ตอน ๑
https://pantip.com/topic/41966906
(๒)
วิมุขมาศ - อักขระกานต์
พ.ศ. ๒๕๑๓
หญิงสาวบรรจงแต่งใบหน้าอย่างงดงาม แต้มสีแดงทาริมฝีปากแล้วรอยยิ้มฉีกขึ้นบนใบหน้า พิศโฉมก็กระหยิ่มยิ้มให้ตัวเองอย่างพึงพอใจ หญิงสาวในกระจกเงาล้อมกรอบทองแกะสลักลายอ่อนช้อย...หม่อมราชวงศ์รัมภาเพียงพิศ วิมุขมาศ
รัมภาเพียงพิศ...ชื่อนี้แม่ตั้งให้
แม่...
กระจกสะท้อนภาพเหมือนสีน้ำมันของมารดาในวัยสาวจากผนังเบื้องหลัง วงหน้าอ่อนโยนด้านข้างแลดูเล็กในกรอบกระจก รูปแม่สวมชุดยาวสีขาวงาช้างยืนเท้าแขนกับเปียโนวาดโดยจิตรกรเอก เธอผละจากเงาในกระจกลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งไปหยิบเดรสคอปีนใหม่เอี่ยมที่แขวนรอ เปลี่ยนชุดแล้วผูกโบต้นคอตบท้าย
ก้าวจากห้องส่วนตัวยังโถงบันได หยุดมองพระรูปเสด็จในกรมฯ พระนามเดิมวิมุขมาศรังสฤษฎิ ผู้ทรงเป็นเสด็จทวด พระรูปบนสุดผนังฟากตรงข้ามใช่ว่าใหญ่โตมโหฬาร รังสีสง่างามแผ่ด้วยพระประวัติสลักในใจว่าทรงมุ่งมั่นพากเพียรทำราชการเจริญสืบเนื่องตลอดพระชนม์ชีพ สองมือเกาะราวระเบียงชั้นบนมองลงห้องนั่งเล่นข้างล่างเห็นตู้ไม้โบราณหลังใหญ่ จัดวางเครื่องถ้วยเบญจรงค์แต่น้อยชิ้นจนดูโหรงเหรง
ก้าวลงบันไดวนสู่ส่วนนั่งเล่นก่อนทะลุยังโถงหน้า เธอหยุดตรงมุขหน้าต่างทรงครึ่งวงกลมเปิดสู่สวนซึ่งโอบรอบตึก โต๊ะทรงพระอักษรของผู้ครองวังพระองค์แรกย้ายมาตั้งตรงนี้ พื้นผนังเหนือโต๊ะติดพระรูปในกรอบโลหะสีทองเรียงลงมา เหนือสุดคือเสด็จในกรมฯ กับพระองค์หญิงสิรมารคมงคลพระชายา ถัดลงมาเป็นพระโอรส - พระองค์ชายสลักอักษรา กรอบล่างสุดคือพระธิดา - พระองค์หญิงฉันท์ฉินจำรัสหล้า เลื่อนสายตาลงถึงตรงกลางหัวโต๊ะ ตั้งพระรูปของพระองค์ชายสลักอักษราคู่หม่อมเจ้านวลนฤดีในวันเสกสมรส จากตรงกลางพระรูปใหญ่เล็กในกรอบเงินรูปไข่เรียงเป็นปีกซ้ายขวา ล้วนเป็นเชื้อสายในราชสกุลวิมุขมาศ
ทายาทของพระองค์ชายสลักอักษรากับหม่อมเจ้านวลนฤดี มีพระนามว่าหม่อมเจ้าสลักพันธ์
ท่านพ่อ...
ขณะนี้หม่อมเจ้าสลักพันธ์ทรงเปิดประตูมุขหน้าตึกเข้ามาและรับทราบว่าธิดาคนเล็กของท่านพร้อมแล้ว รัมภาเพียงพิศพินิจพระรูปของพระองค์หญิงฉันท์ฉินจำรัสหล้าบนผนังอีกครา ช่างภาพฉายพระรูปตอนพระชันษา 17 ปี พระพักตร์อ่อนหวานละมุนละไม พระรูปครึ่งองค์เพียงพอจะแสดงทรวดทรงพระวรกายงามแน่งน้อย เธอละสายตาจากพระรูปอันขนาบด้วยพื้นผนังซีดหมองและผละมือจากผิวสึกกร่อนของโต๊ะไม้ ตามท่านพ่อออกสู่หน้ามุขของตำหนักใหญ่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษเมื่อเกือบแปดสิบปีก่อน ตำหนักสีรงทองมรดกตกทอดจากพระองค์ต้นสกุลเคยเรืองอร่ามเดี๋ยวนี้ซีดโรย
คุณหญิงรัมภาเพียงพิศก้าวจากหน้ามุขสู่ภายนอก สวนของวังยังสดเขียวร่มรื่น ดีจริง...ตาปรุงคนสวนเก่าแก่รักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ขยันปลูกขยันบำรุงรักษาของแกไปเรื่อย ๆ ท่านชายสลักพันธ์ทรงย้ำเตือนบุตรีผู้เป็นความหวังสุดท้าย อักขระกานต์กับวิมุขมาศต้องสมัครสมานเป็นปึกแผ่นและศรีสง่าแก่กัน เธอแย้มยิ้มรับความปรารถนาของท่านพ่อ
หม่อมราชวงศ์รัมภาเพียงพิศ วิมุขมาศต้องไปวังอักขระกานต์แล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์หม่อมเจ้าประกายมาสทรงกลด ท่านย่าของคุณชายทั้งสาม ณ เรือนหน้าวังอักขระกานต์ รัมภาเพียงพิศรู้สึกราวกับว่าท่านพ่อทรงพาองค์เองกับเธอมาเป็นแขกของที่นี่ ท่านหญิงทรงทักทายทั่วไปแล้วตรัสถามท่านชายสลักพันธ์ถึงบุตรีคนโตกับคนกลาง
“คุณหญิงตาณโพยมกับสามี เอ้อ...นาย ชื่อนาย...นายอะไรนะ”
“ชนิด กระหม่อม”
“สบายดีกันใช่ไหม ท่านชาย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ทั้งสองไม่เจ็บไม่ไข้”
“ขนมล่ะท่านชาย ขายดีไหม”
“รสมือของลูกน้ำตาล ทำขายไม่ทัน”
“คุณหญิงสลิลทิชล่ะ นานแล้วนี่...รอยจางสมานสนิทแล้วกระมัง ไม่ถึงขนาดเสียโฉมหาคู่ไม่ได้”
พระพักตร์ท่านหญิงไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อยเมื่อเฉือนความนัยซึ่งมีแต่คนในเข้าใจ ท่านชายเชือดกลับพระเนตรไม่กะพริบเช่นกันขณะทรงตอบราวกับไม่รู้ความนัยนั้น
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นกังวลถึงลูกน้ำหอม แผลเป็นเล็กน้อยเท่านั้น”
“คุณหญิงรัมภาเพียงพิศเรียนถึงชั้นไหนแล้ว” ท่านหญิงตรัสถามเจ้าตัว ทรงแสดงแจ่มแจ้งว่าไม่คร้านจะเรียกชื่อเต็มของสามสาวพี่น้อง ขอเพียงมันไม่แสดงความสนิทชิดเชื้อ
“ทูลฝ่าบาท อีกหนึ่งปีลูกน้ำว้าเรียนจบ” ท่านชายทรงตอบ
“อ้อ ถึงเวลามาทวงสัญญาหมั้นสินะ” สายพระเนตรท่านหญิงจับนิ่งที่หญิงสาวอย่างจะตัดโอกาสไม่ให้ท่านพ่อของเธอตรัสใด ๆ แทน “แหม ดูสิ...อายจนนั่งตัวแข็งไม่กระดิกเชียว ไม่ต้องอายหรอก อักขระกานต์รอต้อนรับคุณหญิงวิมุขมาศอยู่แล้ว คงได้สมหมายที่สะใภ้เล็กกันเสียที จะอีกเป็นปีหรือจะเพิ่งเรียนจบก็ไม่ดูเร่งรัดหรอก”
“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยจำ” หม่อมเจ้าสลักพันธ์ตรัสแทรก “เรื่องของพวกเราสองวัง” สีพระพักตร์ท่านหญิงเข้มขึ้นพอกันกับท่านชายผู้ทรงเน้นเสียง “
อักขระกานต์กับ
วิมุขมาศ กระหม่อมซาบซึ้ง”
การตอบโต้วาจาจบลงเมื่อแม่ผันคนของพระองค์หญิงมาทูลเชิญท่านชายสลักพันธ์กับบุตรีขึ้นบนตำหนัก รัมภาเพียงพิศกราบลาหม่อมเจ้าประกายมาสทรงกลด และถึงแม้ปั้นหน้าไว้ดิบดียังชาทั้งตัวเมื่อท่านตรัสว่า
“รีบไปเถอะ คุณชายธเจตรอเจอคุณหญิงรัมภาเพียงพิศจะแย่แล้ว”
หญิงรุ่นยายร่างตุ้ยนุ้ยประสานมือค้อมตัวเดินเยื้องนำเสด็จท่านชายและธิดาไปตามสะพานไม้เชื่อมระหว่างเรือนหน้ากับตำหนักใหญ่ ราวโปร่งสองข้างกั้นสะพานใต้หลังคาขอบฉลุลายขนมปังขิง ถึงครึ่งทางสะพานทอดข้ามสระบัวแล้วไปสุดปลายชิดพื้นชานนอกตัวตึก ก้าวต่อเนื่องจากชานเข้าภายในแล้วเลี้ยวขึ้นบันไดเลียบผนังฝั่งขวาสู่ชั้นบนตำหนัก
ผนังสีเขียวน้ำไหลจากพื้นล่างจรดเพดานชั้นสองโอฬารเป็นผืนเดียว เหยียบบันไดทีละขั้นจะเห็นรูปถ่ายติดผนังเป็นแนวเฉียงขึ้นไป ภาพเชื้อสายของตระกูลเรียงจากกรอบรูปเล็กไปใหญ่ รุ่นเยาว์สู่อาวุโส ปัจจุบันย้อนอดีต คือ หม่อมราชวงศ์ธเจต -- หม่อมราชวงศ์ธพุฒิ -- หม่อมราชวงศ์ธภูมิ -- หม่อมเจ้าธไทธำรง ตรงพื้นพักกลางบันได พระองค์หญิงกนิษฐ์นภเกตน์ -- พระองค์ชายฐิติสมาน-มโนมัย ถึงหัวบันไดคือพระรูปของต้นสายราชสกุล กรมพระอักขระกานต์ปโยธร
สุดปีกขวาเหนือหน้าต่างบานใหญ่ติดพระรูปของกรมพระอักขระกานต์ปโยธรกับพระองค์หญิงเสมอเสาวภาคย์พระชายา หน้าต่างเปิดโล่งสู่ทิวทัศน์สนามหญ้าเขียวขจีประดับพรรณไม้งามนานาแผ่ไกลจรดริมแม่น้ำ ห่างริมน้ำมาหน่อยมีศาลาแปดเหลี่ยมสามขั้นบันได
แม่ผันหยุดริมประตูห้องโอ่โถงทางซ้ายซึ่งกินพื้นที่ทั้งปีกขวา คนในวังเรียกห้อง ‘นวลจันทร์’ ด้วยเป็นห้องที่อาบนวลแสงจันทร์งามล้ำและชมจันทร์ลอยเหนือผืนน้ำได้สวยสุด หม่อมเจ้าสลักพันธ์ทรงดำเนินนำบุตรีเข้าสู่ภายในห้องพระสำราญส่วนพระองค์ของเจ้าของวังอักขระกานต์ พระองค์หญิงกนิษฐ์นภเกตน์
พระองค์หญิงผู้ทรงมีศักดิ์เป็นพระอัยยิกาของคุณชายทั้งสาม พระราศีผุดผ่อง พระสุรเสียงยังใสกังวาน มีพระดำรัสต้อนรับ
“ขอบ’ทัยท่านชายสลักพันธ์ รับคำเชิญฉันมาที่นี่”
“มิได้ กระหม่อมยินดีเสมอ”
“เพียงพิศด้วยนะ มาหาย่า”
“เป็นพระกรุณามังคะ”
พระองค์หญิงกนิษฐ์นภเกตน์แย้มพระสรวล ด้วยพระชันษาย่าง 72 ปี ทรงตระหนักว่าเหลือเวลาไม่มากนัก เมื่อเจ็ดปีที่แล้วทรงหวังได้เห็นงานสมรสระหว่างธภูมิกับตาณโพยม หลานชายใหญ่กับบุตรีคนโตของท่านชายสลักพันธ์ แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อความจริงที่ว่าหนุ่มสาวต่างมอบใจให้คนอื่นแล้ว ถัดมาสองปีคู่ของหลานชายกับบุตรีคนกลางของสองวัง ธพุฒิกับสลิลทิชวัยกำลังงามพร้อมหมั้นหมาย ปีนั้นธเจตหลานคนเล็กจะได้ติดยศนายเรืออากาศตรี มีงานมงคลควบงานยินดีในปีเดียวกันน่าปลื้มปีติยิ่ง หากก่อนหน้านั้นไม่เกิดเรื่องรุนแรงจนความหวังขาดสะบั้นเสียก่อน ธเจตกับรัมภาเพียงพิศเป็นคู่สุดท้ายแล้วที่จะสมประสงค์ในพระชนม์ชีพได้
ทรงพิศหญิงสาวตรงหน้าพระพักตร์ แต่งตัวแต่งหน้าจัดจ้านไปสักหน่อยออกไปทางสลิลทิช แต่ก็อย่างว่าสาว ๆ รักสวยรักงาม จะถือเป็นข้อติก็จะอคติเกินไป เสียดายตาณโพยม... รัมภาเพียงพิศนิสัยไปทางพี่สาวใหญ่จะไม่น่าวิตก เกรงจะค่อนทางพี่สาวคนรองมากกว่า เสียงลือกระพือเข้าพระกรรณเป็นพัก ๆ ทั้งเรื่องวางตัวก๋ากั่นเกินงามกับคุณชายธเจตและอื่น ๆ แต่เท่าที่เห็นรัมภาเพียงพิศด้วยองค์เองก็ไม่ถึงกับขวางตาติดขัด และในเมื่อทรงปักพระทัยมั่นว่าคู่สุดท้องต้องไม่คลาดแคล้วจึงตรัสกับหญิงสาว
“ย่าอยากให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่” ทรงผินพระพักตร์ยังท่านชาย “หรือฝ่าบาทว่าอย่างไร เห็นดีด้วยไหม”
“กระหม่อมเห็นงามตามพระองค์หญิงรับสั่ง”
“แหม ปีนี้ฉันอายุครบ 6 รอบว่าจะทำบุญใหญ่ คิดถึงงานบุญเลยนึกอยากให้มีงานมงคลติด ๆ กัน ทูลเชิญท่านชายมาวันนี้เราผู้ใหญ่จะได้พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้ง ไม่ต้องรอเพียงพิศเรียนจบ เราจัดพิธีหมั้นก่อนดีไหมท่านชาย”
หม่อมเจ้าสลักพันธ์ค้อมพระเศียรน้อมรับพระดำรินั้นพองาม ทรงข่มกิริยาแม้ดีพระทัยจนเนื้อเต้น ตรงข้ามกับธิดาของท่านซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมต่อหน้าผู้ใหญ่ไม่ไหวอีกต่อไป ขยับตัวแก้อึดอัดเล็กน้อยแทบจะพร้อมกับที่พระองค์หญิงรับสั่ง
“เพียงพิศไปคุยกับพี่ชายหมอกสิลูก”
พี่ชายหมอก...
เช้าวันที่หม่อมราชวงศ์ธเจตเกิดหมอกลงจัดเป็นปรากฏการณ์ทั่วพระนคร คุณชายหมอกจึงเป็นชื่อลำลองเรียกขานกันเฉพาะคนในวังและผู้ใกล้ชิดเรื่อยมา
“ย่าบอกแล้วว่าน้องหญิงจะมา พี่เขารอเจอหนูอยู่” พระสุรเสียงดังขึ้นอีก
“ขอประทานพระอนุญาตมังคะ”
“ไปเถอะจ้ะ”
จรดไว้ในทรวงว่า... (๒)
https://pantip.com/topic/41966906
(๒)
วิมุขมาศ - อักขระกานต์
พ.ศ. ๒๕๑๓
หญิงสาวบรรจงแต่งใบหน้าอย่างงดงาม แต้มสีแดงทาริมฝีปากแล้วรอยยิ้มฉีกขึ้นบนใบหน้า พิศโฉมก็กระหยิ่มยิ้มให้ตัวเองอย่างพึงพอใจ หญิงสาวในกระจกเงาล้อมกรอบทองแกะสลักลายอ่อนช้อย...หม่อมราชวงศ์รัมภาเพียงพิศ วิมุขมาศ
รัมภาเพียงพิศ...ชื่อนี้แม่ตั้งให้
แม่...
กระจกสะท้อนภาพเหมือนสีน้ำมันของมารดาในวัยสาวจากผนังเบื้องหลัง วงหน้าอ่อนโยนด้านข้างแลดูเล็กในกรอบกระจก รูปแม่สวมชุดยาวสีขาวงาช้างยืนเท้าแขนกับเปียโนวาดโดยจิตรกรเอก เธอผละจากเงาในกระจกลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งไปหยิบเดรสคอปีนใหม่เอี่ยมที่แขวนรอ เปลี่ยนชุดแล้วผูกโบต้นคอตบท้าย
ก้าวจากห้องส่วนตัวยังโถงบันได หยุดมองพระรูปเสด็จในกรมฯ พระนามเดิมวิมุขมาศรังสฤษฎิ ผู้ทรงเป็นเสด็จทวด พระรูปบนสุดผนังฟากตรงข้ามใช่ว่าใหญ่โตมโหฬาร รังสีสง่างามแผ่ด้วยพระประวัติสลักในใจว่าทรงมุ่งมั่นพากเพียรทำราชการเจริญสืบเนื่องตลอดพระชนม์ชีพ สองมือเกาะราวระเบียงชั้นบนมองลงห้องนั่งเล่นข้างล่างเห็นตู้ไม้โบราณหลังใหญ่ จัดวางเครื่องถ้วยเบญจรงค์แต่น้อยชิ้นจนดูโหรงเหรง
ก้าวลงบันไดวนสู่ส่วนนั่งเล่นก่อนทะลุยังโถงหน้า เธอหยุดตรงมุขหน้าต่างทรงครึ่งวงกลมเปิดสู่สวนซึ่งโอบรอบตึก โต๊ะทรงพระอักษรของผู้ครองวังพระองค์แรกย้ายมาตั้งตรงนี้ พื้นผนังเหนือโต๊ะติดพระรูปในกรอบโลหะสีทองเรียงลงมา เหนือสุดคือเสด็จในกรมฯ กับพระองค์หญิงสิรมารคมงคลพระชายา ถัดลงมาเป็นพระโอรส - พระองค์ชายสลักอักษรา กรอบล่างสุดคือพระธิดา - พระองค์หญิงฉันท์ฉินจำรัสหล้า เลื่อนสายตาลงถึงตรงกลางหัวโต๊ะ ตั้งพระรูปของพระองค์ชายสลักอักษราคู่หม่อมเจ้านวลนฤดีในวันเสกสมรส จากตรงกลางพระรูปใหญ่เล็กในกรอบเงินรูปไข่เรียงเป็นปีกซ้ายขวา ล้วนเป็นเชื้อสายในราชสกุลวิมุขมาศ
ทายาทของพระองค์ชายสลักอักษรากับหม่อมเจ้านวลนฤดี มีพระนามว่าหม่อมเจ้าสลักพันธ์
ท่านพ่อ...
ขณะนี้หม่อมเจ้าสลักพันธ์ทรงเปิดประตูมุขหน้าตึกเข้ามาและรับทราบว่าธิดาคนเล็กของท่านพร้อมแล้ว รัมภาเพียงพิศพินิจพระรูปของพระองค์หญิงฉันท์ฉินจำรัสหล้าบนผนังอีกครา ช่างภาพฉายพระรูปตอนพระชันษา 17 ปี พระพักตร์อ่อนหวานละมุนละไม พระรูปครึ่งองค์เพียงพอจะแสดงทรวดทรงพระวรกายงามแน่งน้อย เธอละสายตาจากพระรูปอันขนาบด้วยพื้นผนังซีดหมองและผละมือจากผิวสึกกร่อนของโต๊ะไม้ ตามท่านพ่อออกสู่หน้ามุขของตำหนักใหญ่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษเมื่อเกือบแปดสิบปีก่อน ตำหนักสีรงทองมรดกตกทอดจากพระองค์ต้นสกุลเคยเรืองอร่ามเดี๋ยวนี้ซีดโรย
คุณหญิงรัมภาเพียงพิศก้าวจากหน้ามุขสู่ภายนอก สวนของวังยังสดเขียวร่มรื่น ดีจริง...ตาปรุงคนสวนเก่าแก่รักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ขยันปลูกขยันบำรุงรักษาของแกไปเรื่อย ๆ ท่านชายสลักพันธ์ทรงย้ำเตือนบุตรีผู้เป็นความหวังสุดท้าย อักขระกานต์กับวิมุขมาศต้องสมัครสมานเป็นปึกแผ่นและศรีสง่าแก่กัน เธอแย้มยิ้มรับความปรารถนาของท่านพ่อ
หม่อมราชวงศ์รัมภาเพียงพิศ วิมุขมาศต้องไปวังอักขระกานต์แล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์หม่อมเจ้าประกายมาสทรงกลด ท่านย่าของคุณชายทั้งสาม ณ เรือนหน้าวังอักขระกานต์ รัมภาเพียงพิศรู้สึกราวกับว่าท่านพ่อทรงพาองค์เองกับเธอมาเป็นแขกของที่นี่ ท่านหญิงทรงทักทายทั่วไปแล้วตรัสถามท่านชายสลักพันธ์ถึงบุตรีคนโตกับคนกลาง
“คุณหญิงตาณโพยมกับสามี เอ้อ...นาย ชื่อนาย...นายอะไรนะ”
“ชนิด กระหม่อม”
“สบายดีกันใช่ไหม ท่านชาย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ทั้งสองไม่เจ็บไม่ไข้”
“ขนมล่ะท่านชาย ขายดีไหม”
“รสมือของลูกน้ำตาล ทำขายไม่ทัน”
“คุณหญิงสลิลทิชล่ะ นานแล้วนี่...รอยจางสมานสนิทแล้วกระมัง ไม่ถึงขนาดเสียโฉมหาคู่ไม่ได้”
พระพักตร์ท่านหญิงไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อยเมื่อเฉือนความนัยซึ่งมีแต่คนในเข้าใจ ท่านชายเชือดกลับพระเนตรไม่กะพริบเช่นกันขณะทรงตอบราวกับไม่รู้ความนัยนั้น
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นกังวลถึงลูกน้ำหอม แผลเป็นเล็กน้อยเท่านั้น”
“คุณหญิงรัมภาเพียงพิศเรียนถึงชั้นไหนแล้ว” ท่านหญิงตรัสถามเจ้าตัว ทรงแสดงแจ่มแจ้งว่าไม่คร้านจะเรียกชื่อเต็มของสามสาวพี่น้อง ขอเพียงมันไม่แสดงความสนิทชิดเชื้อ
“ทูลฝ่าบาท อีกหนึ่งปีลูกน้ำว้าเรียนจบ” ท่านชายทรงตอบ
“อ้อ ถึงเวลามาทวงสัญญาหมั้นสินะ” สายพระเนตรท่านหญิงจับนิ่งที่หญิงสาวอย่างจะตัดโอกาสไม่ให้ท่านพ่อของเธอตรัสใด ๆ แทน “แหม ดูสิ...อายจนนั่งตัวแข็งไม่กระดิกเชียว ไม่ต้องอายหรอก อักขระกานต์รอต้อนรับคุณหญิงวิมุขมาศอยู่แล้ว คงได้สมหมายที่สะใภ้เล็กกันเสียที จะอีกเป็นปีหรือจะเพิ่งเรียนจบก็ไม่ดูเร่งรัดหรอก”
“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยจำ” หม่อมเจ้าสลักพันธ์ตรัสแทรก “เรื่องของพวกเราสองวัง” สีพระพักตร์ท่านหญิงเข้มขึ้นพอกันกับท่านชายผู้ทรงเน้นเสียง “อักขระกานต์กับวิมุขมาศ กระหม่อมซาบซึ้ง”
การตอบโต้วาจาจบลงเมื่อแม่ผันคนของพระองค์หญิงมาทูลเชิญท่านชายสลักพันธ์กับบุตรีขึ้นบนตำหนัก รัมภาเพียงพิศกราบลาหม่อมเจ้าประกายมาสทรงกลด และถึงแม้ปั้นหน้าไว้ดิบดียังชาทั้งตัวเมื่อท่านตรัสว่า
“รีบไปเถอะ คุณชายธเจตรอเจอคุณหญิงรัมภาเพียงพิศจะแย่แล้ว”
หญิงรุ่นยายร่างตุ้ยนุ้ยประสานมือค้อมตัวเดินเยื้องนำเสด็จท่านชายและธิดาไปตามสะพานไม้เชื่อมระหว่างเรือนหน้ากับตำหนักใหญ่ ราวโปร่งสองข้างกั้นสะพานใต้หลังคาขอบฉลุลายขนมปังขิง ถึงครึ่งทางสะพานทอดข้ามสระบัวแล้วไปสุดปลายชิดพื้นชานนอกตัวตึก ก้าวต่อเนื่องจากชานเข้าภายในแล้วเลี้ยวขึ้นบันไดเลียบผนังฝั่งขวาสู่ชั้นบนตำหนัก
ผนังสีเขียวน้ำไหลจากพื้นล่างจรดเพดานชั้นสองโอฬารเป็นผืนเดียว เหยียบบันไดทีละขั้นจะเห็นรูปถ่ายติดผนังเป็นแนวเฉียงขึ้นไป ภาพเชื้อสายของตระกูลเรียงจากกรอบรูปเล็กไปใหญ่ รุ่นเยาว์สู่อาวุโส ปัจจุบันย้อนอดีต คือ หม่อมราชวงศ์ธเจต -- หม่อมราชวงศ์ธพุฒิ -- หม่อมราชวงศ์ธภูมิ -- หม่อมเจ้าธไทธำรง ตรงพื้นพักกลางบันได พระองค์หญิงกนิษฐ์นภเกตน์ -- พระองค์ชายฐิติสมาน-มโนมัย ถึงหัวบันไดคือพระรูปของต้นสายราชสกุล กรมพระอักขระกานต์ปโยธร
สุดปีกขวาเหนือหน้าต่างบานใหญ่ติดพระรูปของกรมพระอักขระกานต์ปโยธรกับพระองค์หญิงเสมอเสาวภาคย์พระชายา หน้าต่างเปิดโล่งสู่ทิวทัศน์สนามหญ้าเขียวขจีประดับพรรณไม้งามนานาแผ่ไกลจรดริมแม่น้ำ ห่างริมน้ำมาหน่อยมีศาลาแปดเหลี่ยมสามขั้นบันได
แม่ผันหยุดริมประตูห้องโอ่โถงทางซ้ายซึ่งกินพื้นที่ทั้งปีกขวา คนในวังเรียกห้อง ‘นวลจันทร์’ ด้วยเป็นห้องที่อาบนวลแสงจันทร์งามล้ำและชมจันทร์ลอยเหนือผืนน้ำได้สวยสุด หม่อมเจ้าสลักพันธ์ทรงดำเนินนำบุตรีเข้าสู่ภายในห้องพระสำราญส่วนพระองค์ของเจ้าของวังอักขระกานต์ พระองค์หญิงกนิษฐ์นภเกตน์
พระองค์หญิงผู้ทรงมีศักดิ์เป็นพระอัยยิกาของคุณชายทั้งสาม พระราศีผุดผ่อง พระสุรเสียงยังใสกังวาน มีพระดำรัสต้อนรับ
“ขอบ’ทัยท่านชายสลักพันธ์ รับคำเชิญฉันมาที่นี่”
“มิได้ กระหม่อมยินดีเสมอ”
“เพียงพิศด้วยนะ มาหาย่า”
“เป็นพระกรุณามังคะ”
พระองค์หญิงกนิษฐ์นภเกตน์แย้มพระสรวล ด้วยพระชันษาย่าง 72 ปี ทรงตระหนักว่าเหลือเวลาไม่มากนัก เมื่อเจ็ดปีที่แล้วทรงหวังได้เห็นงานสมรสระหว่างธภูมิกับตาณโพยม หลานชายใหญ่กับบุตรีคนโตของท่านชายสลักพันธ์ แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อความจริงที่ว่าหนุ่มสาวต่างมอบใจให้คนอื่นแล้ว ถัดมาสองปีคู่ของหลานชายกับบุตรีคนกลางของสองวัง ธพุฒิกับสลิลทิชวัยกำลังงามพร้อมหมั้นหมาย ปีนั้นธเจตหลานคนเล็กจะได้ติดยศนายเรืออากาศตรี มีงานมงคลควบงานยินดีในปีเดียวกันน่าปลื้มปีติยิ่ง หากก่อนหน้านั้นไม่เกิดเรื่องรุนแรงจนความหวังขาดสะบั้นเสียก่อน ธเจตกับรัมภาเพียงพิศเป็นคู่สุดท้ายแล้วที่จะสมประสงค์ในพระชนม์ชีพได้
ทรงพิศหญิงสาวตรงหน้าพระพักตร์ แต่งตัวแต่งหน้าจัดจ้านไปสักหน่อยออกไปทางสลิลทิช แต่ก็อย่างว่าสาว ๆ รักสวยรักงาม จะถือเป็นข้อติก็จะอคติเกินไป เสียดายตาณโพยม... รัมภาเพียงพิศนิสัยไปทางพี่สาวใหญ่จะไม่น่าวิตก เกรงจะค่อนทางพี่สาวคนรองมากกว่า เสียงลือกระพือเข้าพระกรรณเป็นพัก ๆ ทั้งเรื่องวางตัวก๋ากั่นเกินงามกับคุณชายธเจตและอื่น ๆ แต่เท่าที่เห็นรัมภาเพียงพิศด้วยองค์เองก็ไม่ถึงกับขวางตาติดขัด และในเมื่อทรงปักพระทัยมั่นว่าคู่สุดท้องต้องไม่คลาดแคล้วจึงตรัสกับหญิงสาว
“ย่าอยากให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่” ทรงผินพระพักตร์ยังท่านชาย “หรือฝ่าบาทว่าอย่างไร เห็นดีด้วยไหม”
“กระหม่อมเห็นงามตามพระองค์หญิงรับสั่ง”
“แหม ปีนี้ฉันอายุครบ 6 รอบว่าจะทำบุญใหญ่ คิดถึงงานบุญเลยนึกอยากให้มีงานมงคลติด ๆ กัน ทูลเชิญท่านชายมาวันนี้เราผู้ใหญ่จะได้พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้ง ไม่ต้องรอเพียงพิศเรียนจบ เราจัดพิธีหมั้นก่อนดีไหมท่านชาย”
หม่อมเจ้าสลักพันธ์ค้อมพระเศียรน้อมรับพระดำรินั้นพองาม ทรงข่มกิริยาแม้ดีพระทัยจนเนื้อเต้น ตรงข้ามกับธิดาของท่านซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมต่อหน้าผู้ใหญ่ไม่ไหวอีกต่อไป ขยับตัวแก้อึดอัดเล็กน้อยแทบจะพร้อมกับที่พระองค์หญิงรับสั่ง
“เพียงพิศไปคุยกับพี่ชายหมอกสิลูก”
พี่ชายหมอก...
เช้าวันที่หม่อมราชวงศ์ธเจตเกิดหมอกลงจัดเป็นปรากฏการณ์ทั่วพระนคร คุณชายหมอกจึงเป็นชื่อลำลองเรียกขานกันเฉพาะคนในวังและผู้ใกล้ชิดเรื่อยมา
“ย่าบอกแล้วว่าน้องหญิงจะมา พี่เขารอเจอหนูอยู่” พระสุรเสียงดังขึ้นอีก
“ขอประทานพระอนุญาตมังคะ”
“ไปเถอะจ้ะ”