การตามดูความคิด และใช้งานความคิด แบบไม่ต้องเข้าไปเป็นตัวความคิด ก็ไม่ทุกข์

มาเล่าให้ฟังต่อ เผื่อมีประโยชน์กับท่านที่เริ่มปฏิบัติ
และบันทึกการปฏิบัติใว้ย้อนดูด้วยครับ

สืบเนื่องจากกระทู้นี้
นอนกำหนดรู้ลมหายใจอยู่แล้ว รู้ตัวว่าหลับ ลมหายใจหายไป และมีสิ่งหนึ่งรู้อยู่ คืออะไรครับ
https://pantip.com/topic/41858737

ช่วงที่เกิดสภาวะนั้น ครั้งเดียว ราว สค.65 ถึงประมาณ
สัปดาที่แล้ว ประมาณ 20 มีค.66 นับรวมประมาณ 7 เดือน
ที่ ตัวสติจะแนบแน่นอยู่กับลมหายใจ ,ความรู้สึกตัว ,อิริบาบถ
เองโดยอัตโนมัติ โดยความคิดจะออกไปโลดแล่น ไม่ได้เหมือนปรกติ
เหมือนถูกจับขังใว้ ในความรู้ตัว 

ถามว่าเป็นสุขมั๊ย ก็จะมีบ้างตอนเกิดปีติและขนลุกซาบซ่าน
จะสบายตัว สบายใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าแต่ก่อน แค่ฟังเสียง
สวดมนต์ หรือระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือการฟังธรรมเรื่องราว
ของอัครสาวก หรือธรรมมะ ก็มีอาการซาบซึ้งปีติแล้ว  

พอเกิดบ่อยๆ ก็รู้สึกเฉยๆ  ส่วนความทุกข์ใจนั้น ไม่มีเลย
หมายถึงความทุกข์ของใจ  ถ้าเป็นส่วนร่างกาย เหมือนเห็น
เวทนาได้ชัดเจน เป็นความทุกข์ตามปรกติ ความเมื่อยล้า 
เหน็ดเหนื่อย แต่ไม่รู้สึก เหนื่อยใจ

นี้น่าจะเป็น ประมาณ หินทับหญ้า ที่เคยอ่านมา
ถ้าจิตมีกำลังมันจะข่มใว้ ให้สติแนบอยู่กับความรู้ตัว
แต่มันเสื่อมได้
==========

มาช่วง สัปดาห์ก่อน ประมาณ 20 มีค.66 
เริ่ม มีความคิดโลดแล่นได้ เหมือนเดิม เหมือนตัวรู้ออกมาสัมผัสโลกภายนอกได้
พอตัวรู้ ๆ ตัวว่า มีความคิดเกิดขึ้น เกิดมีสติขึ้นว่า ถ้าไปเกาะความคิด
ที่มันจะมอดไหม้ ในที่สุด จะต้องเจ็บปวด เป็นทุกข์อีกแน่ๆ 
เพราะมันเกิด ดับ แปรปรวน และ ปรุงแต่ง แต่ดับไปได้

ด้วยกำลังของสติที่ยังเหลืออยู่บ้าง 
จึงพลิกให้ ตัวรู้ที่กำลังโลดแล่น กำลังจะหลงเป็นความคิดนั้น
ให้เป็นผู้ดู ความคิดแทน ไม่ไป spiral ผนึก หลอมรวม ขมวดเข้า
กับตัวความคิด แต่ก็ยังคิดอยู่ แต่ไม่ใช่ ไปเป็นความคิด 

ตรงนี้จะอธิบายยากสักหน่อย  อาจจะอธิบายไม่ถูกต้องขออภัย
เปรียบเทียบการดูความคิด คล้ายๆ เรามองเห็น สายของประทัด ที่เค้าจุด
เห็นทุกอย่างตั้งแต่การ ผูก การจุด การระเบิดของแต่ละเม็ด ของประทัดนั้น
มีทั้งเสียง และควัน กลิ่น สัมผัสทุกอย่าง จนมันหมดไป 
แต่เราไม่ได้มอดไหม้ เจ็บตัว ไปกับ ประทัดนั้นๆ 
เพราะเราแค่ดูมัน ไม่ได้เอามือไปกำ หรือกอดแน่นๆ 

ความคิดก็เหมือนกัน มันไม่มีรูปร่างจับต้องได้ก็จริง 
แต่มัน มีเกิดดับ สลายได้ มอดไหม้ไปได้  ถ้าเราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ถึงความทุกข์ ที่เกิดจากความคิด และมีกำลังพอ ที่จะไม่ไป
เพลินกับ ความคิด ผนึกหลอมรวมกัน สลายไปด้วยกัน 
นั้นคือความทุกข์ 

แต่ความทุกข์ก็มีข้อดี ทำให้เราได้ทดสอบ สติ ปัญญาของเรา
จากการ ใช้ชีวิตประจำวันที่มีเรื่องราว ต่างๆ ต้องตัดสินใจ

มันก็ยังต้องใช้ความคิด ในการ อยู่กับผู้คน ครอบครัว การงาน
เพียงแต่เราใช้งาน มันเสมือน สมุดจนโน้ต พื้นที่ desktop 
ในการวางแผน ตัดสินใจต่างๆ ก็ยังต้องใช้อยู่  เพียงแต่มีสติ
กำกับ ให้ตัวรู้ไม่หลงไปหลอมรวม กับความคิด เราก็จะไม่ทุกข์เลย

ไม่ทุกข์ในที่นี้ ไม่ใช่มีแต่สุข ไม่มีความไม่พอใจ ทุกอย่างดีหมดเหมือนใครมาเสก ไม่ใช่แบบนั้น
ความสุข ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจ ทุกอย่างเหมือนเดิม
เพียงแต่พื้นที่ๆ มันอยู่ หรือเป็น ไม่ได้เป็นตัวรู้ ไม่ได้ผูกติดกัน
เราแค่ดู มันเป็นไป เฉยๆ ตามความเป็นจริง อย่างมีสติกำกับ

เป็นการทำหน้าที่ไป ให้ปรกติ อยู่กับปัจจุบันขณะ 
พอไม่มีเรื่องงานก็กลับมารู้ลมหายใจบ้าง รู้ตัวบ้าง 
เช่น พับผ้าอยู่ก็รู้ว่า กำลังพับ รู้ในอริยาบถต่างๆ 
เพระเรามีร่างกายอยู่ ยังต้อง ทำงาน ขยับอยู่ 

การสลับ ที่อยู่ของตัวรู้ หรือความรู้ตัว เหมือนกับ ให้มัน relax , test
เพิ่มความคล่องตัว กันความหลง เพราะ ก็กลัวๆ กิเลส
ที่มันจะ advance มาหลอกเรา อีกชั้น เหมือนกัน

ทุกอย่างนี้เริ่มจากแค่รู้ลมหายใจ เท่านั้นเอง
ไม่ได้ ปฏิบัตินั่งจนขาชา หรือเดินจนขาแตกแต่ประการใด
เพื่อนๆที่ร่วมทุกข์ สามารถทำได้แน่นอน  ถึงงานยุ่งมาก
หรือกระทั่งนอนติดเตียง แต่ถ้ายังหายใจได้ทำได้แน่นอน 

การให้สติระลึกรู้ลมหายใจบ่อยๆ เวลามี ความคิดเกิดขึ้น
มาขัดจังหวะการรู้นั้น เราก็จะรู้ได้ ขอแค่ดูและใช้งาน
ไม่เพลินไป ซึ่งตรงนี้คงต้องอาศัยกำลัง ของสมาธิ สติ ปัญญา
จึงจะ ไม่หลงไปยึดถือเอาเป็นตัวเรา ของเราได้ 

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ยังทุกข์อยู่  และให้กำลังใจตัวเอง
ที่ยังต้องทำให้ หมดจด เบ็ดเสร็จ ตามแบบพระพุทธเจ้า
ว่าทางที่ท่าน ได้ทำแผนที่ใว้ดีแล้วนั้น ไปได้จริงและ ถึงได้จริง
ขอเพียงแค่เดินตาม เท่านั้น

ความสุขบนโลกนี้เป็น เพียงความฝันเท่านั้น 
ความร่ำรวย ความหนุ่มสาว กำลังวังชา ชื่อเสียง
เป็นแต่ของชั่วคราว ที่ใครมีก็แค่ชั่วคราว 

แต่ความทุกข์ นี้แหละคือของจริง ของแท้ๆ ที่ทุกคนต้องเจอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่