โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ตอนที่6. วิชาก้นหีบ
ซ่า!... น้ำเย็นจัดถูกสาดเข้าใบหน้าปลุกให้ผู้ที่กำลังหลับใหลอย่างสบายอารมณ์แม้จะอยู่ในท่าทางถูกมัดมือไพล่หลังบนเก้าอี้สะดุ้งตื่น ทันทีที่นัยน์ตาปรับรับภาพจนมองได้ถนัดชัดเจนก็มีอันต้องผวา เมื่อพบว่าตนเองถูกพันธนาการติดกับเก้าอี้ ซ้ำยังรายล้อมด้วยนายทหารหกเจ็ดคนไม่ต่ำกว่านั้น ซ้ำทุก ๆ นายตนเองยังคุ้นหน้า รู้จักดีเพราะหัวหน้าของทหารเหล่านี้คือบุคคลที่ตนเองเคยยกย่อง พวกนี้เป็นลูกน้องของผู้กองทะนง พวกนี้คือทหารผี! พวกนี้คือเจตภูติ!!!
“ปะ...ปล่อยผมไปเถอะครับพี่!”
ตั้งสติได้ก็อ้อนวอนน้ำตานองหน้า ขณะเดียวกันก็พยายามรีดเร้นเค้นจิตเพื่อใช้อาคมที่ตนมี ทว่ากลับไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ หัวจิตหัวใจที่เคยห้าวหาญเมื่อคิดว่าตนเองมีดี บัดนี้ราวกับนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสถานที่อันมืดมิดเย็นเยียบไร้ขอบเขต อาคมหายไปแล้ว!
“ยะ...ยังไง? ได้ยังไงกัน?” ทหารนายนั้นซึ่งถูกจับมาเพื่อรีดข้อมูลตาเหลือกลาน คำถามนั้นไม่รู้ว่าตั้งใจสื่อให้ใครตอบ หรือว่าพูดกับตนเอง
“ใจเย็น ๆ พวกกูไม่ฆ่ามืงหรอก” หนึ่งในกองกำลังรบอันแข็งแกร่งที่มีเพียงหยิบมือก็สามารถถล่มค่ายโจรย่อม ๆ ได้ของผู้กองทะนงกล่าวเสียงเรียบ ลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งประจันหน้า เอียงคอมองน้อย ๆ นัยน์ตาดำขลับนั้นสุดจะหยั่งถึงความคิดภายใน
“ขอแค่มืงบอกพวกกูมาก็พอ บอกให้ละเอียด ทุกอย่างที่มืงรู้ ชื่อคนจ้างวาน จำนวนเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้มืงและพวกกลายเป็นทหารเลวแบบนี้ กูให้สัญญา มืงจะไม่เจ็บตัว” เว้นระยะครู่หนึ่งเอื้อมมือไปด้านหลังชักมีดเล่มยาวเกือบฟุตออกมาอวดคมสะท้อนแสงวาววับ บนตัวมีดสลักเลขยันต์เอาไว้ตามวิสัยมีดลงอาคม
“แต่ถ้ามืงปากแข็ง มืงจะได้พบกับสิ่งที่...เฮ่อ! เอาเป็นว่าถ้ามืงไม่ยอมคายทุกอย่างออกมา ต่อให้มืงอยากตายมืงก็จะไม่ตาย ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะถูกหั่นเนื้อเถือหนังออกทีละแผ่น...ทีละแผ่น เข้าใจนะ?”
“คะ...ครับ” นายทหารผู้เคยมีวิชาเสือเย็นซึ่งเวลานี้เคล็ดวิชาที่ว่าหายจ้อยเหลือเพียงเนื้อตัวที่เย็นเยียบเย็นเฉียบตอบรับปากคอสั่น
“ดีมาก...ถ้าอย่างนั้นก็ว่ามา”
ด้านนอก ผู้กองทะนงสนทนากับใครบางคนผ่านการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ไม่สามารถติดตามร่องรอยได้ ทุกการสนทนานั้นเขาไม่ได้ปิดเป็นความลับ หมวดผดุง นายตำรวจน้ำดีที่คิดจะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงจนตนเองเกือบตายก็ฟังอยู่ด้วย
“แบบนี้ดีแล้วรึ? จริงอยู่เราสองคนอยู่คนละหน่วยงาน ผมไม่รู้แบบแผนหรือกฎข้างในของทหารหรอกนะ แต่สิ่งที่คุณทำ ผมมองไม่เห็นว่ามีส่วนไหนที่จะส่งผลดีกับตัวคุณเลย” หมวดผดุงเอ่ยถามตามจริง เขาเป็นคนเปิดเผย อยากรู้ก็ถาม ถามแล้วไม่ได้ความก็ต้องสืบ นั่นเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน
“จำเป็นด้วยรึ?” ผู้กองทะนงถามกลับ “ก่อนจะถามหาผลดีเมื่อเรื่องนี้เดินมาถึงปลายทางกับผม ถามตัวคุณเองก่อนดีกว่ามั้ย? คิดได้ยังไง เป็นตำรวจชั้นผู้น้อยแต่ดันไปกระตุกขนหางนายใหญ่ ไอ้รางวี่รางวัลคำชมเชยนั่นรับ ๆ ไป เสียก็จบ”
หมวดผดุงเหลือบมองไปยังรถกระบะโฟลวิลล์และรถหกล้อที่จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างกระโจมเล็ก ๆ เขารู้ดีว่าด้านในคืออะไร ด้วยว่าสถานะของตนไม่ใช่ตัวประกัน การจะสืบเสาะเลาะดูจนรู้แจ้งจึงไม่ถูกขัดขวางใด ๆ บนรถคือยาเสพติดและอาวุธสงครามที่ถูกกลุ่มคนปริศนาชิงมาเมื่อเกือบอาทิตย์ก่อน และกลุ่มคนที่ว่าก็คือลูกน้องของผู้กองทหารตรงหน้า ที่ยอมเอาตัวเองไปเปรอะโคลนโดยไม่บอกใครนี่เอง
ส่วนบนรถหกล้อเป็นลังขนาดใหญ่ด้านในบรรจุทองคำแท่งและเงินจำนวนมากเอาไว้ เขาไม่คิดจะถามถึงที่มา และไม่คิดด้วยว่าผู้กองทหารซึ่งเป็นผู้นำของคนพวกนี้ จะเอามันมาซ่อนไว้เพื่อประโยชน์ส่วนตน อาจเป็นการกระทำอย่างเดียวกันกับเมื่อครั้งชิงอาวุธและยาเสพติดมาก็เป็นได้
“ผมรับไว้ไม่ได้หรอก ความจริงเป็นยังไง ตัวผม หรือตำรวจที่รอดตายในวันนั้นต่างก็รู้ดี ผมเป็นตำรวจเพราะอยากเห็นความยุติธรรมที่มันจับต้องได้ ไม่ใช่แค่คำพร้อมความหมายในพจนานุกรม แต่ดูสิ...หึ

ชีวิต บ้านเมืองเราเป็นแบบนี้มันจะไปหาเจอได้ยังไงไอ้ความยุติธรรมที่ว่า ถ้าต้องทนแบกหน้ารับรางวัลโดยที่รู้ว่าเบื้องหลังมันเน่า มันคาวคลุ้ง ผมยอมตายดีกว่า”
ผู้กองทะนงนิ่งมองหมวดผดุงครู่หนึ่ง แม้จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วโมง แม้จะสนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถรับรู้ได้ว่าเขาเป็นตำรวจน้ำดี และหากตนเองและลูกน้องไม่ช่วยออกมา ศีรษะของนายตำรวจผู้นี้คงถูกบั่นและเสียบประจานเช่นเดียวกับผู้ที่มีความคิดเถรตรงในน้ำยืนเป็นแน่
“ยอมตาย? ตายแล้วจะได้อะไร? ตายแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”
“ถึงอยู่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี” หมวดผดุงสวนกลับทันควัน “ตำรวจกระจอก ๆ อย่างผม จะเอาอะไรไปสู้กับผู้มีอำนาจ คุณเองก็เห็นมาแล้วนี่”
คำพูดนั้นเป็นทั้งการตัดพ้อต่อโชคชะตาและถามหาความเป็นธรรมไปในตัว ผู้กองทะนงรู้ดีเพราะเคยประสบพบเจอกับตนเองมาก่อน และเคยสนทนากับผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์จากความเหลื่อมล้ำ อยุติธรรม และอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่บีบเค้นจนคนดีถูกกลืนหายไปทีละน้อยมาแล้ว
ขณะที่ต่างคนต่างเงียบ ลูกน้องในกระโจมก็ออกมาพร้อมข้อมูลที่รีดได้จากทหารเลวนายนั้น ผู้กองทะนงไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดเพื่อป้องกันความผิดพลาด
“บันทึกเสียงไว้รึเปล่า?”
“ครับ บันทึกแล้ว ก่อนเอามาให้ผู้กองผมตรวจเช็คดูแล้วด้วย ทุกอย่างที่มันบอกตรงกับหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยกเว้นที่ค่ายของพันโททรงศักดิ์ครับ”
“ไม่เป็นไร” ผู้กองทะนงว่าก่อนล้วงเอากระดาษอีกแผ่นที่พับไว้ลวก ๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นให้หมวดผดุง “ผมจะให้คนของผมไปส่งคุณโดยปลอดภัย คุณไปหาสารวัตรเจษ เขาต้องการสิ่งนี้ในการทำงาน หากเขาถามว่าได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหนคุณก็...”
“ไม่ต้องบอก” หมวดผดุงชิงพูดก่อน “ผมรู้ แต่อยากขอถามอีกครั้ง การปิดทองหลังพระแบบนี้คุณได้ประโยชน์อะไร?”
ผู้กองทะนงไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ เท่านั้น ก่อนหันไปออกคำสั่งกับลูกน้องว่าให้คุ้มกันหมวดผดุงจนกว่าจะส่งข่าวสำเร็จ จากนั้นให้แทรกซึมช่วยงานสารวัตรเจษอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ถูกจับได้
“ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยครั้งนี้หมอนั่นคงต้องรับศึกหนักพอตัว การจะดึงเอาพญาหมาป่าลงจากบัลลังก์คงไม่ง่าย แต่ฉันก็เชื่ออีกว่า คนเราต่อให้เจนจัดยังไง ความโลภที่มีจะกัดกินความฉลาดไปจนหมด ยิ่งของสำคัญของมีค่ามาถูกพรากเอาไปแบบนี้ยิ่งนั่งไม่ติด แล้วมันจะพลาดเอง อ้อ...ระวังตัวกันให้ดีด้วย ข้างตัวของพญาหมาป่าย่อมมีลูกสมุนทั้งในและนอกอยู่แน่ และไอ้ที่ว่าเป็นคนนอกนี่ล่ะ ร้ายนักเชียว”
“แล้วที่น้ำยืนล่ะครับ?” ลูกน้องคนเดิมถาม
“ส่งคนของเราไปดูพี่ศักดิ์ไว้คนเดียวก็พอ คอยคุ้มกันห่าง ๆ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง...หึ...ความโลภนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ เปลี่ยนคนดีให้เลวชาติได้ไม่อายฟ้าดิน”
บอกเพียงเท่านั้นเป็นอันรู้กัน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจตามหน้าที่ของตน กระโจมแห่งนี้ ที่พักลับ ๆ แห่งนี้พวกเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว ทั้งทองคำ เงิน ยาเสพติดและอาวุธสงครามก็จะทิ้งไว้เป็นเหยื่อล่อ รอให้เจ้าของที่ฉวยเอามันไปโดยมิชอบตามกลิ่นมาติดกับดักเอง
ณ ค่ายทหารตีนเขาพนมดงรัก พันโททรงศักดิ์ได้แต่แหงนมองแสงสว่างวอมแวมจากด้านบน นั่นแสดงให้เห็นว่ามีคนอยู่ ไม่ต้องสืบเสาะถามหาว่าเป็นพวกไหน ทหารไม่ทราบฝ่าย ผู้ก่อความวุ่นวายและสังหารทหารไปแล้วกว่าสองกองร้อย คนบนนั้น...คือปัญหาที่ตนต้องแก้ไข
ทว่า...อยู่ ๆ ผู้ใหญ่ที่ตนรับคำสั่งมาโดยตรงโดยไม่ผ่านกรมกองหรือขั้นตอนใดกลับให้ระงับการโจมตีเอาไว้ดื้อ ๆ จริงอยู่ว่าทุกครั้งมันไม่มีผลอันใดดีขึ้นเลย แรก ๆ บุกไปก็ถูกสวนกลับด้วยลูกปืน ครั้งหลัง ๆ ทหารยิ่งถอดใจหนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็น
“กำลังเครียดเรื่องคำสั่งยกเลิกรึพี่ศักดิ์?”
“เออ! กูอยากจะบุกขึ้นไปให้มันรู้แล้วรู้รอด ตายก็ตายไปให้มันจบ ๆ ไอ้พวกห่าเหวบนนั้นนั่นก็เหลือเกิน ผิดวิสัย ตอนแรกเปิดตัวเสียเอิกเกริก พอมีค่ายทหารเ-ือกรั้งอยู่แค่บนนั้น ทำยังกะพอใจแล้ว กูจะไม่บุกแล้วซะเฉย ๆ จะปล่อยไว้ก็ไม่ได้ จะบุกไปก็ไม่ได้ แถมผู้ใหญ่ยังมาสั่งระงับอีก หัวกูจะระเบิดอยู่แล้ว!”
“ก็บุกมันไปเลยสิพี่ ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่รู้” ผู้กองสามารถกระเผลกไม้เท้าเข้ามาใกล้ขึ้นกระซิบบอก พันโททรงศักดิ์หันขวับทำตาวาว
“ถึงผมจะไปไม่ได้ แต่ลูกน้องของผมน่ะพร้อม ถ้าพี่จะบุกก็บุกมันคืนนี้ เดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ผู้ใหญ่เขาจะสั่งถอนกำลัง ไม่ใช่ว่าผมคิดดูหมิ่นนายพลกิตติท่านนะพี่ แต่พี่ก็รู้ดีขั้นตอนมันมาแบบนี้แล้ว ระงับไม่ให้บุกต่อไปจะอะไรได้นอกจากให้ถอนกำลัง ดูท่า...ดินแดนส่วนนั้นคงต้องยกให้พวกมันไปแน่แล้ว”
“มืงจะบ้ารึไงวะ? ท่านนายพลน่ะไม่ยอมแน่!” พันโททรงศักดิ์ค้าน
“ไม่ยอมแล้วจะทำอะไรได้ ยศท่านเป็นแค่พลโท ถึงหลายคนจะไม่ชอบขี้หน้าแต่ยังไงผู้นำก็เป็นถึงพลเอกนะพี่ เขามีอำนาจที่สูงกว่า นายพลกิตติท่านจะเอาอะไรไปค้าน? ยิ่งมีจิ้งจอกอย่าง...” ผู้กองสามารถลดเสียงให้แผ่วลง “อย่างไอ้วิวัฒน์อยู่เป็นมือขวาด้วยแล้ว พี่ศักดิ์...คิดดูสิพี่ ท่านนายพลของเราจะเอาอะไรไปสู้? ความตงฉิน ความเถรตรงน่ะเอาชนะความเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่ได้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว?” เมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของพันโททรงศักดิ์ ผู้กองสามารถจึงตัดสินใจบอกบางอย่างเพื่อเป็นการตอกตะปูย้ำซ้ำให้แน่นสนิทยิ่งขึ้น
“สายข่าวของผมบอกมา ไอ้ลูกชายขี้กร่างของท่านนายพลก็อยู่บนนั้นด้วย มันถูกจับเป็นตัวประกัน ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ แน่ล่ะถ้าบุกขึ้นไปย่อมผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ถ้าช่วยลูกชายของท่านนายพลกลับมาได้ ความดีความชอบก็น่าจะหักลบกันได้นะพี่”
“ตกลง!” พันโททรงศักดิ์บอกเสียงกร้าว หลังจากนิ่งมองแสงสว่างวอมแวมด้านบนชั่วครู่ “ให้คนของมืงมากับกู ตอนนี้เลย”
“ทันทีเลยครับ!” ผู้กองสามารถตอบรับฉับไว จากนั้นก็กะเผลก ๆ กลับไปเพื่อสั่งการกับลูกน้องของตนถึงภารกิจเสี่ยงตายที่อาจเป็นการบุกครั้งสุดท้ายนี้
สิบนาทีต่อมา กองกำลังพิเศษที่จัดตั้งขึ้นแบบเร่งด่วนภายใต้การนำของพันโททรงศักดิ์ก็คืบคลานด้วยวิสัยทหาร อาศัยความมืดอำพรางเพราะยังบ่งชี้ลงไปไม่ได้ว่ารังปืนกลจะไม่มีคนกลับมาเฝ้าอีก ผู้กองสามารถทำๆได้เพียงยืนส่งเงียบ ๆ จนกระทั่งทั้งหมดหายลับเข้าป่าไป
เพียงไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ล่วงพ้นความสลัวรางเท่าที่แสงไฟจากค่ายจะเอื้อให้ ความเย็นยะเยือกก็เข้าโจมตีทันที หลายครั้งที่พันโททรงศักดิ์สั่นสะท้านไปทั้งตัว เรื่องที่ทหารบอกไว้ ผีตายโหงตายพราย สมิง แล่นปราดกลับเข้ามาในสมอง
ใช่ ไม่ผิดสักนิดที่ว่าตนเองเป็นชายชาติทหารมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนผมบางเส้นเริ่มหงอก ออกรบมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ตนไม่ใช่คนมีดีมีอาคม พูดถึงเรื่องนี้ที่เชื่อสุดใจย่อมต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา
สิบนาที...ยี่สิบนาที...ครึ่งชั่วโมงล่วงผ่านจนกระทั่งเป็นชั่วโมงกว่า คณะของพันโททรงศักดิ์ก็ยังไปไม่ถึงรังปืนกลสักที หากความจำไม่เฝื่อนฝาด มันไม่ได้ไกลขนาดนี้ ทิศทางตามแผนที่อิงจากเข็มทิศก็ถูกต้อง ทว่า...ตะเคียนใหญ่หลายคนโอบที่ตนยืนมองอยู่นี้ จำได้ว่าเห็นร่วมสามรอบเข้าไปแล้ว
(มีต่อครับ)
ปฐพีเดือด ตอนที่6.
“ปะ...ปล่อยผมไปเถอะครับพี่!”
ตั้งสติได้ก็อ้อนวอนน้ำตานองหน้า ขณะเดียวกันก็พยายามรีดเร้นเค้นจิตเพื่อใช้อาคมที่ตนมี ทว่ากลับไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ หัวจิตหัวใจที่เคยห้าวหาญเมื่อคิดว่าตนเองมีดี บัดนี้ราวกับนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสถานที่อันมืดมิดเย็นเยียบไร้ขอบเขต อาคมหายไปแล้ว!
“ยะ...ยังไง? ได้ยังไงกัน?” ทหารนายนั้นซึ่งถูกจับมาเพื่อรีดข้อมูลตาเหลือกลาน คำถามนั้นไม่รู้ว่าตั้งใจสื่อให้ใครตอบ หรือว่าพูดกับตนเอง
“ใจเย็น ๆ พวกกูไม่ฆ่ามืงหรอก” หนึ่งในกองกำลังรบอันแข็งแกร่งที่มีเพียงหยิบมือก็สามารถถล่มค่ายโจรย่อม ๆ ได้ของผู้กองทะนงกล่าวเสียงเรียบ ลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งประจันหน้า เอียงคอมองน้อย ๆ นัยน์ตาดำขลับนั้นสุดจะหยั่งถึงความคิดภายใน
“ขอแค่มืงบอกพวกกูมาก็พอ บอกให้ละเอียด ทุกอย่างที่มืงรู้ ชื่อคนจ้างวาน จำนวนเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้มืงและพวกกลายเป็นทหารเลวแบบนี้ กูให้สัญญา มืงจะไม่เจ็บตัว” เว้นระยะครู่หนึ่งเอื้อมมือไปด้านหลังชักมีดเล่มยาวเกือบฟุตออกมาอวดคมสะท้อนแสงวาววับ บนตัวมีดสลักเลขยันต์เอาไว้ตามวิสัยมีดลงอาคม
“แต่ถ้ามืงปากแข็ง มืงจะได้พบกับสิ่งที่...เฮ่อ! เอาเป็นว่าถ้ามืงไม่ยอมคายทุกอย่างออกมา ต่อให้มืงอยากตายมืงก็จะไม่ตาย ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะถูกหั่นเนื้อเถือหนังออกทีละแผ่น...ทีละแผ่น เข้าใจนะ?”
“คะ...ครับ” นายทหารผู้เคยมีวิชาเสือเย็นซึ่งเวลานี้เคล็ดวิชาที่ว่าหายจ้อยเหลือเพียงเนื้อตัวที่เย็นเยียบเย็นเฉียบตอบรับปากคอสั่น
“ดีมาก...ถ้าอย่างนั้นก็ว่ามา”
ด้านนอก ผู้กองทะนงสนทนากับใครบางคนผ่านการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ไม่สามารถติดตามร่องรอยได้ ทุกการสนทนานั้นเขาไม่ได้ปิดเป็นความลับ หมวดผดุง นายตำรวจน้ำดีที่คิดจะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงจนตนเองเกือบตายก็ฟังอยู่ด้วย
“แบบนี้ดีแล้วรึ? จริงอยู่เราสองคนอยู่คนละหน่วยงาน ผมไม่รู้แบบแผนหรือกฎข้างในของทหารหรอกนะ แต่สิ่งที่คุณทำ ผมมองไม่เห็นว่ามีส่วนไหนที่จะส่งผลดีกับตัวคุณเลย” หมวดผดุงเอ่ยถามตามจริง เขาเป็นคนเปิดเผย อยากรู้ก็ถาม ถามแล้วไม่ได้ความก็ต้องสืบ นั่นเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน
“จำเป็นด้วยรึ?” ผู้กองทะนงถามกลับ “ก่อนจะถามหาผลดีเมื่อเรื่องนี้เดินมาถึงปลายทางกับผม ถามตัวคุณเองก่อนดีกว่ามั้ย? คิดได้ยังไง เป็นตำรวจชั้นผู้น้อยแต่ดันไปกระตุกขนหางนายใหญ่ ไอ้รางวี่รางวัลคำชมเชยนั่นรับ ๆ ไป เสียก็จบ”
หมวดผดุงเหลือบมองไปยังรถกระบะโฟลวิลล์และรถหกล้อที่จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างกระโจมเล็ก ๆ เขารู้ดีว่าด้านในคืออะไร ด้วยว่าสถานะของตนไม่ใช่ตัวประกัน การจะสืบเสาะเลาะดูจนรู้แจ้งจึงไม่ถูกขัดขวางใด ๆ บนรถคือยาเสพติดและอาวุธสงครามที่ถูกกลุ่มคนปริศนาชิงมาเมื่อเกือบอาทิตย์ก่อน และกลุ่มคนที่ว่าก็คือลูกน้องของผู้กองทหารตรงหน้า ที่ยอมเอาตัวเองไปเปรอะโคลนโดยไม่บอกใครนี่เอง
ส่วนบนรถหกล้อเป็นลังขนาดใหญ่ด้านในบรรจุทองคำแท่งและเงินจำนวนมากเอาไว้ เขาไม่คิดจะถามถึงที่มา และไม่คิดด้วยว่าผู้กองทหารซึ่งเป็นผู้นำของคนพวกนี้ จะเอามันมาซ่อนไว้เพื่อประโยชน์ส่วนตน อาจเป็นการกระทำอย่างเดียวกันกับเมื่อครั้งชิงอาวุธและยาเสพติดมาก็เป็นได้
“ผมรับไว้ไม่ได้หรอก ความจริงเป็นยังไง ตัวผม หรือตำรวจที่รอดตายในวันนั้นต่างก็รู้ดี ผมเป็นตำรวจเพราะอยากเห็นความยุติธรรมที่มันจับต้องได้ ไม่ใช่แค่คำพร้อมความหมายในพจนานุกรม แต่ดูสิ...หึ
ผู้กองทะนงนิ่งมองหมวดผดุงครู่หนึ่ง แม้จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วโมง แม้จะสนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถรับรู้ได้ว่าเขาเป็นตำรวจน้ำดี และหากตนเองและลูกน้องไม่ช่วยออกมา ศีรษะของนายตำรวจผู้นี้คงถูกบั่นและเสียบประจานเช่นเดียวกับผู้ที่มีความคิดเถรตรงในน้ำยืนเป็นแน่
“ยอมตาย? ตายแล้วจะได้อะไร? ตายแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”
“ถึงอยู่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี” หมวดผดุงสวนกลับทันควัน “ตำรวจกระจอก ๆ อย่างผม จะเอาอะไรไปสู้กับผู้มีอำนาจ คุณเองก็เห็นมาแล้วนี่”
คำพูดนั้นเป็นทั้งการตัดพ้อต่อโชคชะตาและถามหาความเป็นธรรมไปในตัว ผู้กองทะนงรู้ดีเพราะเคยประสบพบเจอกับตนเองมาก่อน และเคยสนทนากับผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์จากความเหลื่อมล้ำ อยุติธรรม และอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่บีบเค้นจนคนดีถูกกลืนหายไปทีละน้อยมาแล้ว
ขณะที่ต่างคนต่างเงียบ ลูกน้องในกระโจมก็ออกมาพร้อมข้อมูลที่รีดได้จากทหารเลวนายนั้น ผู้กองทะนงไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดเพื่อป้องกันความผิดพลาด
“บันทึกเสียงไว้รึเปล่า?”
“ครับ บันทึกแล้ว ก่อนเอามาให้ผู้กองผมตรวจเช็คดูแล้วด้วย ทุกอย่างที่มันบอกตรงกับหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยกเว้นที่ค่ายของพันโททรงศักดิ์ครับ”
“ไม่เป็นไร” ผู้กองทะนงว่าก่อนล้วงเอากระดาษอีกแผ่นที่พับไว้ลวก ๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นให้หมวดผดุง “ผมจะให้คนของผมไปส่งคุณโดยปลอดภัย คุณไปหาสารวัตรเจษ เขาต้องการสิ่งนี้ในการทำงาน หากเขาถามว่าได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหนคุณก็...”
“ไม่ต้องบอก” หมวดผดุงชิงพูดก่อน “ผมรู้ แต่อยากขอถามอีกครั้ง การปิดทองหลังพระแบบนี้คุณได้ประโยชน์อะไร?”
ผู้กองทะนงไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ เท่านั้น ก่อนหันไปออกคำสั่งกับลูกน้องว่าให้คุ้มกันหมวดผดุงจนกว่าจะส่งข่าวสำเร็จ จากนั้นให้แทรกซึมช่วยงานสารวัตรเจษอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ถูกจับได้
“ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยครั้งนี้หมอนั่นคงต้องรับศึกหนักพอตัว การจะดึงเอาพญาหมาป่าลงจากบัลลังก์คงไม่ง่าย แต่ฉันก็เชื่ออีกว่า คนเราต่อให้เจนจัดยังไง ความโลภที่มีจะกัดกินความฉลาดไปจนหมด ยิ่งของสำคัญของมีค่ามาถูกพรากเอาไปแบบนี้ยิ่งนั่งไม่ติด แล้วมันจะพลาดเอง อ้อ...ระวังตัวกันให้ดีด้วย ข้างตัวของพญาหมาป่าย่อมมีลูกสมุนทั้งในและนอกอยู่แน่ และไอ้ที่ว่าเป็นคนนอกนี่ล่ะ ร้ายนักเชียว”
“แล้วที่น้ำยืนล่ะครับ?” ลูกน้องคนเดิมถาม
“ส่งคนของเราไปดูพี่ศักดิ์ไว้คนเดียวก็พอ คอยคุ้มกันห่าง ๆ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง...หึ...ความโลภนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ เปลี่ยนคนดีให้เลวชาติได้ไม่อายฟ้าดิน”
บอกเพียงเท่านั้นเป็นอันรู้กัน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจตามหน้าที่ของตน กระโจมแห่งนี้ ที่พักลับ ๆ แห่งนี้พวกเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว ทั้งทองคำ เงิน ยาเสพติดและอาวุธสงครามก็จะทิ้งไว้เป็นเหยื่อล่อ รอให้เจ้าของที่ฉวยเอามันไปโดยมิชอบตามกลิ่นมาติดกับดักเอง
ณ ค่ายทหารตีนเขาพนมดงรัก พันโททรงศักดิ์ได้แต่แหงนมองแสงสว่างวอมแวมจากด้านบน นั่นแสดงให้เห็นว่ามีคนอยู่ ไม่ต้องสืบเสาะถามหาว่าเป็นพวกไหน ทหารไม่ทราบฝ่าย ผู้ก่อความวุ่นวายและสังหารทหารไปแล้วกว่าสองกองร้อย คนบนนั้น...คือปัญหาที่ตนต้องแก้ไข
ทว่า...อยู่ ๆ ผู้ใหญ่ที่ตนรับคำสั่งมาโดยตรงโดยไม่ผ่านกรมกองหรือขั้นตอนใดกลับให้ระงับการโจมตีเอาไว้ดื้อ ๆ จริงอยู่ว่าทุกครั้งมันไม่มีผลอันใดดีขึ้นเลย แรก ๆ บุกไปก็ถูกสวนกลับด้วยลูกปืน ครั้งหลัง ๆ ทหารยิ่งถอดใจหนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็น
“กำลังเครียดเรื่องคำสั่งยกเลิกรึพี่ศักดิ์?”
“เออ! กูอยากจะบุกขึ้นไปให้มันรู้แล้วรู้รอด ตายก็ตายไปให้มันจบ ๆ ไอ้พวกห่าเหวบนนั้นนั่นก็เหลือเกิน ผิดวิสัย ตอนแรกเปิดตัวเสียเอิกเกริก พอมีค่ายทหารเ-ือกรั้งอยู่แค่บนนั้น ทำยังกะพอใจแล้ว กูจะไม่บุกแล้วซะเฉย ๆ จะปล่อยไว้ก็ไม่ได้ จะบุกไปก็ไม่ได้ แถมผู้ใหญ่ยังมาสั่งระงับอีก หัวกูจะระเบิดอยู่แล้ว!”
“ก็บุกมันไปเลยสิพี่ ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่รู้” ผู้กองสามารถกระเผลกไม้เท้าเข้ามาใกล้ขึ้นกระซิบบอก พันโททรงศักดิ์หันขวับทำตาวาว
“ถึงผมจะไปไม่ได้ แต่ลูกน้องของผมน่ะพร้อม ถ้าพี่จะบุกก็บุกมันคืนนี้ เดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ผู้ใหญ่เขาจะสั่งถอนกำลัง ไม่ใช่ว่าผมคิดดูหมิ่นนายพลกิตติท่านนะพี่ แต่พี่ก็รู้ดีขั้นตอนมันมาแบบนี้แล้ว ระงับไม่ให้บุกต่อไปจะอะไรได้นอกจากให้ถอนกำลัง ดูท่า...ดินแดนส่วนนั้นคงต้องยกให้พวกมันไปแน่แล้ว”
“มืงจะบ้ารึไงวะ? ท่านนายพลน่ะไม่ยอมแน่!” พันโททรงศักดิ์ค้าน
“ไม่ยอมแล้วจะทำอะไรได้ ยศท่านเป็นแค่พลโท ถึงหลายคนจะไม่ชอบขี้หน้าแต่ยังไงผู้นำก็เป็นถึงพลเอกนะพี่ เขามีอำนาจที่สูงกว่า นายพลกิตติท่านจะเอาอะไรไปค้าน? ยิ่งมีจิ้งจอกอย่าง...” ผู้กองสามารถลดเสียงให้แผ่วลง “อย่างไอ้วิวัฒน์อยู่เป็นมือขวาด้วยแล้ว พี่ศักดิ์...คิดดูสิพี่ ท่านนายพลของเราจะเอาอะไรไปสู้? ความตงฉิน ความเถรตรงน่ะเอาชนะความเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่ได้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว?” เมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของพันโททรงศักดิ์ ผู้กองสามารถจึงตัดสินใจบอกบางอย่างเพื่อเป็นการตอกตะปูย้ำซ้ำให้แน่นสนิทยิ่งขึ้น
“สายข่าวของผมบอกมา ไอ้ลูกชายขี้กร่างของท่านนายพลก็อยู่บนนั้นด้วย มันถูกจับเป็นตัวประกัน ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ แน่ล่ะถ้าบุกขึ้นไปย่อมผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ถ้าช่วยลูกชายของท่านนายพลกลับมาได้ ความดีความชอบก็น่าจะหักลบกันได้นะพี่”
“ตกลง!” พันโททรงศักดิ์บอกเสียงกร้าว หลังจากนิ่งมองแสงสว่างวอมแวมด้านบนชั่วครู่ “ให้คนของมืงมากับกู ตอนนี้เลย”
“ทันทีเลยครับ!” ผู้กองสามารถตอบรับฉับไว จากนั้นก็กะเผลก ๆ กลับไปเพื่อสั่งการกับลูกน้องของตนถึงภารกิจเสี่ยงตายที่อาจเป็นการบุกครั้งสุดท้ายนี้
สิบนาทีต่อมา กองกำลังพิเศษที่จัดตั้งขึ้นแบบเร่งด่วนภายใต้การนำของพันโททรงศักดิ์ก็คืบคลานด้วยวิสัยทหาร อาศัยความมืดอำพรางเพราะยังบ่งชี้ลงไปไม่ได้ว่ารังปืนกลจะไม่มีคนกลับมาเฝ้าอีก ผู้กองสามารถทำๆได้เพียงยืนส่งเงียบ ๆ จนกระทั่งทั้งหมดหายลับเข้าป่าไป
เพียงไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ล่วงพ้นความสลัวรางเท่าที่แสงไฟจากค่ายจะเอื้อให้ ความเย็นยะเยือกก็เข้าโจมตีทันที หลายครั้งที่พันโททรงศักดิ์สั่นสะท้านไปทั้งตัว เรื่องที่ทหารบอกไว้ ผีตายโหงตายพราย สมิง แล่นปราดกลับเข้ามาในสมอง
ใช่ ไม่ผิดสักนิดที่ว่าตนเองเป็นชายชาติทหารมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนผมบางเส้นเริ่มหงอก ออกรบมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ตนไม่ใช่คนมีดีมีอาคม พูดถึงเรื่องนี้ที่เชื่อสุดใจย่อมต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา
สิบนาที...ยี่สิบนาที...ครึ่งชั่วโมงล่วงผ่านจนกระทั่งเป็นชั่วโมงกว่า คณะของพันโททรงศักดิ์ก็ยังไปไม่ถึงรังปืนกลสักที หากความจำไม่เฝื่อนฝาด มันไม่ได้ไกลขนาดนี้ ทิศทางตามแผนที่อิงจากเข็มทิศก็ถูกต้อง ทว่า...ตะเคียนใหญ่หลายคนโอบที่ตนยืนมองอยู่นี้ จำได้ว่าเห็นร่วมสามรอบเข้าไปแล้ว
(มีต่อครับ)