เราจะมีวิธีจัดการจิตใจเวลาที่เรารู้สึกสับสนมากๆยังไงดีคะ

เราป่วยเป็นschizoeffective disorder (คือมีภาวะซึมเศร้าร่วมกับหลุดจากความเป็นจริง) มานาน 8 ปี ตอนนี้ก็ยังคงรักษาอยู่ทานยาพบจิตแพทย์ต่อเนื่องสม่ำเสมอ หมอก็แจ้งว่าเคสแบบเราน่าจะต้องทานยาไปตลอดชีวิต ตอนนี้เราก็ทำงานได้ตามปกติ มีปฏิสัมพันธ์คุยกับเพื่อนร่วมงานคนในครอบครัวได้ดี แต่ในความปกตินั้นเราก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ตลอดเวลา ว่าคนแบบเราจะป่วยด้วยเรื่องจิตเวชจริงๆเหรอ

อาการตอนแรกที่ต้องไปพบหมอคือสมัยเรียนเราอ่านหนังสือแล้วจำไม่ได้แบบไม่ได้เลย ไม่มีสมาธิ จากเดิมที่เป็นคนความจำดีมากๆ(เรียกได้ว่าเป็นว่าที่เกียรตินิยมอันดับ1เลยก็ว่าได้) มีอาการอ่อนเพลีย นอนเยอะผิดปกติ ร่วมกับคนรอบตัวรู้สึกแปลกๆไปเหมือนมีความลับบางอย่างกับเรา ตั้งแต่หลังเราไปตรวจร่างกายที่มหาวิทยาลัยก่อนขึ้นชันคลินิก เราก็ไปตรวจแผนกอื่นตอนแรกด้วยคิดว่าตัวเองเป็นโรคร้าย แต่ปรากฎก็ตรวจทุกอย่างแล้วเขาแจ้งผลว่าปกติและได้ส่งตัวไปแผนกจิตเวช แล้วตอนนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องกระทบกระเทือนใจขนาดที่จะทำให้เราเป็นโรคซึมเศร้าได้ และพอตั้งแต่ป่วยทานยามาการเรียนเราก็แย่ลงมากๆจนเกือบเรียนแทบไม่จบ เพราะอ่านหนังสือได้ยากมากพยายามอ่านเท่าไรมันก็จำไม่ได้จนเราท้อไปเลย จากเป็นคนอ่านหนังสือตลอดเวลาก็ต้องกลายเป็นคนลอยๆไปวันๆฟังเพลง ดูหนัง วิ่ง ทำทุกอย่างที่เขาว่าจะดีขึ้น ระหว่างนั้นเพื่อนก็ค่อยๆหายไปจนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ก็มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ทำงานปกติเมื่อจำเป็น รู้สึกชีวิตมันทั้งเหงา บอกกับใครไม่ได้ สับสน ไร้เป้าหมายในชีวิต มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากๆเราก็ทนมาจนเรียนจบ6ปี แต่ก็มีคำถามอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าเราเป็นอะไรกันแน่ อธิบายไม่ถูกว่ามันสับสนขนาดไหน แต่อยากบอกว่ามันสับสนขนาดที่ใช้ชีวิตยากมากๆ 

จนมาใช้ทุนเราก็ยังต้องทำงานไปด้วยกินยาจิตเวชที่แสนง่วงและอยู่เวรไปด้วย โชคดีที่เป็นคนเรียนรู้ได้เร็วทำให้การperformanceไม่ค่อยมีปัญหา แต่ตัวเรารู้สึกตลอดว่าเราต้องใช้ความสามารถเยอะมากๆและไม่มีใครเข้าใจอาการที่เราเป็น ข้อจำกัดของเราคือ ความจำแย่ ความรู้ไม่ลึกมากอ่านหนังสือต่อยอดไม่ได้ ง่วงบ่อย มือสั่นแบบมากๆแต่ชอบทำผ่าตัด และเราอยู่แผนกศัลยกรรมและอยากเรียนต่อด้านนี้ เราก็treatไปใช้ทุนไปจนครบ แน่นอนเส้นทางการเรียนต่อเฉพาะทางของเราคงเป็นไปไม่ได้ อยากบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายมากเมื่เราต้องออกจากวงการศัลยกรรมจริงๆ ตอนนี้ก็ออกมาตรวจเวชปฏิบัติทั่วไปคือคิดว่าทำได้ดีเลยทีเดียวคนไข้ที่คลินิกก็บอกต่อและมารักษามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกเราคือเราน่าจะสามารถไปได้ไกลกว่านั้นและรู้สึกมันสิ้นสุดหนทางไปต่อในอายุแค่29ปี ในขณะที่เพื่อนๆในวัยเดียวกันนั้นต่างออกไป เราก็เริ่มจะทำใจได้แม้จะทำใจได้ยากมากๆ แต่ก็ยังมีความคิดสงสัยตลอดเวลาว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ชีวิตเราจะเป็นแบบนี้ไปตลอดเหรอ

ตอนนี้มันทั้งรู้สึกเหงา สับสน ไม่เห็นเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน ใครพอมีแนวทางยังไงแนะนำเพิ่มเติมบ้างไหมคะ นอกจาการรักษาที่ทำอยู่ในปัจจุบันและไปปฏิบัติธรรมบ้างเป็นครั้งคราวตามโอกาส
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่