ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภหญิงนักดื่มสุรา ๕๐๐ คน ผู้เป็นสหายของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยของพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี มีนายพรานป่าคนหนึ่งชื่อสุระ ได้เข้าป่าเพื่อหาของป่าค้าขาย มีต้นไม้ต้นหนึ่งลำต้นตรงสูงขนาดเท่าคนยืน มี ๓ คาคบ ตรงกลางมีโพรงขนาดเท่าตุ่มน้ำ เมื่อฝนตกน้ำก็จะขังเต็มเปี่ยม ลูกสมอ มะขามป้อม และพริกไทยที่ขึ้นอยู่รอบข้างต้นไม้นั้น ก็จะหล่นไปหมักอยู่ในน้ำนั้น และที่ใกล้ ๆ ต้นไม้นั้นมีข้าวสาลีเกิดเองอยู่ เมื่อนกคาบรวงข้าวสาลีบินไปจับกินอยู่บนต้นไม้นั้น เมล็ดข้าวสาลีก็หล่นลงไปในน้ำนั้น
เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน ฝูงนกกระหายน้ำก็จะบินมากินน้ำที่ต้นไม้นั้น ก็มึนเมาพลัดตกลงไปที่โคนต้นไม้นั่น ม่อยหลับไปสักครู่หนึ่งก็บินขึ้นไปได้ ฝูงลิงก็เช่นกัน วันหนึ่งนายพรานสุระไปพบเห็นสิ่งแปลกประหลาดนั้นเข้า ก็คิดแปลกใจว่า "แปลกจริงหนอ..ถ้าน้ำนี้มีพิษ พวกสัตว์เหล่านี้คงตายไปแล้วละ แต่นี่มันร่วงลงมานอนสักครู่หนึ่งแล้วก็เดินหนีไปได้ น้ำนี่คงไม่มีพิษอะไร" จึงลองดื่มดูบ้างจนเกิดอาการมึนเมาแล้วอยากจะกินเนื้อสัตว์ จึงก่อไฟปิ้งนกที่ร่วงลงมาพื้นดินนั้นกิน มือหนึ่งฟ้อนรำมือหนึ่งถือปิ้งนกกัดกิน เขาเป็นอยู่อย่างนี้ถึง ๒ วัน จึงออกเดินหาของป่าโดยไม่ลืมตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่นำไปดื่มด้วย
ในที่ไม่ไกลจากนั้น มีดาบสชื่อวรุณะบำเพ็ญพรตอยู่ นายพรานสุระเมื่อเดินหาของป่าไปพบเห็นดาบสนั้นเข้า จึงชวนให้มาดื่มน้ำที่เขาใส่กระบอกไม้ไผ่ไปด้วยนั้น คนทั้งสองจึงดื่มน้ำนั้นกับเนื้อย่างร่วมกัน เพราะเหตุนั้นน้ำนั้นเขาจึงเรียกว่าสุราบ้าง วรุณีบ้าง ตามชื่อของนายพรานและดาบสนั้น
เมื่อดื่มน้ำนั้นด้วยกัน คนทั้งสองจึงเกิดความคิดในการประกอบอาชีพได้อย่างหนึ่ง พากันตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วหาบเข้าเมืองไปถวายพระราชา พระราชาเสวยแล้วเกิดติดใจในรสชาติจึงรับสั่งให้คนทั้งสองนำมาถวายอีกพร้อมกับประทานรางวัลให้ พวกเขาทั้งสองไปนำน้ำนั้นมาถวายพระราชาอีก เมื่อหมดก็รับสั่งให้ไปนำมาถวายอีก ในระหว่างทางคนทั้งสองจึงปรึกษากันว่า "พวกเราไม่สามารถจะเทียวมาเทียวไปได้ตลอดปี ควรหาทางปรุงสุราขึ้นเองในเมืองจะดีกว่า" ทั้งสองจึงจดจำสิ่งประกอบในน้ำนั้นแล้วนำมาปรุงในเมืองถวายพระราชา และขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ชาวเมืองพากันดื่มสุราจนมัวเมาไม่ประกอบอาชีพ เลยยากจนเข็ญใจไปตามๆ กัน ไม่นานเมืองนั้นก็เป็นเหมือนเมืองร้าง มีแต่นักเลงสุราไม่มีคนทำมาหากินอะไร
คนทั้งสองเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจะมีกำลังทรัพย์พอจะซื้อสุราได้แล้ว จึงหนีไปอยู่เมืองพาราณสี ไม่นานเมืองพาราณสีก็เป็นเช่นกันกับเมืองร้าง ทั้งคู่จึงหนึไปอยู่เมืองสาวัตถี ในสมัยนั้นพระเจ้าสัพพมิตต์ปกครองเมืองอยู่ พระองค์ได้ทำการต้อนรับคนทั้งสองเป็นอย่างดีและให้ทำการปรุงสุรามาถวาย ขณะเดียวกันก็แอบส่งทหารสอดแนมไปสังเกตดูพฤติกรรมของคนทั้งสอง
นายพรานสุระและวรุณดาบสได้ทำการปรุงสุราจำนวน ๕๐๐ ตุ่มตั้งไว้ ด้วยเกรงว่าหนูจะมาลงตุ่มจึงฝึกแมว ๕๐๐ ตัวไว้ข้างตุ่มนั้น เมื่อแมวหิวน้ำจึงพากันดื่มน้ำนั้นทำให้มึนเมาหลับไป พวกหนูมาแทะหูจมูกและหางแมวก็ไม่ตื่น ขณะนั้นพวกทหารสอดแนมที่พระราชาส่งมาเฝ้าดูคนทั้งสองเห็นแมวนอนหลับลึกเหมือนตายทั้งหมด จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
พระเจ้าสัพพมิตต์เห็นว่าคนทั้งสองปรุงยาพิษหวังจะลอบปลงพระชนม์จึงมีรับสั่งให้นำไปประหารชีวิต แม้คนทั้งสองจะทูลให้ทราบว่าเป็นสุรารสอร่อยก็ไม่ทรงเชื่อ เมื่อประหารชีวิตคนทั้งสองแล้ว จึงรับสั่งให้ทำลายตุ่มเหล่านั้นเสีย พวกทหารจะไปทำลายตุ่มสุรา เห็นแมวกลับมีชีวิตคืนมาเหมือนเดิมจึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาจึงรับสั่งให้จัดเตรียมสุราขึ้นมาถวายเพื่อจะทดลองดื่มดู
ในขณะที่พระราชาจะดื่มสุรานั่นเอง ท้าวสักกะเห็นความพินาศจักมีแก่ชาวเมืองสาวัตถี จึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์มือหนึ่งถือหม้อสุรา เหาะมายืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชาร้องขายหม้ออยู่
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านเป็นใครมาร้องขายหม้ออยู่กลางอากาศเช่นนี้ หม้อท่านใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?"
พราหมณ์ตอบว่า "ขอเดชะ หม้อใบนี้มิใช่หม้อน้ำผึ้ง เป็นหม้อที่มีโทษมากกล่าวคือผู้ใดดื่มน้ำในหม้อนี้แล้วต่างเดินโซซัดโซเซ ตกหลุมตกบ่อ ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ เที่ยวหยำเปไป ฟ้อนรำขับร้องได้ เดินแก้ผ้าเปลือยกายตามถนนก็ได้ นอนตื่นสาย พูดคำที่ไม่ควรพูด กินอาหารที่เหลือเดนสุนัขได้ นอนจมอยู่ในอาเจียนของตน มีตาขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราผู้เดียว ชอบทะเลาะวิวาท เสียทรัพย์สินเงินทองไร่นา ด่ามารดาบิดาได้ ฆ่าสมณชีพราหมณ์ยังได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้เสียเถิด น้ำในหม้อใบนี้ก็เป็นสุราเช่นเดียวกัน ถ้าประสงค์จักเห็นความพินาศของตนเองและบ้านเมืองแล้ว จงดื่มเถิด"
พระราชา "พราหมณ์..ท่านมิใช่มารดาบิดาของเรายังหวังดีแก่เราถึงปานนี้ เราขอมอบบ้านเก็บภาษี ๕ ตำบล ทาสี ๕๐๐ คน วัว ๗๐๐ ตัว รถม้าอาชาไนยอีก ๑๐ คัน แก่ท่าน ขอท่านจงเป็นอาจารย์แก่ข้าพเจ้าเถิด"
พราหมณ์จึงแสดงตนให้ทราบว่าเป็นท้าวสักกะแล้วให้โอวาทว่า " พระราชา..บ้าน ทาสี วัว และรถม้าอาชาไนยจงเป็นของท่านตามเดิมเถิด เราเป็นท้าวสักกะ ขอพระองค์จงตั้งอยู่ในธรรมอย่าประมาทเถิด" เมื่อประทานโอวาทแก่พระราชาแล้ว ท้าวสักกะก็เสด็จกลับยังสถานวิมานของพระองค์ทันที
ฝ่ายพระราชาก็ไม่ดื่มสุรานั้น รับสั่งให้ทำลายทิ้งทั้งหมด สมาทานศีลบริจาคทาน แล้วในที่สุดของชีวิตก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ ส่วนการดื่มสุราก็มีมาในโลกมนุษย์นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
การดื่มสุราไม่มีประโยชน์มีแต่โทษฝ่ายเดียว ทำให้เสียทรัพย์เสียของรัก และทำให้ผู้คนประกอบกรรมชั่วได้
สาธุชนเมื่อทราบเช่นนี้แล้วจึงไม่ควรดื่มสุราเลย
( ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม
http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt31.php )
🌷🤍🌷 นิทานชาดก ๐๓๑ (กุมภชาดก) : กำเนิดสุรา 🌷🤍🌷
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านเป็นใครมาร้องขายหม้ออยู่กลางอากาศเช่นนี้ หม้อท่านใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?"
พราหมณ์ตอบว่า "ขอเดชะ หม้อใบนี้มิใช่หม้อน้ำผึ้ง เป็นหม้อที่มีโทษมากกล่าวคือผู้ใดดื่มน้ำในหม้อนี้แล้วต่างเดินโซซัดโซเซ ตกหลุมตกบ่อ ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ เที่ยวหยำเปไป ฟ้อนรำขับร้องได้ เดินแก้ผ้าเปลือยกายตามถนนก็ได้ นอนตื่นสาย พูดคำที่ไม่ควรพูด กินอาหารที่เหลือเดนสุนัขได้ นอนจมอยู่ในอาเจียนของตน มีตาขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราผู้เดียว ชอบทะเลาะวิวาท เสียทรัพย์สินเงินทองไร่นา ด่ามารดาบิดาได้ ฆ่าสมณชีพราหมณ์ยังได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้เสียเถิด น้ำในหม้อใบนี้ก็เป็นสุราเช่นเดียวกัน ถ้าประสงค์จักเห็นความพินาศของตนเองและบ้านเมืองแล้ว จงดื่มเถิด"
พระราชา "พราหมณ์..ท่านมิใช่มารดาบิดาของเรายังหวังดีแก่เราถึงปานนี้ เราขอมอบบ้านเก็บภาษี ๕ ตำบล ทาสี ๕๐๐ คน วัว ๗๐๐ ตัว รถม้าอาชาไนยอีก ๑๐ คัน แก่ท่าน ขอท่านจงเป็นอาจารย์แก่ข้าพเจ้าเถิด"
พราหมณ์จึงแสดงตนให้ทราบว่าเป็นท้าวสักกะแล้วให้โอวาทว่า " พระราชา..บ้าน ทาสี วัว และรถม้าอาชาไนยจงเป็นของท่านตามเดิมเถิด เราเป็นท้าวสักกะ ขอพระองค์จงตั้งอยู่ในธรรมอย่าประมาทเถิด" เมื่อประทานโอวาทแก่พระราชาแล้ว ท้าวสักกะก็เสด็จกลับยังสถานวิมานของพระองค์ทันที
สาธุชนเมื่อทราบเช่นนี้แล้วจึงไม่ควรดื่มสุราเลย