แครี่ 346 หลา ไกลเกินไป USGA และ R&A จึงอยู่เฉยไม่ได้



อย่างน้อยสองเมเจอร์ คือ US open และ The Open ในปี 2026 นักกอล์ฟที่ลงแข่งขันจะต้องใช้ลูกกอล์ฟที่มีการควบคุมระยะ หรือที่เรียกว่า shorter balls เหตุผลก็คือ ไม่มีที่ให้ขยายสนามได้อีกแล้ว 
 
นี่คือซุ่มเสียงที่ดังออกมาจากสององค์กรควบคุมกฎกอล์ฟโลก USGA และ R&A เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่นำเสนอทางเลือกให้กับสมาคมกอล์ฟทัวร์พิจารณา บังคับใช้ลูกกอล์ฟที่เดินทางสั้นกว่าปัจจุบันลง 15 หลา
 
ประจวบกับที่ รอรี่ แม็กอิลรอย ตีไดรฟเวอร์ TaylorMade Stealth 2 Plus (หน้าไม้ 9 องศา ก้าน Fujikura Ventus Black 6X) แถมยังตัดก้านให้สั้นลง จาก 44.5 มาอยู่ที่ 44 นิ้ว ส่วนลูกกอล์ฟเป็น TP5X ปี 2021 ของ TaylorMade เช่นกัน ลูกออนกรีนที่หลุม 18 พาร์ 4 ระยะ 375 ที่สนาม Austin Country Club ของรายการ WGC-Dell Match Play เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ด้วยระยะแครี 346 หลา เข้าไปเหลือระยะพัตต์เพียงสี่ฟุต
 
สิ่งที่ทั้งสององค์กรนำเสนอคือ Modified Local Rule สำหรับลูกกอล์ฟ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เป็นทางการในเดือนมกราคม ปี 2026 หรือราวสามปีต่อจากนี้ พร้อมกับเปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ จากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นระยะเวลาห้าเดือน ไปถึงเดือนกันยายน โดยเฉพาะ พีจีเอทัวร์ และทัวร์ระดับแนวหน้าของทุกภูมิภาค ว่าจะตอบรับหรือมีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง
 
การตัดสินใจออกกฎควบคุมระยะบอลครั้งนี้ มาจากโครงการศึกษา “Distance Insights Project” ที่ออกรายงานมาเมื่อปี 2020 ซึ่งมีสรุปใจความแนะนำว่า มีการเพิ่มขึ้นของระยะทางของนักกอล์ฟในพีจีเอทัวร์ เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 30 หลาจากเมื่อ 25 ปีก่อน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นผลดีต่อเกมกอล์ฟโดยรวม
 
ไมค์ วาน ผู้บริหารสูงสุดของ USGA ออกมากล่าวว่า การเพิกเฉย (ต่อระยะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง) โดยไม่ทำอะไรเลย จะถือเป็นความไม่รับผิดชอบ 
 
มีการศึกษามาตรฐาน Overall Distance อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1976 เพื่อชี้หาความเป็นไปได้ของระยะจากไดรฟเวอร์ของบรรดานักกอล์ฟตีไกลในทัวร์ ซึ่งในปี 2004 ก็ได้มีการศึกษาและอัพเดทให้ทันสมัย โดยพบว่าความเร็วเฉลี่ยของนักกอล์ฟที่มีสปีดสูงๆ ได้เพิ่มขึ้นจาก 109 ไมล์/ชั่วโมง เมื่อ 25 ปีก่อน ขึ้นมาอยู่ที่ 120 ไมล์/ชั่วโมง ในปี 2004 ซึ่งเทียบเป็นระยะคือ 320 หลา
 
ข้อเสนอใหม่สำหรับลูกกอล์ฟนี้ จะทำการทดสอบกับวงสวิงที่มีสปีดที่ 125 - 127 ไมล์/ชั่วโมง แต่จะควบคุมให้ได้ระยะที่เท่าเดิมคือ 320 หลา ซึ่งหมายความว่า ลูกกอล์ฟที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (ยิ่งสปีดสูง ลูกยิ่งได้ระยะมากขึ้น) จะไม่สอดคล้องตามมาตรฐานใหม่ ดังนั้นผู้ผลิตจะต้องเปลี่ยนสูตรการออกแบบใหม่เพื่อให้ได้ระยะสั้นลง
 
ซึ่งจากข้อมูลของกอล์ฟ ไดเจสต์ บอกว่า ปัจจุบันยังไม่มีนักกอล์ฟคนใดในพีจีเอทัวร์ ที่มีความเร็วหัวไม้เฉลี่ยที่ 127 mph ถึงแม้ว่าจะมีนักกอล์ฟบางคนที่ตีได้ในบางโอกาส แต่ก็ไม่ใช่สถิติทางการ
 
กฎ Modified Local Rule จะแบ่งเป็นสองกฎย่อย คือหนึ่งกฎสำหรับบังคับนักกอล์ฟระดับอีลีท ทั้งนักกอล์ฟอาชีพระดับทัวร์และมือสมัครเล่นชั้นแนวหน้า สอง กฎสำหรับนักกอล์ฟสันทนาการทั่วไป นี่จะเป็นครั้งแรกที่มีการล้มล้างการบังคับใช้กฎเดียวกัน ระหว่างนักกอล์ฟทั้งสองกลุ่มนี้อย่างชัดเจน และคาดว่าจะสร้างความสับสนให้กับนักกอล์ฟเพิ่มขึ้นไม่น้อย
 
แต่ผลกระทบใหญ่ที่สุด คงไม่เกินบริษัทผู้ผลิตลูกกอล์ฟ ซึ่งปัจจุบันหน่วยธุรกิจลูกกอล์ฟก็สร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์กอล์ฟได้มากกว่าหน่วยธุรกิจอื่นๆ (แม้กระทั้งไม้กอล์ฟ) เพราะที่ผ่านมาได้ลงทุนด้านวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีลูกกอล์ฟไปไม่น้อย การออกกฎดังกล่าวมา จึงเหมือนการก้าวถอยหลังและสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ จึงสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นไม่น้อย
 
  
รายได้แบ่งตามหน่วยธุรกิจ ของ Acushnet Holdings Corp. ปี 2014-2021 
 
แอ็กคุชเนต บริษัทผู้ผลิตลูกกอล์ฟไทเทิลลิสต์ แบรนด์เจ้าตลาด ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ โดยกล่าวว่า การมีกฎที่แบ่งแยกระหว่างนักกอล์ฟทั่วไปกับนักกอล์ฟระดับทัวร์ มีแต่จะสร้างความสับสน
 
“ข้อเสนอกฎลูกกอล์ฟใหม่นี้ ในหลายๆแง่มุมมันเป็นทางออกที่นำไปสู่ปัญหาใหม่” เดวิด มาห์เออร์ ประธานบริหารของแอ็กคุชเนตกล่าว เขาบอกต่อว่า นักกอล์ฟจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันในการปรับตัวกับลูกกอล์ฟที่มีระยะสั้นลง และการมีลูกหลากหลายเวอร์ชั่นหลายประเภท มีแต่จะยิ่งเพิ่มความสับสนให้นักกอล์ฟ
 
องค์กรควบคุมกอล์ฟยังได้แจ้งเพิ่มเติมว่า กฎใหม่นี้จะไม่มีผลสำหรับวงการกอล์ฟสัตรี นั่นเพราะว่ายังมีพื้นที่สนามให้สามารถขยายรองรับระยะที่เพิ่มขึ้นของนักกอล์ฟหญิงได้อีกนาน
 
ขณะที่ ไมค์ วาน ซีอีโอแห่ง USGA และ มาร์ติน สลัมเบอร์ ซีอีโอของ R&A บอกว่า กฎใหม่นี้จะเริ่มบังคับใช้ครั้งแรกที่ายการ U.S. Open และ British Open ปี 2026 และจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของทั้ง ออกัสตา เนชั่นแนล และ พีจีเอแห่งอเมริกา ว่าจะนำกฎลูกกอล์ฟใหม่นี้ใช้บังคับสำหรับเมเจอร์ของตนหรือไม่
 
ส่วนองค์กรพีจีเอทัวร์ ได้ออกแถลงการณ์ว่า จะพิจารณาอย่างรอบคอบ พร้อมกับทำงานร่วมกับทั้งสององค์กรควบคุมกอล์ฟในอีกห้าเดือนข้างหน้าอย่างใกล้ชิด
 
“พีจีเอทัวร์ จะยึดมั่นเพื่อให้มั่นใจว่าโซลูชั่นใดๆ ที่ออกมา จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อเกมกอล์ฟโดยรวม ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบทั้งกับทัวร์ ผู้เล่นของทัวร์ รวมทั้ง ความสนุกเร้าใจของแฟนกอล์ฟ”
 
ขณะที่ พีจีเอแห่งอเมริกา ก็ออกมากล่าวคล้ายๆกันว่า พวกเขาจะต่อต้านความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่นำไปสู่การลดทอนความสนุกเร้าใจในเกมกอล์ฟสำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไป ซึ่งยังดีที่ข้อเสนอกฎใหม่นี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่นักกอล์ฟสันทนาการทั่วไป
 
“เราไม่สนับสนุนการมีกฎกอล์ฟที่บังคับใช้แตกต่างกัน และคาดหวังว่าจะไม่มีสโมสรกอล์ฟใดบังคับใช้กฎ Modified Local Rule นี้ ซึ่งมีไว้สำหรับนักกอล์ฟในทัวร์เท่านั้น สำหรับรายการ PGA Championship ปี 2026 นั้นเรายังมีเวลาอีกพอสมควร ซึ่งระหว่างนี้หวังว่าจะมีข้อมูลที่มีความจำเพาะมากขึ้น ก่อนถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่า จะยอมบังคับใช้กฎที่ว่านี้หรือไม่”
 
กฎ Modified Local Rule ได้ให้สิทธิสำหรับองค์กรควบคุมกอล์ฟ สามารถออกกฎกอล์ฟที่บังคับเฉพาะนักกอล์ฟระดับอีลีท แต่จะไม่กระทบกับนักกอล์ฟเพื่อสันทนาการทั่วไป ซึ่งเริ่มจะกลับมาคึกคักหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ USGA และ R&A ได้ออกกฎที่จำกัดความยาวก้านไม้กอล์ฟสูงสุดที่ 46 นิ้ว จากเดิมที่อนุญาตถึง 48 นิ้ว(ยกเว้นพัตเตอร์) 
 
แต่ดูเหมือนว่าการจำกัดความยาวก้านจะเอาไม่อยู่ คราวนี้จึงมาเล่นกับลูกกอล์ฟแทน
 
อีกหนึ่งประเด็นเกี่ยวกับอุปกรณ์กอล์ฟที่น่าสนใจ คือมีบางคนตั้งข้อน่าสังเกตต่อผู้ผลิตไว้ว่า หน้าไม้ของไดรฟเวอร์ในปัจจุบัน นับวันจะมีความบางขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เกิดลักษณะการดีดตัวเหมือนเทมโปลีน (spring-like effect) ซึ่งล่าสุดกรณีของรอรีที่ต้องเปลี่ยนไดรฟเวอร์ใหม่ก่อนลงแข่งขัน The Genesis Invitational เพราะเหตุผลที่ว่า ไดรฟเวอร์ตัวเดิม Stealth Plus ที่ช่วยเขาคว้าแชมป์ Dubai Desert Classic เมื่อเดือนมกราคมนี้ อาจไม่ผ่านการทดสอบความหน้าเด้ง ซึ่งรอรี่บอกว่า หน้าไม้ของไดรฟเวอร์มีความบาง ยิ่งตีมากหน้าไม้จะยิ่งบางลง และเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า spring-like effect มากขึ้น
 
แน่นอนว่าเมื่อกฎยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน ก่อนจะไปสรุปที่จุดที่ลงตัวที่สุดในราวปลายปีนี้ ลองมาฟังความคิดเห็นจากผลการสำรวจโดยบริษัท Datatech  ที่สอบถามนักกอล์ฟที่เล่นกอล์ฟจริงจัง (serious golfers) ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเกมกอล์ฟและอุปกรณ์กอล์ฟค่อนข้างดี จำนวน 1,250 ราย ว่าพวกเขาคิดเห็นต่อกฎลูกกอล์ฟใหม่นี้อย่างไร 
 
จากทั้งหมด 1,250 ราย
 
52 เปอร์เซ็นต์ ไม่ชอบข้อเสนอกฎใหม่นี้
23 เปอร์เซ็นต์ ชอบข้อเสนอใหม่นี้
13 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะแสดงความเห็น
12 เปอร์เซ็นต์ ไม่สนใจ ยังไงก็ได้
 
โดย 647 รายที่ไม่สนับสนุนกฎข้อเสนอใหม่ ได้ให้เหตุผลว่า
 
72 เปอร์เซ็นต์ อยากให้นักกอล์ฟทุกคนใช้กฎเสมอภาคกัน
55 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าไม่มีความจำเป็น
43 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าสร้างความสับสนให้กฎกอล์ฟยิ่งขึ้น
7 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าพวกเขาแข่งขันในระดับสูงและไม่อยากให้ออกฎที่สร้างความยุ่งยากให้พวกเขา
 
และ 293 รายที่สนับสนุนข้อเสนอกฎใหม่ โดยมีเหตุผลว่า
 
85 เปอร์เซ็นต์ ไม่อยากเห็นสนามคลาสสิกบางสนามต้องถูกยกเลิกไป (สนามสั้นเกินไป)
45 เปอร์เซ็นต์ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีส่วนทำลายเกมกอล์ฟ
39 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่าพวกโปรในทัวร์ตีไกลเกินไป
26 เปอร์เซ็นต์ พวกตนไม่ได้ตีไกลอย่างโปร โปรจะใช้ลูกแบบไหนก็ไม่เกี่ยวกับตน
 
แม้จะมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความกังวลและเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว นั้นคือมันจะทำให้การแข่งขันกอล์ฟระดับโลก ที่มีมูลค่าทางธุรกิจมหาศาลต่ออุตสาหกรรมกอล์ฟ ลดความสนุกน่าตื่นเต้น ลงไปหรือไม่ 
 
ในบรรดานักกอล์ฟแถวหน้า มีเพียงรอรี ที่ได้ออกความเห็นต่อข้อเสนอใหม่นี้ ซึ่งน่าประหลาดใจที่เขากลับเห็นด้วยกับกฎใหม่นี้ ทั้งที่กฎใหม่จะทำให้เขาลดความได้เปรียบลง โดยรอรี่ให้เหตุผลว่า มันจะง่ายต่อการพิสูจน์ว่า ใครคือนักกอล์ฟที่เก่งที่สุดอย่างแท้จริง
 
นอกจากเทคโนโลยีลูกกอล์ฟและค่า spring-like effect ของหน้าไดรฟเวอร์ที่เป็นเป้าหมายของ USGA และ R&A แล้ว ในรายงานผลการศึกษาองค์กรทั้งสอง ยังได้พูดถึงค่าชดเชยความผิดพลาด (forgiveness) อย่างค่า MOI เอาไว้ด้วย ซึ่งถูกมองว่าสูงเกินไป ซึงปัจจุบันจำกัดไว้ที่ 5,900 grams/cm2 และกฎใหม่ที่คาดว่าจะออกมาจะยอมให้ได้ที่ 2,600 แม้ว่าการศึกษาของรายงานจะแนะนำให้ควบคุมที่ระดับไม่เกิน 2,000 ก็ตาม ซึ่งจากการอ้างอิงของกอล์ฟ ไดเจสต์ ค่า 2,000 grams/cm2 คือระดับค่าชดเชยความผิดพลาด ที่มีในเหล็กเบลดหลังตันในปัจจุบัน 
 
ซึ่งหากองค์กรควบคุมกฎกอล์ฟทั้งสองยังคงรุกคืบการควบคุม ไปที่อุปกรณ์กอล์ฟมากเกินไป เราอาจได้เห็นความขัดแย้งใหม่ ระหว่างผู้ผลิตอุปกรณ์กอล์ฟกับองค์กรควบคุม ที่อาจเข้มข้นไม่แพ้ศึกระหว่าง PGA Tour กับ Liv Golf ก็เป็นได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่