ปฐพีเดือด ตอนที่6.

กระทู้สนทนา
โดย : ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน

ตอนที่6. วิชาก้นหีบ

ซ่า!... น้ำเย็นจัดถูกสาดเข้าใบหน้าปลุกให้ผู้ที่กำลังหลับใหลอย่างสบายอารมณ์แม้จะอยู่ในท่าทางถูกมัดมือไพล่หลังบนเก้าอี้สะดุ้งตื่น  ทันทีที่นัยน์ตาปรับรับภาพจนมองได้ถนัดชัดเจนก็มีอันต้องผวา  เมื่อพบว่าตนเองถูกพันธนาการติดกับเก้าอี้  ซ้ำยังรายล้อมด้วยนายทหารหกเจ็ดคนไม่ต่ำกว่านั้น  ซ้ำทุก ๆ นายตนเองยังคุ้นหน้า รู้จักดีเพราะหัวหน้าของทหารเหล่านี้คือบุคคลที่ตนเองเคยยกย่อง   พวกนี้เป็นลูกน้องของผู้กองทะนง  พวกนี้คือทหารผี!  พวกนี้คือเจตภูติ!!!

“ปะ...ปล่อยผมไปเถอะครับพี่!”  

ตั้งสติได้ก็อ้อนวอนน้ำตานองหน้า  ขณะเดียวกันก็พยายามรีดเร้นเค้นจิตเพื่อใช้อาคมที่ตนมี  ทว่ากลับไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้  หัวจิตหัวใจที่เคยห้าวหาญเมื่อคิดว่าตนเองมีดี  บัดนี้ราวกับนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสถานที่อันมืดมิดเย็นเยียบไร้ขอบเขต   อาคมหายไปแล้ว!

 “ยะ...ยังไง?  ได้ยังไงกัน?”  ทหารนายนั้นซึ่งถูกจับมาเพื่อรีดข้อมูลตาเหลือกลาน  คำถามนั้นไม่รู้ว่าตั้งใจสื่อให้ใครตอบ  หรือว่าพูดกับตนเอง

“ใจเย็น ๆ พวกกูไม่ฆ่ามืงหรอก”  หนึ่งในกองกำลังรบอันแข็งแกร่งที่มีเพียงหยิบมือก็สามารถถล่มค่ายโจรย่อม ๆ ได้ของผู้กองทะนงกล่าวเสียงเรียบ  ลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งประจันหน้า  เอียงคอมองน้อย ๆ นัยน์ตาดำขลับนั้นสุดจะหยั่งถึงความคิดภายใน

“ขอแค่มืงบอกพวกกูมาก็พอ  บอกให้ละเอียด  ทุกอย่างที่มืงรู้  ชื่อคนจ้างวาน  จำนวนเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้มืงและพวกกลายเป็นทหารเลวแบบนี้  กูให้สัญญา  มืงจะไม่เจ็บตัว”   เว้นระยะครู่หนึ่งเอื้อมมือไปด้านหลังชักมีดเล่มยาวเกือบฟุตออกมาอวดคมสะท้อนแสงวาววับ  บนตัวมีดสลักเลขยันต์เอาไว้ตามวิสัยมีดลงอาคม 

“แต่ถ้ามืงปากแข็ง  มืงจะได้พบกับสิ่งที่...เฮ่อ!  เอาเป็นว่าถ้ามืงไม่ยอมคายทุกอย่างออกมา  ต่อให้มืงอยากตายมืงก็จะไม่ตาย ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะถูกหั่นเนื้อเถือหนังออกทีละแผ่น...ทีละแผ่น  เข้าใจนะ?”

“คะ...ครับ”  นายทหารผู้เคยมีวิชาเสือเย็นซึ่งเวลานี้เคล็ดวิชาที่ว่าหายจ้อยเหลือเพียงเนื้อตัวที่เย็นเยียบเย็นเฉียบตอบรับปากคอสั่น

“ดีมาก...ถ้าอย่างนั้นก็ว่ามา”

ด้านนอก ผู้กองทะนงสนทนากับใครบางคนผ่านการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ไม่สามารถติดตามร่องรอยได้  ทุกการสนทนานั้นเขาไม่ได้ปิดเป็นความลับ  หมวดผดุง  นายตำรวจน้ำดีที่คิดจะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงจนตนเองเกือบตายก็ฟังอยู่ด้วย  

“แบบนี้ดีแล้วรึ?  จริงอยู่เราสองคนอยู่คนละหน่วยงาน  ผมไม่รู้แบบแผนหรือกฎข้างในของทหารหรอกนะ  แต่สิ่งที่คุณทำ  ผมมองไม่เห็นว่ามีส่วนไหนที่จะส่งผลดีกับตัวคุณเลย”  หมวดผดุงเอ่ยถามตามจริง  เขาเป็นคนเปิดเผย  อยากรู้ก็ถาม ถามแล้วไม่ได้ความก็ต้องสืบ  นั่นเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน

“จำเป็นด้วยรึ?”  ผู้กองทะนงถามกลับ  “ก่อนจะถามหาผลดีเมื่อเรื่องนี้เดินมาถึงปลายทางกับผม  ถามตัวคุณเองก่อนดีกว่ามั้ย?  คิดได้ยังไง  เป็นตำรวจชั้นผู้น้อยแต่ดันไปกระตุกขนหางนายใหญ่  ไอ้รางวี่รางวัลคำชมเชยนั่นรับ ๆ ไป  เสียก็จบ”

หมวดผดุงเหลือบมองไปยังรถกระบะโฟลวิลล์และรถหกล้อที่จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างกระโจมเล็ก ๆ เขารู้ดีว่าด้านในคืออะไร  ด้วยว่าสถานะของตนไม่ใช่ตัวประกัน  การจะสืบเสาะเลาะดูจนรู้แจ้งจึงไม่ถูกขัดขวางใด ๆ บนรถคือยาเสพติดและอาวุธสงครามที่ถูกกลุ่มคนปริศนาชิงมาเมื่อเกือบอาทิตย์ก่อน  และกลุ่มคนที่ว่าก็คือลูกน้องของผู้กองทหารตรงหน้า ที่ยอมเอาตัวเองไปเปรอะโคลนโดยไม่บอกใครนี่เอง

ส่วนบนรถหกล้อเป็นลังขนาดใหญ่ด้านในบรรจุทองคำแท่งและเงินจำนวนมากเอาไว้  เขาไม่คิดจะถามถึงที่มา  และไม่คิดด้วยว่าผู้กองทหารซึ่งเป็นผู้นำของคนพวกนี้  จะเอามันมาซ่อนไว้เพื่อประโยชน์ส่วนตน  อาจเป็นการกระทำอย่างเดียวกันกับเมื่อครั้งชิงอาวุธและยาเสพติดมาก็เป็นได้  

“ผมรับไว้ไม่ได้หรอก  ความจริงเป็นยังไง  ตัวผม  หรือตำรวจที่รอดตายในวันนั้นต่างก็รู้ดี  ผมเป็นตำรวจเพราะอยากเห็นความยุติธรรมที่มันจับต้องได้  ไม่ใช่แค่คำพร้อมความหมายในพจนานุกรม  แต่ดูสิ...หึ  ยิ้มชีวิต  บ้านเมืองเราเป็นแบบนี้มันจะไปหาเจอได้ยังไงไอ้ความยุติธรรมที่ว่า  ถ้าต้องทนแบกหน้ารับรางวัลโดยที่รู้ว่าเบื้องหลังมันเน่า  มันคาวคลุ้ง  ผมยอมตายดีกว่า”

ผู้กองทะนงนิ่งมองหมวดผดุงครู่หนึ่ง  แม้จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วโมง  แม้จะสนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถรับรู้ได้ว่าเขาเป็นตำรวจน้ำดี  และหากตนเองและลูกน้องไม่ช่วยออกมา  ศีรษะของนายตำรวจผู้นี้คงถูกบั่นและเสียบประจานเช่นเดียวกับผู้ที่มีความคิดเถรตรงในน้ำยืนเป็นแน่

“ยอมตาย?  ตายแล้วจะได้อะไร?  ตายแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”

“ถึงอยู่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี”  หมวดผดุงสวนกลับทันควัน  “ตำรวจกระจอก ๆ อย่างผม  จะเอาอะไรไปสู้กับผู้มีอำนาจ  คุณเองก็เห็นมาแล้วนี่”

คำพูดนั้นเป็นทั้งการตัดพ้อต่อโชคชะตาและถามหาความเป็นธรรมไปในตัว  ผู้กองทะนงรู้ดีเพราะเคยประสบพบเจอกับตนเองมาก่อน  และเคยสนทนากับผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์จากความเหลื่อมล้ำ  อยุติธรรม  และอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่บีบเค้นจนคนดีถูกกลืนหายไปทีละน้อยมาแล้ว

ขณะที่ต่างคนต่างเงียบ ลูกน้องในกระโจมก็ออกมาพร้อมข้อมูลที่รีดได้จากทหารเลวนายนั้น  ผู้กองทะนงไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดเพื่อป้องกันความผิดพลาด

“บันทึกเสียงไว้รึเปล่า?”

“ครับ  บันทึกแล้ว  ก่อนเอามาให้ผู้กองผมตรวจเช็คดูแล้วด้วย  ทุกอย่างที่มันบอกตรงกับหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยกเว้นที่ค่ายของพันโททรงศักดิ์ครับ”

“ไม่เป็นไร”  ผู้กองทะนงว่าก่อนล้วงเอากระดาษอีกแผ่นที่พับไว้ลวก ๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อ  ยื่นให้หมวดผดุง  “ผมจะให้คนของผมไปส่งคุณโดยปลอดภัย  คุณไปหาสารวัตรเจษ  เขาต้องการสิ่งนี้ในการทำงาน  หากเขาถามว่าได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหนคุณก็...”

“ไม่ต้องบอก”  หมวดผดุงชิงพูดก่อน  “ผมรู้  แต่อยากขอถามอีกครั้ง  การปิดทองหลังพระแบบนี้คุณได้ประโยชน์อะไร?”

ผู้กองทะนงไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ เท่านั้น  ก่อนหันไปออกคำสั่งกับลูกน้องว่าให้คุ้มกันหมวดผดุงจนกว่าจะส่งข่าวสำเร็จ  จากนั้นให้แทรกซึมช่วยงานสารวัตรเจษอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ถูกจับได้

“ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยครั้งนี้หมอนั่นคงต้องรับศึกหนักพอตัว  การจะดึงเอาพญาหมาป่าลงจากบัลลังก์คงไม่ง่าย  แต่ฉันก็เชื่ออีกว่า  คนเราต่อให้เจนจัดยังไง  ความโลภที่มีจะกัดกินความฉลาดไปจนหมด  ยิ่งของสำคัญของมีค่ามาถูกพรากเอาไปแบบนี้ยิ่งนั่งไม่ติด  แล้วมันจะพลาดเอง  อ้อ...ระวังตัวกันให้ดีด้วย  ข้างตัวของพญาหมาป่าย่อมมีลูกสมุนทั้งในและนอกอยู่แน่ และไอ้ที่ว่าเป็นคนนอกนี่ล่ะ  ร้ายนักเชียว”

“แล้วที่น้ำยืนล่ะครับ?”  ลูกน้องคนเดิมถาม

“ส่งคนของเราไปดูพี่ศักดิ์ไว้คนเดียวก็พอ  คอยคุ้มกันห่าง ๆ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง...หึ...ความโลภนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ เปลี่ยนคนดีให้เลวชาติได้ไม่อายฟ้าดิน”  

บอกเพียงเท่านั้นเป็นอันรู้กัน  ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจตามหน้าที่ของตน   กระโจมแห่งนี้ ที่พักลับ ๆ แห่งนี้พวกเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว  ทั้งทองคำ เงิน ยาเสพติดและอาวุธสงครามก็จะทิ้งไว้เป็นเหยื่อล่อ  รอให้เจ้าของที่ฉวยเอามันไปโดยมิชอบตามกลิ่นมาติดกับดักเอง

ณ  ค่ายทหารตีนเขาพนมดงรัก  พันโททรงศักดิ์ได้แต่แหงนมองแสงสว่างวอมแวมจากด้านบน  นั่นแสดงให้เห็นว่ามีคนอยู่  ไม่ต้องสืบเสาะถามหาว่าเป็นพวกไหน  ทหารไม่ทราบฝ่าย ผู้ก่อความวุ่นวายและสังหารทหารไปแล้วกว่าสองกองร้อย  คนบนนั้น...คือปัญหาที่ตนต้องแก้ไข

ทว่า...อยู่ ๆ ผู้ใหญ่ที่ตนรับคำสั่งมาโดยตรงโดยไม่ผ่านกรมกองหรือขั้นตอนใดกลับให้ระงับการโจมตีเอาไว้ดื้อ ๆ จริงอยู่ว่าทุกครั้งมันไม่มีผลอันใดดีขึ้นเลย  แรก ๆ บุกไปก็ถูกสวนกลับด้วยลูกปืน  ครั้งหลัง ๆ ทหารยิ่งถอดใจหนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็น

“กำลังเครียดเรื่องคำสั่งยกเลิกรึพี่ศักดิ์?”

“เออ! กูอยากจะบุกขึ้นไปให้มันรู้แล้วรู้รอด  ตายก็ตายไปให้มันจบ ๆ ไอ้พวกห่าเหวบนนั้นนั่นก็เหลือเกิน  ผิดวิสัย  ตอนแรกเปิดตัวเสียเอิกเกริก  พอมีค่ายทหารเ-ือกรั้งอยู่แค่บนนั้น  ทำยังกะพอใจแล้ว  กูจะไม่บุกแล้วซะเฉย ๆ จะปล่อยไว้ก็ไม่ได้  จะบุกไปก็ไม่ได้  แถมผู้ใหญ่ยังมาสั่งระงับอีก  หัวกูจะระเบิดอยู่แล้ว!”

“ก็บุกมันไปเลยสิพี่ ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่รู้”  ผู้กองสามารถกระเผลกไม้เท้าเข้ามาใกล้ขึ้นกระซิบบอก  พันโททรงศักดิ์หันขวับทำตาวาว

“ถึงผมจะไปไม่ได้  แต่ลูกน้องของผมน่ะพร้อม  ถ้าพี่จะบุกก็บุกมันคืนนี้ เดี๋ยวนี้เลย  ก่อนที่ผู้ใหญ่เขาจะสั่งถอนกำลัง  ไม่ใช่ว่าผมคิดดูหมิ่นนายพลกิตติท่านนะพี่  แต่พี่ก็รู้ดีขั้นตอนมันมาแบบนี้แล้ว  ระงับไม่ให้บุกต่อไปจะอะไรได้นอกจากให้ถอนกำลัง  ดูท่า...ดินแดนส่วนนั้นคงต้องยกให้พวกมันไปแน่แล้ว”

“มืงจะบ้ารึไงวะ?  ท่านนายพลน่ะไม่ยอมแน่!”   พันโททรงศักดิ์ค้าน

“ไม่ยอมแล้วจะทำอะไรได้  ยศท่านเป็นแค่พลโท  ถึงหลายคนจะไม่ชอบขี้หน้าแต่ยังไงผู้นำก็เป็นถึงพลเอกนะพี่  เขามีอำนาจที่สูงกว่า  นายพลกิตติท่านจะเอาอะไรไปค้าน?   ยิ่งมีจิ้งจอกอย่าง...”  ผู้กองสามารถลดเสียงให้แผ่วลง  “อย่างไอ้วิวัฒน์อยู่เป็นมือขวาด้วยแล้ว  พี่ศักดิ์...คิดดูสิพี่  ท่านนายพลของเราจะเอาอะไรไปสู้?  ความตงฉิน  ความเถรตรงน่ะเอาชนะความเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่ได้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว?”  เมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของพันโททรงศักดิ์  ผู้กองสามารถจึงตัดสินใจบอกบางอย่างเพื่อเป็นการตอกตะปูย้ำซ้ำให้แน่นสนิทยิ่งขึ้น

“สายข่าวของผมบอกมา  ไอ้ลูกชายขี้กร่างของท่านนายพลก็อยู่บนนั้นด้วย มันถูกจับเป็นตัวประกัน  ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้   แน่ล่ะถ้าบุกขึ้นไปย่อมผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง  แต่ถ้าช่วยลูกชายของท่านนายพลกลับมาได้  ความดีความชอบก็น่าจะหักลบกันได้นะพี่”

“ตกลง!”  พันโททรงศักดิ์บอกเสียงกร้าว หลังจากนิ่งมองแสงสว่างวอมแวมด้านบนชั่วครู่  “ให้คนของมืงมากับกู  ตอนนี้เลย”

“ทันทีเลยครับ!”  ผู้กองสามารถตอบรับฉับไว  จากนั้นก็กะเผลก ๆ กลับไปเพื่อสั่งการกับลูกน้องของตนถึงภารกิจเสี่ยงตายที่อาจเป็นการบุกครั้งสุดท้ายนี้
สิบนาทีต่อมา กองกำลังพิเศษที่จัดตั้งขึ้นแบบเร่งด่วนภายใต้การนำของพันโททรงศักดิ์ก็คืบคลานด้วยวิสัยทหาร อาศัยความมืดอำพรางเพราะยังบ่งชี้ลงไปไม่ได้ว่ารังปืนกลจะไม่มีคนกลับมาเฝ้าอีก  ผู้กองสามารถทำๆได้เพียงยืนส่งเงียบ ๆ จนกระทั่งทั้งหมดหายลับเข้าป่าไป

เพียงไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ล่วงพ้นความสลัวรางเท่าที่แสงไฟจากค่ายจะเอื้อให้  ความเย็นยะเยือกก็เข้าโจมตีทันที  หลายครั้งที่พันโททรงศักดิ์สั่นสะท้านไปทั้งตัว  เรื่องที่ทหารบอกไว้  ผีตายโหงตายพราย  สมิง  แล่นปราดกลับเข้ามาในสมอง  

ใช่ ไม่ผิดสักนิดที่ว่าตนเองเป็นชายชาติทหารมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนผมบางเส้นเริ่มหงอก  ออกรบมาไม่รู้กี่ครั้ง  แต่ตนไม่ใช่คนมีดีมีอาคม  พูดถึงเรื่องนี้ที่เชื่อสุดใจย่อมต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา

สิบนาที...ยี่สิบนาที...ครึ่งชั่วโมงล่วงผ่านจนกระทั่งเป็นชั่วโมงกว่า  คณะของพันโททรงศักดิ์ก็ยังไปไม่ถึงรังปืนกลสักที  หากความจำไม่เฝื่อนฝาด  มันไม่ได้ไกลขนาดนี้  ทิศทางตามแผนที่อิงจากเข็มทิศก็ถูกต้อง  ทว่า...ตะเคียนใหญ่หลายคนโอบที่ตนยืนมองอยู่นี้  จำได้ว่าเห็นร่วมสามรอบเข้าไปแล้ว
(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่