ครั้งแรก Belgium & The Natherlands....พาไป 2 ประเทศนี้ที่อาจไม่ได้อยู่ในความนิยมของการเที่ยว Europe เท่าไหร่นัก แต่ก็มีคนไทยเริ่มไปเที่ยวเยอะแล้ว จะน่าสนใจอย่างไรหรือเป็นอย่างไรบ้าง ไปเที่ยวด้วยกันเลยนะคะ
จากกระทู้ก่อนหน้าที่เราพาพ่อแม่เที่ยวยุโรป 3 ประเทศหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย รวมถึงได้ติดโควิดครั้งแรกและครั้งเดียวไปแล้ว เราจึงถือโอกาสใช้ Multi-visa ที่ออกโดยสถานทูตโปแลนด์ให้คุ้มค่าเสียหน่อย เพราะเสียค่าวีซ่าไปถึง 2 รอบ (อ้างถึงกระทู้ก่อนหน้านี้ https://pantip.com/topic/41716654)
ทริปนี้เราไม่พาพ่อแม่ไปด้วยแล้ว มีเวลาเที่ยวเพียง 10 วัน ไม่นับวันที่อยู่บนเครื่อง ถือว่าน้อยกว่าปกติที่จะไปให้ได้ 2 อาทิตย์เต็มๆ เนื่องจากเกรงใจออฟฟิตเพิ่งลายาวไปไม่ถึง 6 เดือนก่อนเพื่อไปทริปด้านบน แต่เนื่องจากวีซ่าเขาให้มา 6 เดือนก็เลยต้องรีบไป ถามว่าอยากไป 2 ประเทศนี้ไหม ตอบตรงๆเลยว่าไม่อยากเลยค่ะ 5555 จริงๆ เราอยากไปโปรตุเกส หรือลัดเวีย แต่ด้วยความที่ตั๋วเครื่องบินราคาสูง เกือบ 4 หมื่นทั้งนั้นเลย อันไม่ใช่ราคาปกติของปีก่อนโควิด เราจึงคิดว่าเก็บไว้ก่อนก็ได้ และเราใช้วิธีโง่ๆในการเลือกประเทศเลยคือ ไฟล์ทไปที่ไหนถูกก็ไปที่นั่น เพราะยุโรปก็คือยุโรปเนอะ ไปที่ไหนเราก็แฮ้ปปี้ หวยจึงมาออกที่ Brussels ซึ่งคง demand ต่ำ ไม่มีใครอยากไปหรือไงไม่ทราบ 55 ถึงลดราคาอยู่เมืองเดียวจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ถูกมากหรอกค่ะ ประมาณ 25,xxx บาท กับ Qatar Airways สายการบินในดวงใจ ปกติแล้วถ้าเลือกได้ เราจะเลือกเดินทางในเดือนเมษายน - พฤษภาคม หรือ กันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนหัวท้ายของฤดูหนาว อากาศจะดีหน่อย แต่ครั้งนี้เดินทางกลางๆเดือนมีนาคม ก็รู้แล้วละว่าเตรียมใจเจออากาศหนาวและฝนที่ยังมีตกประปราย
Flight ของเราบินไป-กลับจาก Brussels แบ่งการพักแต่ละเมือง โดยเลือกเมืองดังๆที่ระยะเวลานั่งรถไฟไม่เกิน 3 ชม. ดังนี้
* Brussels 3 คืน (ไฟล์ทไปถึงสองทุ่มค่ะ คืนแรกจึงเหมือนเสียไปป่าวๆ แต่เราจะใช้เวลาไปเก็บภาพกลางคืนใน Grand Place)
เที่ยว Mont des Arts Garden - Church of Our Lady of Victories at the Sablon - St Michael and St Gudula Cathedral - Manneken Pis - Choco-Story - Chocolaterie Mary - Notre Dame du Sablon - Grand Place -Shopping Mall Les Galeries Royales Saint-Hubert - Jeanneke-Pis - Dog Het Zinneke - Tintin Comic Mural - Shopping Street Rue Neuve
(หากเวลาเหลือจะไป Parc du Cinquantenaire - Parlamentarium - Atomium - Mini Europe - Horta Museum (Musee Horta) หรืออาจนั่งรถไฟไปเที่ยว Antwerp เสียเลย)
* Brugges 2 คืน เมืองมรดก Unesco
เที่ยว ภายใน Old town ทั้งหมด - Windmill The New Parrot - 11 AM Musea Sculpta - Saint John’s Hospital - Town Hall - Belfort มีหอสูง 366 ขั้น - Basilica of the Holy Blood - Boniface Bridge - Tintin Shop Brugge - Casa Pérez de Malvenda - Historium Brugge - Duvelorium ร้านวิวสวยไว้จิบเบียร์ - Boat tour 12EUR และอาจไป Gent เนื่องจากนั่งรถไฟ 30 นาทีเอง
* Rotterdam 1 คืน เน้นช็อปปิ้งค่ะ เนื่องจากเป็นเมืองใหม่ทันสมัย
เที่ยว Markthal (Market Hall) - Cube House - Maritime - Shopping ถนนหลักหน้าสถานีรถไฟ และอาจไปเที่ยวเมือง Delft
* Amsterdam 2 คืน เมืองแห่งคลอง กังหันลม สวนทิวลิป
เที่ยว Albert Cuyp Market - Old City Sightseeing – Museumsplein-Waterpool - Museum of the Canal -Fabrique des Lumières - Haarlemmerstraat - ย่าน Jordaan - Museum Ons'Lieve Heer Op Solder - Dam Square - Amsterdam Tulip Musuem - Red light district - Red Light Secrets Museum - Zaanse Schans - Canal Cruise - Kilkenhof
และกลับมา Brussels 1 คืนเพื่อพักก่อนบินกลับวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่าเราลิสต์สถานที่ๆอยากไปออกมา แต่จริงๆเก็บได้ไม่ครบหรอกค่ะ
ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมเรื่องการใช้วีซ่าเชงเก้าแบบ Multiple Entry คือเราสามารถเดินทางเข้า-ออกประเทศในเขตเชงเก้นกี่ครั้งก็ได้ภายใน Period ที่ระบุไว้ แต่การเดินทางครั้งแรกจะต้องไปประเทศที่ออกวีซ่าให้เป็นหลักก่อน ตามเงื่อนไขทริปที่ได้ยื่นขอไป หลังจากนั้นจะไปประเทศใดก็ได้ และไม่จำเป็นต้องไปประเทศที่ออกวีซ่าให้แล้ว แต่เรื่องระยะเวลา 90/180 วันอะไรนี่ขอข้ามไป หลักๆคงไม่มีใครไปเที่ยวนานถึง 90 วันในช่วงไม่กี่เดือน มีความตื่นเต้นในการใช้วีซ่าครั้งนี้ เพราะปกติจะได้ Single Entry ตลอด เราก็เช็คกับสายการบินกับหลายแหล่งเหมือนกัน เพราะกลัวมีปัญหา
ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นเครื่องบิน ภาพนี้ถ่ายตอนแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินที่ Doha เห็นตึกสูงของเมืองอยู่ลับๆ ท่ามกลางทะเลทรายแต่ช่วงนี้บ้านเขาเย็นกว่าเราอีกนะ เป็นไปได้!! ที่สุวรรณภูมิเราไปถึงก่อนเวลาเครื่องขึ้น 3 ชม.เนื่องจากมีข่าวช่องแสกนปิดบางส่วน ควรเผื่อเวลา แต่ไปถึงแล้วไม่ได้ปิดแต่อย่างใด และใช้เวลาเช็คอินจนผ่านเข้าไปโซนด้านในเพียง 30 นาทีเท่านั้นเองค่ะ คงเพราะไปไฟล์ทเช้าซึ่งคนไม่นิยม

Qatar Airways ก็ยังคงเป็นสายการบินที่เดินทางสบายเนื่องจากเครื่องค่อนข้างใหม่ แม้จะมีเครื่องเก่าปนมาบ้าง แต่โดยรวมยังโอเคมาก สำคัญมีหนังให้ดูเยอะ ไม่เบื่อ ที่นั่งกว้างสบาย อาหารก็รสชาติกลางๆมาทางดี สังเกตุว่าอาหารที่ออกจากครัวที่ Doha จะอร่อยกว่าไทย ขาออกจากสุวรรณภูมิเราเลือกเมนูข้าวต้มไก่ จืดสุดๆ ขนาดเป็นคนกินจืดนะ

กรณีบินออกกลางวัน สายการบินจะไม่แจก Amenity Kit ที่มีพวกปิดตา ยาสีฟันและถุงเท้านะคะ แต่สามารถขอได้ มีก็เพียงแต่หน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งไม่มีใครใส่หรือใช้แล้ว 5555 และหูฟังอันใหญ่สีสันสดใส ไฟล์ทของเรา ผดส.เต็มลำ เจ้าหน้าที่เช็คอินบอกว่าเต็มไป 3 เดือนเลยจ้า ช่วงนี้ห้ามตกเครื่องเด็ดขาด!! จะหาไฟล์ทอื่นไปแทนแทบไม่ได้เลยขาจากไทย

ภาพนี้ที่สนามบิน Doha ทุกคนคงคุ้นตา

แต่โซนเปิดใหม่คือ OMG อลังการงานสร้าง เขียวขจีอะไรจะเบอร์นั้น ตอนเราไปนี่เพิ่งเสร็จใหม่กริ้งเลยค่ะ ยังมีคนงานเก็บงานและป้ายก่อสร้างตั้งบางพื้นที่เลย แต่ข้อเสียของสนามบินนี้คือช้อปไม่สนุกและของกินแพงมากกกกกกกกกก แทบไม่มีอะไรต่ำกว่า 300 เลยแม้แต่กาแฟเพียง 1 แก้ว ที่ดีงามคือห้องน้ำ 555


และแล้วก็มาถึง Brussels Airport ตรงเวลาประมาณ 2 ทุ่มนิดๆค่ะ สนามบินดูออกว่าเก่า แต่การบำรุงรักษายังดีพอสมควร ตอนผ่าน ตม.ตรงข้ามกับทุกประเทศที่เคยไปมาคือ แถว EU Passport ยาวมาก ในขณะที่แถว Other Passports ไม่มีมนุษย์ เดินไปถึงก็เข้าช่องไปเลย สำหรับประเทศเบลเยี่ยมมีภาษาที่พูดกันถึง 3 ภาษา (ฝรั่งเศส เยอรมันและดัช ขึ้นกับติดประเทศอะไรอ่ะ) ป้ายที่สนามบินก็จะมีความยาวกว่าที่อื่นๆเพราะต้องมีป้าย 4 ภาษากันเลยทีเดียว เพราะต้องมีอังกฤษด้วย คนที่นี่ Multi-language น่าดู เราแค่ 2 ภาษาก็จะไม่รอดแล้วเด้อ แต่ที่ Brussels ภาษาหลักที่ใช้คือฝรั่งเศสค่ะ เจอเจ้าหน้าที่ใจดีมากๆ เรียกให้เราและสามีเข้าไปพร้อมกัน โดยเขาพูดภาษาฝรั่งเศสใส่ก่อนเลย แต่พอเราพูดอังกฤษ เค้าก็เลยเปลี่ยน ถามแค่ว่าไปเที่ยวไหนบ้าง ไปเนเธอแลนด์ไหม เอ๊ะ ทำไมลุงรู้ละ ไม่ขอดูเอกสารอะไรเลย แสกนนิ้วและปั้มให้ผ่านไปได้เลย

จากนั้นดูป้ายรถไฟเข้าเมือง สามารถนั่งรถไฟหรือบัสก็ได้ แต่รถไฟใช้เวลาน้อยที่สุด คือ 17 นาที

จะเจอจุดซื้อตั๋ว

เลือกภาษาอังกฤษแล้วเลือกไป Brussels Central ได้เลย เลือกจำนวนคน จ่ายบัตรเครดิต เดบิต เงินสดอะไรได้หมด ตั๋วก็จะพริ้นต์ออกมา แล้วเอาไปสแกนตรงที่กั้นให้ประตูเปิดเพื่อเข้าสถานีค่ะ

ลงไปที่ Platform จะมี 2 ฝั่ง ยอมรับว่าทริปนี้รีบๆวางแผน ไม่ได้ดูว่าต้องขึ้นรถไฟขบวนไหนยังงัย ใช้ไปถามคนที่รออยู่แถวๆนั้นเอา ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี คนเบลเยี่ยมโคตรน่ารักเลยหล่ะขอบอก ยิ้มแย้มใจดีเหมือนคนไทยเลยค่ะ แล้วคนส่วนใหญ่อารมณ์ดีมาก บางทีเจอคนตรวจตั๋วรถไฟแซวคุยเล่นไรงี้ ประเทศอื่นไม่มีหรอก และคนก็ตัวเล็กๆเท่าคนไทยเรานี่แหล่ะ วิธีดูว่าขึ้นรถไฟขบวนไหนให้ชัวร์อีกทีก็คือ เห็นป้ายไฟที่ดูแสนโบราณบนเพดานไหม 555 ป้ายนั้นตรงด้านล่างจะบอกว่ารถไฟที่กำลังจะมา จะจอดที่สถานีไหนบ้าง (บอกสถานีหลักๆ) เราต้องดูว่ามี Bruxelles Centraal ขึ้นด้วย (ที่นี่สะกดแบบนี้)

รถไฟประเทศนี้ต้องบอกว่าเก่าจริงๆค่ะ แทบทุกขบวนทั้งทริปที่เจอเลย สภาพโดยรวมถือว่าสู้ประเทศอื่นๆในยุโรปที่เคยไปมาไม่ได้ ไม่มีจอบอกป้ายที่ไป ไม่มีประกาศภาษาอังกฤษใดๆ ประกาศภาษาฝรั่งเศสซึ่งก็พอฟังชื่อเมืองออกค่ะ

ไม่นานเราก็มีถึง Central Station ซึ่งป้ายทางออกไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เราเดินไปมั่วๆทางซ้ายของบอร์ดนี้ก็ออกมาเจอถนนข้างนอกพอดี


ไปเช็คอินโรงแรมก่อนเลย ใครจะไปไฟล์ทดึกเช็คเงื่อนไขเวลาเช็คอินด้วยนะคะ ต่างประเทศไม่เหมือนบ้านเรา หลายๆโรงแรมเช็คอินได้ถึงแค่ 5-6 โมงเย็นนะคะ ถนนทางเดินที่นั่นจะเป็นหินก้อนๆหมดเลย ไม่เรียบ ลากกระเป๋าไปแบบสงสารกระเป๋ามาก 555

มาถึงโรงแรมที่พัก เดินแค่ประมาณ 300 เมตรจากสถานีค่ะ เผื่อใครเอาเป็นตัวเลือก ชื่อ Alma Grand ข้อดีคือระยะทางและห้องพักค่อนข้างใหม่ แต่ราคาไม่ friendly เท่าที่ควร จองถูกสุดได้ 4 พัน ไม่รวมอาหารเช้าค่ะ ห้องก็เล็กมากๆตามสไตล์




เมื่อพักซักแป๊บเราก็พร้อมจะออกไปเดินเล่นถ่ายรูป เนื่องจากเป็นคืนวันพุธ บรรยากาศบนถนนค่อนข้างเงียบเหงา จนแอบเปลี่ยว อากาศหนาวเย็นมากๆ ประมาณ 6 องศา จึงไม่มีคนนั่งด้านนอกร้านเลย

จากโรงแรมเดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง Grand Place หรือกร็องพลาสถ้าอ่านตามการออกเสียงฝรั่งเศส อาคารแต่ละหลังมีความวิจิตรงดงาม โดดเด่นด้วยสีทองเรืองรองประดับตามยอดอาคาร เนื่องจากเบลเยี่ยมเป็นประเทศติดทะเล จึงเป็นท่าเรือที่สำคัญของ Europe มาแต่โบราณกาล และมีความร่ำรวยมั่งคั่งในจุดนี้



[CR] 2023 ถอดหน้ากากแล้วออกเดินทางกัน ^_^ (ภาค 2) BRUSSELS - BRUGGE - ROTTERDAM - AMSTERDAM
จากกระทู้ก่อนหน้าที่เราพาพ่อแม่เที่ยวยุโรป 3 ประเทศหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย รวมถึงได้ติดโควิดครั้งแรกและครั้งเดียวไปแล้ว เราจึงถือโอกาสใช้ Multi-visa ที่ออกโดยสถานทูตโปแลนด์ให้คุ้มค่าเสียหน่อย เพราะเสียค่าวีซ่าไปถึง 2 รอบ (อ้างถึงกระทู้ก่อนหน้านี้ https://pantip.com/topic/41716654)
ทริปนี้เราไม่พาพ่อแม่ไปด้วยแล้ว มีเวลาเที่ยวเพียง 10 วัน ไม่นับวันที่อยู่บนเครื่อง ถือว่าน้อยกว่าปกติที่จะไปให้ได้ 2 อาทิตย์เต็มๆ เนื่องจากเกรงใจออฟฟิตเพิ่งลายาวไปไม่ถึง 6 เดือนก่อนเพื่อไปทริปด้านบน แต่เนื่องจากวีซ่าเขาให้มา 6 เดือนก็เลยต้องรีบไป ถามว่าอยากไป 2 ประเทศนี้ไหม ตอบตรงๆเลยว่าไม่อยากเลยค่ะ 5555 จริงๆ เราอยากไปโปรตุเกส หรือลัดเวีย แต่ด้วยความที่ตั๋วเครื่องบินราคาสูง เกือบ 4 หมื่นทั้งนั้นเลย อันไม่ใช่ราคาปกติของปีก่อนโควิด เราจึงคิดว่าเก็บไว้ก่อนก็ได้ และเราใช้วิธีโง่ๆในการเลือกประเทศเลยคือ ไฟล์ทไปที่ไหนถูกก็ไปที่นั่น เพราะยุโรปก็คือยุโรปเนอะ ไปที่ไหนเราก็แฮ้ปปี้ หวยจึงมาออกที่ Brussels ซึ่งคง demand ต่ำ ไม่มีใครอยากไปหรือไงไม่ทราบ 55 ถึงลดราคาอยู่เมืองเดียวจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ถูกมากหรอกค่ะ ประมาณ 25,xxx บาท กับ Qatar Airways สายการบินในดวงใจ ปกติแล้วถ้าเลือกได้ เราจะเลือกเดินทางในเดือนเมษายน - พฤษภาคม หรือ กันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนหัวท้ายของฤดูหนาว อากาศจะดีหน่อย แต่ครั้งนี้เดินทางกลางๆเดือนมีนาคม ก็รู้แล้วละว่าเตรียมใจเจออากาศหนาวและฝนที่ยังมีตกประปราย
Flight ของเราบินไป-กลับจาก Brussels แบ่งการพักแต่ละเมือง โดยเลือกเมืองดังๆที่ระยะเวลานั่งรถไฟไม่เกิน 3 ชม. ดังนี้
* Brussels 3 คืน (ไฟล์ทไปถึงสองทุ่มค่ะ คืนแรกจึงเหมือนเสียไปป่าวๆ แต่เราจะใช้เวลาไปเก็บภาพกลางคืนใน Grand Place)
เที่ยว Mont des Arts Garden - Church of Our Lady of Victories at the Sablon - St Michael and St Gudula Cathedral - Manneken Pis - Choco-Story - Chocolaterie Mary - Notre Dame du Sablon - Grand Place -Shopping Mall Les Galeries Royales Saint-Hubert - Jeanneke-Pis - Dog Het Zinneke - Tintin Comic Mural - Shopping Street Rue Neuve
(หากเวลาเหลือจะไป Parc du Cinquantenaire - Parlamentarium - Atomium - Mini Europe - Horta Museum (Musee Horta) หรืออาจนั่งรถไฟไปเที่ยว Antwerp เสียเลย)
* Brugges 2 คืน เมืองมรดก Unesco
เที่ยว ภายใน Old town ทั้งหมด - Windmill The New Parrot - 11 AM Musea Sculpta - Saint John’s Hospital - Town Hall - Belfort มีหอสูง 366 ขั้น - Basilica of the Holy Blood - Boniface Bridge - Tintin Shop Brugge - Casa Pérez de Malvenda - Historium Brugge - Duvelorium ร้านวิวสวยไว้จิบเบียร์ - Boat tour 12EUR และอาจไป Gent เนื่องจากนั่งรถไฟ 30 นาทีเอง
* Rotterdam 1 คืน เน้นช็อปปิ้งค่ะ เนื่องจากเป็นเมืองใหม่ทันสมัย
เที่ยว Markthal (Market Hall) - Cube House - Maritime - Shopping ถนนหลักหน้าสถานีรถไฟ และอาจไปเที่ยวเมือง Delft
* Amsterdam 2 คืน เมืองแห่งคลอง กังหันลม สวนทิวลิป
เที่ยว Albert Cuyp Market - Old City Sightseeing – Museumsplein-Waterpool - Museum of the Canal -Fabrique des Lumières - Haarlemmerstraat - ย่าน Jordaan - Museum Ons'Lieve Heer Op Solder - Dam Square - Amsterdam Tulip Musuem - Red light district - Red Light Secrets Museum - Zaanse Schans - Canal Cruise - Kilkenhof
และกลับมา Brussels 1 คืนเพื่อพักก่อนบินกลับวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่าเราลิสต์สถานที่ๆอยากไปออกมา แต่จริงๆเก็บได้ไม่ครบหรอกค่ะ
ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมเรื่องการใช้วีซ่าเชงเก้าแบบ Multiple Entry คือเราสามารถเดินทางเข้า-ออกประเทศในเขตเชงเก้นกี่ครั้งก็ได้ภายใน Period ที่ระบุไว้ แต่การเดินทางครั้งแรกจะต้องไปประเทศที่ออกวีซ่าให้เป็นหลักก่อน ตามเงื่อนไขทริปที่ได้ยื่นขอไป หลังจากนั้นจะไปประเทศใดก็ได้ และไม่จำเป็นต้องไปประเทศที่ออกวีซ่าให้แล้ว แต่เรื่องระยะเวลา 90/180 วันอะไรนี่ขอข้ามไป หลักๆคงไม่มีใครไปเที่ยวนานถึง 90 วันในช่วงไม่กี่เดือน มีความตื่นเต้นในการใช้วีซ่าครั้งนี้ เพราะปกติจะได้ Single Entry ตลอด เราก็เช็คกับสายการบินกับหลายแหล่งเหมือนกัน เพราะกลัวมีปัญหา
ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นเครื่องบิน ภาพนี้ถ่ายตอนแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินที่ Doha เห็นตึกสูงของเมืองอยู่ลับๆ ท่ามกลางทะเลทรายแต่ช่วงนี้บ้านเขาเย็นกว่าเราอีกนะ เป็นไปได้!! ที่สุวรรณภูมิเราไปถึงก่อนเวลาเครื่องขึ้น 3 ชม.เนื่องจากมีข่าวช่องแสกนปิดบางส่วน ควรเผื่อเวลา แต่ไปถึงแล้วไม่ได้ปิดแต่อย่างใด และใช้เวลาเช็คอินจนผ่านเข้าไปโซนด้านในเพียง 30 นาทีเท่านั้นเองค่ะ คงเพราะไปไฟล์ทเช้าซึ่งคนไม่นิยม
Qatar Airways ก็ยังคงเป็นสายการบินที่เดินทางสบายเนื่องจากเครื่องค่อนข้างใหม่ แม้จะมีเครื่องเก่าปนมาบ้าง แต่โดยรวมยังโอเคมาก สำคัญมีหนังให้ดูเยอะ ไม่เบื่อ ที่นั่งกว้างสบาย อาหารก็รสชาติกลางๆมาทางดี สังเกตุว่าอาหารที่ออกจากครัวที่ Doha จะอร่อยกว่าไทย ขาออกจากสุวรรณภูมิเราเลือกเมนูข้าวต้มไก่ จืดสุดๆ ขนาดเป็นคนกินจืดนะ
กรณีบินออกกลางวัน สายการบินจะไม่แจก Amenity Kit ที่มีพวกปิดตา ยาสีฟันและถุงเท้านะคะ แต่สามารถขอได้ มีก็เพียงแต่หน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งไม่มีใครใส่หรือใช้แล้ว 5555 และหูฟังอันใหญ่สีสันสดใส ไฟล์ทของเรา ผดส.เต็มลำ เจ้าหน้าที่เช็คอินบอกว่าเต็มไป 3 เดือนเลยจ้า ช่วงนี้ห้ามตกเครื่องเด็ดขาด!! จะหาไฟล์ทอื่นไปแทนแทบไม่ได้เลยขาจากไทย
ภาพนี้ที่สนามบิน Doha ทุกคนคงคุ้นตา
แต่โซนเปิดใหม่คือ OMG อลังการงานสร้าง เขียวขจีอะไรจะเบอร์นั้น ตอนเราไปนี่เพิ่งเสร็จใหม่กริ้งเลยค่ะ ยังมีคนงานเก็บงานและป้ายก่อสร้างตั้งบางพื้นที่เลย แต่ข้อเสียของสนามบินนี้คือช้อปไม่สนุกและของกินแพงมากกกกกกกกกก แทบไม่มีอะไรต่ำกว่า 300 เลยแม้แต่กาแฟเพียง 1 แก้ว ที่ดีงามคือห้องน้ำ 555
และแล้วก็มาถึง Brussels Airport ตรงเวลาประมาณ 2 ทุ่มนิดๆค่ะ สนามบินดูออกว่าเก่า แต่การบำรุงรักษายังดีพอสมควร ตอนผ่าน ตม.ตรงข้ามกับทุกประเทศที่เคยไปมาคือ แถว EU Passport ยาวมาก ในขณะที่แถว Other Passports ไม่มีมนุษย์ เดินไปถึงก็เข้าช่องไปเลย สำหรับประเทศเบลเยี่ยมมีภาษาที่พูดกันถึง 3 ภาษา (ฝรั่งเศส เยอรมันและดัช ขึ้นกับติดประเทศอะไรอ่ะ) ป้ายที่สนามบินก็จะมีความยาวกว่าที่อื่นๆเพราะต้องมีป้าย 4 ภาษากันเลยทีเดียว เพราะต้องมีอังกฤษด้วย คนที่นี่ Multi-language น่าดู เราแค่ 2 ภาษาก็จะไม่รอดแล้วเด้อ แต่ที่ Brussels ภาษาหลักที่ใช้คือฝรั่งเศสค่ะ เจอเจ้าหน้าที่ใจดีมากๆ เรียกให้เราและสามีเข้าไปพร้อมกัน โดยเขาพูดภาษาฝรั่งเศสใส่ก่อนเลย แต่พอเราพูดอังกฤษ เค้าก็เลยเปลี่ยน ถามแค่ว่าไปเที่ยวไหนบ้าง ไปเนเธอแลนด์ไหม เอ๊ะ ทำไมลุงรู้ละ ไม่ขอดูเอกสารอะไรเลย แสกนนิ้วและปั้มให้ผ่านไปได้เลย
จากนั้นดูป้ายรถไฟเข้าเมือง สามารถนั่งรถไฟหรือบัสก็ได้ แต่รถไฟใช้เวลาน้อยที่สุด คือ 17 นาที
จะเจอจุดซื้อตั๋ว
เลือกภาษาอังกฤษแล้วเลือกไป Brussels Central ได้เลย เลือกจำนวนคน จ่ายบัตรเครดิต เดบิต เงินสดอะไรได้หมด ตั๋วก็จะพริ้นต์ออกมา แล้วเอาไปสแกนตรงที่กั้นให้ประตูเปิดเพื่อเข้าสถานีค่ะ
ลงไปที่ Platform จะมี 2 ฝั่ง ยอมรับว่าทริปนี้รีบๆวางแผน ไม่ได้ดูว่าต้องขึ้นรถไฟขบวนไหนยังงัย ใช้ไปถามคนที่รออยู่แถวๆนั้นเอา ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี คนเบลเยี่ยมโคตรน่ารักเลยหล่ะขอบอก ยิ้มแย้มใจดีเหมือนคนไทยเลยค่ะ แล้วคนส่วนใหญ่อารมณ์ดีมาก บางทีเจอคนตรวจตั๋วรถไฟแซวคุยเล่นไรงี้ ประเทศอื่นไม่มีหรอก และคนก็ตัวเล็กๆเท่าคนไทยเรานี่แหล่ะ วิธีดูว่าขึ้นรถไฟขบวนไหนให้ชัวร์อีกทีก็คือ เห็นป้ายไฟที่ดูแสนโบราณบนเพดานไหม 555 ป้ายนั้นตรงด้านล่างจะบอกว่ารถไฟที่กำลังจะมา จะจอดที่สถานีไหนบ้าง (บอกสถานีหลักๆ) เราต้องดูว่ามี Bruxelles Centraal ขึ้นด้วย (ที่นี่สะกดแบบนี้)
รถไฟประเทศนี้ต้องบอกว่าเก่าจริงๆค่ะ แทบทุกขบวนทั้งทริปที่เจอเลย สภาพโดยรวมถือว่าสู้ประเทศอื่นๆในยุโรปที่เคยไปมาไม่ได้ ไม่มีจอบอกป้ายที่ไป ไม่มีประกาศภาษาอังกฤษใดๆ ประกาศภาษาฝรั่งเศสซึ่งก็พอฟังชื่อเมืองออกค่ะ
ไม่นานเราก็มีถึง Central Station ซึ่งป้ายทางออกไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เราเดินไปมั่วๆทางซ้ายของบอร์ดนี้ก็ออกมาเจอถนนข้างนอกพอดี
ไปเช็คอินโรงแรมก่อนเลย ใครจะไปไฟล์ทดึกเช็คเงื่อนไขเวลาเช็คอินด้วยนะคะ ต่างประเทศไม่เหมือนบ้านเรา หลายๆโรงแรมเช็คอินได้ถึงแค่ 5-6 โมงเย็นนะคะ ถนนทางเดินที่นั่นจะเป็นหินก้อนๆหมดเลย ไม่เรียบ ลากกระเป๋าไปแบบสงสารกระเป๋ามาก 555
มาถึงโรงแรมที่พัก เดินแค่ประมาณ 300 เมตรจากสถานีค่ะ เผื่อใครเอาเป็นตัวเลือก ชื่อ Alma Grand ข้อดีคือระยะทางและห้องพักค่อนข้างใหม่ แต่ราคาไม่ friendly เท่าที่ควร จองถูกสุดได้ 4 พัน ไม่รวมอาหารเช้าค่ะ ห้องก็เล็กมากๆตามสไตล์
เมื่อพักซักแป๊บเราก็พร้อมจะออกไปเดินเล่นถ่ายรูป เนื่องจากเป็นคืนวันพุธ บรรยากาศบนถนนค่อนข้างเงียบเหงา จนแอบเปลี่ยว อากาศหนาวเย็นมากๆ ประมาณ 6 องศา จึงไม่มีคนนั่งด้านนอกร้านเลย
จากโรงแรมเดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง Grand Place หรือกร็องพลาสถ้าอ่านตามการออกเสียงฝรั่งเศส อาคารแต่ละหลังมีความวิจิตรงดงาม โดดเด่นด้วยสีทองเรืองรองประดับตามยอดอาคาร เนื่องจากเบลเยี่ยมเป็นประเทศติดทะเล จึงเป็นท่าเรือที่สำคัญของ Europe มาแต่โบราณกาล และมีความร่ำรวยมั่งคั่งในจุดนี้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้