครอนลูกผสมสายพันธุ์ XBB.1.16 ล่าสุดไทยพบแล้ว 8 ราย
กรมควบคุมโรค ติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 ใกล้ชิดโดยกองระบาดวิทยาคาดการณ์ว่าหลังเทศกาลสงกรานต์จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และจำนวนอาจมากกว่าช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนมีการทำกิจกรรมร่วมกันช่วงสงกรานต์ และการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ใกล้ชิดผู้คนจำนวนมาก ภายหลังประเทศไทยผ่อนคลายมาตรการ ไม่ได้มีการตรวจโควิดก่อนเข้าร่วมกิจกรรม การสวมหน้ากากน้อยลง ทำให้เสี่ยงรับเชื้อเมื่อมีการอยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อ หลังวันหยุดสงกรานต์ขอให้ประชาชนสังเกตอาการอย่างน้อย 7 วัน เลี่ยงการสัมผัสอยู่ใกล้ชิดผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
วันนี้ (16 เมษายน 2566) นายแพทย์
ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ประจำสัปดาห์ที่ 15 ปี พ.ศ. 2566 ระหว่างวันที่ 9-15 เมษายน 2566 พบผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้วทั้งหมด 435ราย เฉลี่ยวันละ 62 ราย ซึ่งมีแนวโน้มพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 2.5 เท่าของสัปดาห์ก่อนหน้า นอกจากนี้ มีรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบ 30 ราย และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 19 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 และร้อยละ 36 ตามลำดับ เปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อน โดยสัปดาห์ล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น นานเกินกว่า 3 เดือนแล้ว จึงขอย้ำให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ทั้งนี้ สถานบริการจะปรับการให้บริการรูปแบบวัคซีนโควิดประจำปีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
ส่วนกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์โควิด XBB.1.16 ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก พบเชื้อแล้วใน 22 ประเทศโดยเฉพาะประเทศอินเดีย เชื้อสายพันธุ์ล่าสุดนี้มีความสามารถในการติดต่อสูงกว่าเชื้อสายพันธุ์ในอดีต เป็นที่จับตาขององค์การอนามัยโลก แต่ข้อมูลขณะนี้พบว่าอาการไม่ได้รุนแรงเพิ่ม ทั้งนี้ ฐานข้อมูล GISAID มีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์นี้ในประเทศไทย 6 ราย จากที่มีรายงานทั่วโลกเกือบ 3,000 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 13 เมษายน 2566) ก่อนที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ จะอัปเดตข้อมูลล่าสุดว่ามีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้แล้ว 8 ราย
ด้าน นายเเพทย์
โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 จำนวน 6 คน เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ อาการป่วยไม่รุนแรง ส่วนอาการสำคัญของสายพันธุ์ XBB.1.16 ที่ประเทศอินเดียรายงานว่าเยื่อบุตาอักเสบ ก็ยังไม่มีรายงานในผู้ป่วยที่พบในไทย แต่อาการโควิดจะมีอาการตัวร้อนเป็นไข้บางราย และจะมีอาการระคายเคืองตาได้ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่า สายพันธุ์ XBB.1.16 จะมีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น ส่วนการกลายพันธุ์ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอให้มารับวัคซีนหากฉีดเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือน พร้อมขอให้สังเกตอาการตัวเองหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ประมาณ 7 วัน และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้สูงอายุและผู้เป็นโรคเรื้อรัง
ขณะที่เมื่อวานนี้ (16 เม.ย. 66) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "
Center for Medical Genomics" เปิดเผยว่า โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่พบในประเทศไทย ระหว่าง 1 ก.พ.-16 เมษ. 2566 หน่วยงานไทยทั้งภาครัฐและเอกชนได้ช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโควิด-19 และอัปโหลดแชร์บนฐานข้อมูลโควิดโลก “
จีเสส (GISAID)” จำนวนทั้งสิ้น 410 ตัวอย่างในช่วง 2 เดือนครึ่ง (1 ก.พ.-16 เมษ. 2566) ที่ผ่านมา โดยมีโอมิครอน 12 สายพันธุ์ที่พบมากในประเทศไทยเรียงตามลำดับมีดังนี้
- BN.1.3 68 ราย (22%)
- BN.1.2 59 ราย (19%)
- XBB.1.5 45 ราย (15%)
- XBB.1.9.2 22 ราย (7%)
- XBB.1.9.1 20 ราย (7%)
- BN.1.2.3 19 ราย (6%)
- CH.1.1 18 ราย (6%)
- BN.1.3.6 17 ราย (6%)
- BN.1.1 12 ราย (4%)
- EJ.2 9 ราย (3%)
- XBB.1.16 8 ราย (3%)
- BA.2.75 8 ราย (3%)
โดยพบโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 จำนวน 8 ราย และ 1 ใน 8 พบว่ามีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมเป็น XBB.1.16.1 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี ได้ทำการวิเคราะห์จากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบว่าโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่า BN.1.3 ประมาณ 148% และเหนือกว่า XBB.1.5 ประมาณ 90% คาดว่าจะเข้ามาแทนที่ BN1.3 และ XBB.1.5 ได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้
‘ชาวนา’จ่อชง รบ.ใหม่ 3 ข้อ แก้น้ำ-ลดต้นทุน-พันธุ์ข้าว ซัดนโยบายหาเสียงเพ้อฝัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_3930033
‘ชาวนา’จ่อชง รบ.ใหม่ 3 ข้อ แก้น้ำ-ลดต้นทุน-พันธุ์ข้าว ซัดนโยบายหาเสียงเพ้อฝัน
นาย
ปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวถึงนโยบายพรรคการเมืองว่า ให้ความสำคัญกับดูแลเกษตรกรและภาคการเกษตรค่อนข้างน้อย ทั้งที่ชาวนาไทยมีถึง 4.5 ล้านครัวเรือน พื้นที่เพาะปลูก 62-63 ล้านไร่ มีผู้เกี่ยวข้องกว่า 30 ล้านคน ถือเป็นฐานใหญ่มีผลต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง ขณะที่นโยบายด้านนี้ค่อนข้างเพ้อฝัน ไม่รู้ว่าประโยชน์จะตกมาถึงเกษตรกร ชาวนาแค่ไหน ซึ่งสมาคมได้เตรียมปัญหาและข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่โดยเน้น 3 เรื่องคือ
1. ปัญหาน้ำจะมีมากขึ้นในอนาคต ต้องสร้างแหล่งเก็บน้ำธรรมชาติและสาธารณะเพิ่มทั่วประเทศ
2. ลดต้นทุน ทั้งปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช ขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.25% ซึ่งชาวนากว่า 90% กู้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำให้สร้างปัญหาด้านหนี้สินให้ชาวนามากขึ้น
3. พัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ที่ตรงกับความต้องการบริโภคและระยะเวลาปลูกไม่เกิน 95-100 วัน จากตอนนี้ใช้เวลา 130-140 วันจึงเก็บเกี่ยวได้ หรือข้าวพื้นนุ่มที่ตลาดต้องการมากขึ้น
“
ไม่ได้มองว่าพรรคใดจะจัดตั้งรัฐบาล เชียร์ทุกพรรคที่สนับสนุนและดูแลชาวนา หากรัฐบาลไม่ดูแลและไม่เข้าใจถึงปัญหาแท้จริง ระบบข้าวไทยจะเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องลูกหลานชาวนาเมื่อจบการศึกษาจะหันไปทำงานด้านอื่น ไม่สืบทอดอาชีพชาวนา บางส่วนเจอหนี้สะสมต้องขายที่ดิน กลายเป็นผู้เช่าแทน ตอนนี้นายทุนใหญ่กว้านซื้อที่ดินและจ้างชาวนาปลูกข้าว ไม่รู้ว่ารัฐบาลใดจะมาดูระบบอาชีพชาวนา ไม่ต้องพูดเรื่องทุนต่างชาติ อย่างทุนจีนก็ไม่อาจเดาได้ว่ามาแล้วเหมือนกับกลุ่มท่องเที่ยวหรืออสังหาฯที่เจอกันอยู่” นายปราโมทย์กล่าว
ขณะที่ นาย
ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า นโยบายแรงงานของแต่ละพรรคการเมืองใช้หาเสียงด้วยการขึ้นค่าแรงไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาแรงงานจบใหม่ในปี 2566 มีจำนวนประมาณ 5.1 แสนคน สูงกว่าปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 4 แสนคน ส่วนใหญ่จะเป็นระดับปริญญา ว่างงานกว่า 40% เหตุที่กลุ่มนี้ว่างงานสูงขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมเปลี่ยนไป เลือกงานมากขึ้น
นาย
ธนิตกล่าวว่า จากผลการศึกษาของสภาแรงงานแห่งชาติสำรวจสถานศึกษากว่า 10 แห่ง พบว่านักเรียน นักศึกษา ซึ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่ชอบงานที่มีนายจ้าง ชอบอาชีพงานอิสระ และบางส่วนเมื่อจบแล้วเลือกไม่ทำงาน เลือกจะพักผ่อนอยู่บ้าน และจากผลสำรวจขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าจำนวนเด็กจบใหม่ค้างมากว่า 1-2 ปีแล้ว หรือประมาณ 1.4 ล้านคน และบางส่วนเลือกไปทำงานต่างประเทศผ่านโครงการเวิร์กแอนด์ทราเวล เป็นแนวโน้มของคนรุ่นใหม่
เพื่อไทยยกโพล 2 สื่อดัง ชี้ฝ่าย ปชต.ชนะแน่ ‘พิธา’ ปลื้มอันดับ 1 นายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3930031
พท.ยกโพล 2 สื่อดัง ชี้ฝ่าย ปชต.ชนะแน่ ‘เศรษฐา’ แก้เกมลุยพื้นที่เป็นรอง ‘พิธา’ ปลื้มอันดับ 1 นายกฯ
เมื่อวันที่ 16 เมษายน นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลโพลมติชน-เดลินิวส์ ที่ระบุว่า นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นคนที่ประชาชนอยากเห็นเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดสูงถึงร้อยละ 29.42 ตามด้วย น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร และ นาย
เศรษฐา ทวีสิน ของพรรคเพื่อไทย (พท.) ส่วนพรรค ก.ก.เป็นพรรคที่ประชาชนจะเลือกเป็นอันดับ 2 รองจากพรรค พท.ว่า โพลมีหลายสำนัก บางโพลเป็น น.ส.
แพทองธารนำ แต่ตัวพรรคและเขตจะเป็นพรรค พท.นำ และพรรคมีการปรับกลยุทธ์ในการหาเสียงตลอด ลงพื้นที่อย่างหนักอยู่แล้ว
“
ในโค้งสุดท้ายต้องดูผลโพลว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป แต่ยังเชื่อมั่นว่าประชาชนยังไว้วางใจพรรค พท.และแคนดิเดตนายกฯพรรค พท. ทั้งนี้ มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะฝ่าย 3 ป. ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีฐานคะแนนพรรคเก่าสนับสนุนอยู่” นาย
ประเสริฐกล่าว
ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ นาย
เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท. ให้สัมภาษณ์ถึงความมั่นใจในพื้นที่ กทม.ว่า มีความมั่นใจ แต่ผู้สมัครทุกคนและแคนดิเดตนายกฯของพรรคยังต้องลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารนโยบายและตอบข้อสงสัยกับประชาชน เพื่อผลักดันนโยบายให้เข้าถึงประชาชน หลังจากนี้พรรค พท.จะเน้นลงพื้นที่ที่สูสีหรือที่คะแนนตามอยู่ โดยต้องทำงานหนัก บางวันอาจมี 4-5 เวที ไม่กลัวงานหนัก
ขณะที่เฟซบุ๊กของ พรรคก้าวไกล ระบุถึงโพลมติชน-เดลินิวส์
สนับสนุนนายพิธาเป็นอันดับ 1 ในการเลือกให้เป็นนายกฯ มีสาระสำคัญระบุว่า นายพิธาขอขอบคุณประชาชนที่สนับสนุนพรรค ก.ก.มากขึ้นเรื่อยๆ คะแนนจากโพลนี้สอดคล้องกับสิ่งที่พรรคสัมผัสได้ในทุกจังหวัดที่เดินทางไป และสอดคล้องกับตัวเลขในทางออนไลน์ ที่ประชาชนแสดงออกว่าสนับสนุนพรรค ก.ก.มากขึ้น
JJNY : จับตา‘XBB.1.16’│‘ชาวนา’จ่อชงรบ.ใหม่ 3ข้อ│พท.ยกโพล 2 สื่อดัง ชี้ฝ่ายปชต.ชนะแน่│สหรัฐนำเรือพิฆาตผ่านช่องแคบไต้หวัน
https://ch3plus.com/news/social/morning/343788
กรมควบคุมโรค เผย เริ่มพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น แนวโน้มพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 2.5 เท่าของสัปดาห์ก่อนหน้า จับตาหลังเทศกาลสงกรานต์ อาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ขณะที่โอมิครอนลูกผสมสายพันธุ์ XBB.1.16 ล่าสุดไทยพบแล้ว 8 ราย
กรมควบคุมโรค ติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 ใกล้ชิดโดยกองระบาดวิทยาคาดการณ์ว่าหลังเทศกาลสงกรานต์จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และจำนวนอาจมากกว่าช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนมีการทำกิจกรรมร่วมกันช่วงสงกรานต์ และการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ใกล้ชิดผู้คนจำนวนมาก ภายหลังประเทศไทยผ่อนคลายมาตรการ ไม่ได้มีการตรวจโควิดก่อนเข้าร่วมกิจกรรม การสวมหน้ากากน้อยลง ทำให้เสี่ยงรับเชื้อเมื่อมีการอยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อ หลังวันหยุดสงกรานต์ขอให้ประชาชนสังเกตอาการอย่างน้อย 7 วัน เลี่ยงการสัมผัสอยู่ใกล้ชิดผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
วันนี้ (16 เมษายน 2566) นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ประจำสัปดาห์ที่ 15 ปี พ.ศ. 2566 ระหว่างวันที่ 9-15 เมษายน 2566 พบผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้วทั้งหมด 435ราย เฉลี่ยวันละ 62 ราย ซึ่งมีแนวโน้มพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 2.5 เท่าของสัปดาห์ก่อนหน้า นอกจากนี้ มีรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบ 30 ราย และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 19 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 และร้อยละ 36 ตามลำดับ เปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อน โดยสัปดาห์ล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น นานเกินกว่า 3 เดือนแล้ว จึงขอย้ำให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ทั้งนี้ สถานบริการจะปรับการให้บริการรูปแบบวัคซีนโควิดประจำปีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
ส่วนกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์โควิด XBB.1.16 ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก พบเชื้อแล้วใน 22 ประเทศโดยเฉพาะประเทศอินเดีย เชื้อสายพันธุ์ล่าสุดนี้มีความสามารถในการติดต่อสูงกว่าเชื้อสายพันธุ์ในอดีต เป็นที่จับตาขององค์การอนามัยโลก แต่ข้อมูลขณะนี้พบว่าอาการไม่ได้รุนแรงเพิ่ม ทั้งนี้ ฐานข้อมูล GISAID มีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์นี้ในประเทศไทย 6 ราย จากที่มีรายงานทั่วโลกเกือบ 3,000 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 13 เมษายน 2566) ก่อนที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ จะอัปเดตข้อมูลล่าสุดว่ามีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้แล้ว 8 ราย
ด้าน นายเเพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 จำนวน 6 คน เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ อาการป่วยไม่รุนแรง ส่วนอาการสำคัญของสายพันธุ์ XBB.1.16 ที่ประเทศอินเดียรายงานว่าเยื่อบุตาอักเสบ ก็ยังไม่มีรายงานในผู้ป่วยที่พบในไทย แต่อาการโควิดจะมีอาการตัวร้อนเป็นไข้บางราย และจะมีอาการระคายเคืองตาได้ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่า สายพันธุ์ XBB.1.16 จะมีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น ส่วนการกลายพันธุ์ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอให้มารับวัคซีนหากฉีดเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือน พร้อมขอให้สังเกตอาการตัวเองหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ประมาณ 7 วัน และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้สูงอายุและผู้เป็นโรคเรื้อรัง
ขณะที่เมื่อวานนี้ (16 เม.ย. 66) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "Center for Medical Genomics" เปิดเผยว่า โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่พบในประเทศไทย ระหว่าง 1 ก.พ.-16 เมษ. 2566 หน่วยงานไทยทั้งภาครัฐและเอกชนได้ช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโควิด-19 และอัปโหลดแชร์บนฐานข้อมูลโควิดโลก “จีเสส (GISAID)” จำนวนทั้งสิ้น 410 ตัวอย่างในช่วง 2 เดือนครึ่ง (1 ก.พ.-16 เมษ. 2566) ที่ผ่านมา โดยมีโอมิครอน 12 สายพันธุ์ที่พบมากในประเทศไทยเรียงตามลำดับมีดังนี้
- BN.1.3 68 ราย (22%)
- BN.1.2 59 ราย (19%)
- XBB.1.5 45 ราย (15%)
- XBB.1.9.2 22 ราย (7%)
- XBB.1.9.1 20 ราย (7%)
- BN.1.2.3 19 ราย (6%)
- CH.1.1 18 ราย (6%)
- BN.1.3.6 17 ราย (6%)
- BN.1.1 12 ราย (4%)
- EJ.2 9 ราย (3%)
- XBB.1.16 8 ราย (3%)
- BA.2.75 8 ราย (3%)
โดยพบโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 จำนวน 8 ราย และ 1 ใน 8 พบว่ามีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมเป็น XBB.1.16.1 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี ได้ทำการวิเคราะห์จากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบว่าโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่า BN.1.3 ประมาณ 148% และเหนือกว่า XBB.1.5 ประมาณ 90% คาดว่าจะเข้ามาแทนที่ BN1.3 และ XBB.1.5 ได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้
‘ชาวนา’จ่อชง รบ.ใหม่ 3 ข้อ แก้น้ำ-ลดต้นทุน-พันธุ์ข้าว ซัดนโยบายหาเสียงเพ้อฝัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_3930033
‘ชาวนา’จ่อชง รบ.ใหม่ 3 ข้อ แก้น้ำ-ลดต้นทุน-พันธุ์ข้าว ซัดนโยบายหาเสียงเพ้อฝัน
นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวถึงนโยบายพรรคการเมืองว่า ให้ความสำคัญกับดูแลเกษตรกรและภาคการเกษตรค่อนข้างน้อย ทั้งที่ชาวนาไทยมีถึง 4.5 ล้านครัวเรือน พื้นที่เพาะปลูก 62-63 ล้านไร่ มีผู้เกี่ยวข้องกว่า 30 ล้านคน ถือเป็นฐานใหญ่มีผลต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง ขณะที่นโยบายด้านนี้ค่อนข้างเพ้อฝัน ไม่รู้ว่าประโยชน์จะตกมาถึงเกษตรกร ชาวนาแค่ไหน ซึ่งสมาคมได้เตรียมปัญหาและข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่โดยเน้น 3 เรื่องคือ
1. ปัญหาน้ำจะมีมากขึ้นในอนาคต ต้องสร้างแหล่งเก็บน้ำธรรมชาติและสาธารณะเพิ่มทั่วประเทศ
2. ลดต้นทุน ทั้งปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช ขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.25% ซึ่งชาวนากว่า 90% กู้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำให้สร้างปัญหาด้านหนี้สินให้ชาวนามากขึ้น
3. พัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ที่ตรงกับความต้องการบริโภคและระยะเวลาปลูกไม่เกิน 95-100 วัน จากตอนนี้ใช้เวลา 130-140 วันจึงเก็บเกี่ยวได้ หรือข้าวพื้นนุ่มที่ตลาดต้องการมากขึ้น
“ไม่ได้มองว่าพรรคใดจะจัดตั้งรัฐบาล เชียร์ทุกพรรคที่สนับสนุนและดูแลชาวนา หากรัฐบาลไม่ดูแลและไม่เข้าใจถึงปัญหาแท้จริง ระบบข้าวไทยจะเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องลูกหลานชาวนาเมื่อจบการศึกษาจะหันไปทำงานด้านอื่น ไม่สืบทอดอาชีพชาวนา บางส่วนเจอหนี้สะสมต้องขายที่ดิน กลายเป็นผู้เช่าแทน ตอนนี้นายทุนใหญ่กว้านซื้อที่ดินและจ้างชาวนาปลูกข้าว ไม่รู้ว่ารัฐบาลใดจะมาดูระบบอาชีพชาวนา ไม่ต้องพูดเรื่องทุนต่างชาติ อย่างทุนจีนก็ไม่อาจเดาได้ว่ามาแล้วเหมือนกับกลุ่มท่องเที่ยวหรืออสังหาฯที่เจอกันอยู่” นายปราโมทย์กล่าว
ขณะที่ นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า นโยบายแรงงานของแต่ละพรรคการเมืองใช้หาเสียงด้วยการขึ้นค่าแรงไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาแรงงานจบใหม่ในปี 2566 มีจำนวนประมาณ 5.1 แสนคน สูงกว่าปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 4 แสนคน ส่วนใหญ่จะเป็นระดับปริญญา ว่างงานกว่า 40% เหตุที่กลุ่มนี้ว่างงานสูงขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมเปลี่ยนไป เลือกงานมากขึ้น
นายธนิตกล่าวว่า จากผลการศึกษาของสภาแรงงานแห่งชาติสำรวจสถานศึกษากว่า 10 แห่ง พบว่านักเรียน นักศึกษา ซึ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่ชอบงานที่มีนายจ้าง ชอบอาชีพงานอิสระ และบางส่วนเมื่อจบแล้วเลือกไม่ทำงาน เลือกจะพักผ่อนอยู่บ้าน และจากผลสำรวจขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าจำนวนเด็กจบใหม่ค้างมากว่า 1-2 ปีแล้ว หรือประมาณ 1.4 ล้านคน และบางส่วนเลือกไปทำงานต่างประเทศผ่านโครงการเวิร์กแอนด์ทราเวล เป็นแนวโน้มของคนรุ่นใหม่
เพื่อไทยยกโพล 2 สื่อดัง ชี้ฝ่าย ปชต.ชนะแน่ ‘พิธา’ ปลื้มอันดับ 1 นายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3930031
พท.ยกโพล 2 สื่อดัง ชี้ฝ่าย ปชต.ชนะแน่ ‘เศรษฐา’ แก้เกมลุยพื้นที่เป็นรอง ‘พิธา’ ปลื้มอันดับ 1 นายกฯ
เมื่อวันที่ 16 เมษายน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลโพลมติชน-เดลินิวส์ ที่ระบุว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นคนที่ประชาชนอยากเห็นเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดสูงถึงร้อยละ 29.42 ตามด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ นายเศรษฐา ทวีสิน ของพรรคเพื่อไทย (พท.) ส่วนพรรค ก.ก.เป็นพรรคที่ประชาชนจะเลือกเป็นอันดับ 2 รองจากพรรค พท.ว่า โพลมีหลายสำนัก บางโพลเป็น น.ส.แพทองธารนำ แต่ตัวพรรคและเขตจะเป็นพรรค พท.นำ และพรรคมีการปรับกลยุทธ์ในการหาเสียงตลอด ลงพื้นที่อย่างหนักอยู่แล้ว
“ในโค้งสุดท้ายต้องดูผลโพลว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป แต่ยังเชื่อมั่นว่าประชาชนยังไว้วางใจพรรค พท.และแคนดิเดตนายกฯพรรค พท. ทั้งนี้ มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะฝ่าย 3 ป. ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีฐานคะแนนพรรคเก่าสนับสนุนอยู่” นายประเสริฐกล่าว
ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท. ให้สัมภาษณ์ถึงความมั่นใจในพื้นที่ กทม.ว่า มีความมั่นใจ แต่ผู้สมัครทุกคนและแคนดิเดตนายกฯของพรรคยังต้องลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารนโยบายและตอบข้อสงสัยกับประชาชน เพื่อผลักดันนโยบายให้เข้าถึงประชาชน หลังจากนี้พรรค พท.จะเน้นลงพื้นที่ที่สูสีหรือที่คะแนนตามอยู่ โดยต้องทำงานหนัก บางวันอาจมี 4-5 เวที ไม่กลัวงานหนัก
ขณะที่เฟซบุ๊กของ พรรคก้าวไกล ระบุถึงโพลมติชน-เดลินิวส์ สนับสนุนนายพิธาเป็นอันดับ 1 ในการเลือกให้เป็นนายกฯ มีสาระสำคัญระบุว่า นายพิธาขอขอบคุณประชาชนที่สนับสนุนพรรค ก.ก.มากขึ้นเรื่อยๆ คะแนนจากโพลนี้สอดคล้องกับสิ่งที่พรรคสัมผัสได้ในทุกจังหวัดที่เดินทางไป และสอดคล้องกับตัวเลขในทางออนไลน์ ที่ประชาชนแสดงออกว่าสนับสนุนพรรค ก.ก.มากขึ้น