รวิดานั่งตรวจดูคิวการแสดงผ่านหน้าจอ ฉากที่ปกป้องนำตัวเนตริยาไปส่งให้พ่อของนางเอกที่สนามบิน รวิดากำลังนั่งวิเคราะห์ถึงเสียงบทพูดที่มีการตัดต่อและเพิ่มเสียงประกอบลงไปเพื่อเพิ่มอรรถรส เธอรู้สึกพึงพอใจที่ภาพสีหน้าของภูวดลแสดงอารมณ์โศกเศร้าออกมาได้ดี และเสียงพูดยังแฝงความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ซ่อนเก็บไว้ไม่ให้นางเอกสาวได้รับรู้ แต่ตามบทบาทแล้วปกป้องจะต้องเผยความรู้สึกอะไรบางอย่างออกมาให้หญิงสาวสัมผัสได้ และภูวดลผู้ที่รับบทเป็นปกป้องก็สามารถทำตรงจุดนี้ได้ดี นั่นคือการแสดงแววตาแห่งความโศกเศร้าอาดูรที่จะต้องพลัดพรากจากของรักไป
รวิดามองแววตาคู่นั้นเนิ่นนาน และยังย้อนกลับไปดูหลายรอบ สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากคือ เธอยังจำแววตาคู่นั้นของธนิตได้ในครั้งที่ทั้งคู่ได้เจอกันเมื่อล่าสุด ในตอนนั้นหญิงสาวยังจดจำน้ำเสียงของธนิตได้แม่นยำว่ามันแฝงความรู้สึกมากมายเอาไว้ข้างใน สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในที่รวิดาพยายามตีความมันออกมานั้นมันมากมายเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด แม้ด้วยคำบอกเล่าไม่กี่ประโยครวมถึงความรู้สึกที่สะท้อนออกมาทางแววตา
'แต่ผมว่าเสียงคลื่นทะเลยิ่งฟังไปนาน ๆ ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความเศร้านะครับ’
หาก ณ เวลานั้นรวิดาเข้าใจความนัยที่แอบซ่อนอยู่ในใจของธนิต เธออาจจะถามความรู้สึกของธนิตตรง ๆ ว่าคิดอย่างไรกับเธอ ไม่ต้องปล่อยให้ความสงสัยนี้มาคอยกวนใจเธอ แต่รวิดาเองก็ไม่อาจแน่ใจได้เหมือนกันว่าเธอจะกล้าถามคำถามนั้นกับธนิตหรือเปล่า เพราะในช่วงเวลานั้นเธอไม่ได้มีใจให้ธนิตเลย ซึ่งต่างจากตอนนี้ที่เธอกลับรู้สึกถวิลหาชายหนุ่มผู้ที่แอบเก็บซ่อนความในใจนั้น
หญิงสาวผู้ที่มีหัวใจบอบบางเฝ้าคอยถามตัวเองว่าเหตุใดเธอจึงสนใจในตัวธนิต เธอคิดทบทวนถึงหลายครั้งที่ธนิตคอยเอาใจใส่เธอในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องงานที่เขาคอยสนับสนุนและคอยให้กำลังใจมาโดยตลอด ในครั้งแรกที่รวิดาเข้าไปเสนอภาพยนตร์ให้บริษัทต่าง ๆ ความฝันของเธอเริ่มดูเหมือนจะเลือนลางเมื่อต่างถูกปฏิเสธจากทุกที่ที่เธอไป แต่เมื่อมาเจอกับธนิตผู้ซึ่งคอยเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางให้เธอไปถึงจุดหมาย
หรือว่าอาจจะเป็นเพราะความสงสาร ชายหนุ่มที่ไม่ยอมเผยความในใจออกมาแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อรวิดาเริ่มระแคะระคายว่าธนิตมีใจให้เธอ เธอจึงรู้สึกสงสารที่ธนิตต้องทรมานเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ และความสงสารนั้นได้เปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความเห็นใจได้เปลี่ยนเป็นเข้าอกเข้าใจ และบางทีความเข้าอกเข้าใจอาจเปลี่ยนเป็นความรักได้
ธนิตในมุมมองของรวิดาเป็นผู้ชายที่สุภาพอ่อนโยน ให้เกียรติผู้อื่นโดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน เป็นคนที่ง่าย ๆ อะไรก็ได้ในเรื่องการดำเนินชีวิตทั่วไป ซึ่งเธอมองว่าไลฟ์สไตล์ของธนิตนั้นเข้ากับเธอได้
อีกหนึ่งสิ่งกวนใจรวิดาอีกเรื่องหนึ่งก็คือติณณ์ สำหรับติณณ์นั้นรวิดาคิดทบทวนอยู่เนิ่นนานว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้มันคืออะไรกันนะ สำหรับความรู้สึกดี ๆ ที่เธอมีให้แก่ติณณ์นั้นคงเป็นเรื่องของความประทับใจ ในเมื่อครั้งแรกที่รวิดาเห็นติณณ์ เธอเหมือนกับเห็นเจ้าชายในอุดมคติที่มีอยู่ในนิยาย ทั้งความหล่อมาดเนี๊ยบและบุคลิกที่ดูน่าหลงไหล ติณณ์ยังคอยอำนวยความสะดวกในเรื่องงานให้รวิดาด้วย รวมถึงคอยติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ทำให้รวิดาเห็นถึงความใส่ใจของติณณ์
รวิดาขบคิดอยู่นานว่าความรู้สึกแบบไหนนะที่จะนำไปสู่ความรักความเข้าใจได้ เธอคิดอยู่นานก็มั่นใจว่าความสงสารนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นความรักได้ หากใช้เวลากับมันมากพอ
เมื่อความรู้สึกของหญิงสาวเปลี่ยนไป ทำให้รวิดารู้สึกอึดอัดใจที่จะไปสนิทสนมกับติณณ์อีก เธอคิดว่าที่ผ่านมาเธอก็วางตัวกับติณณ์ไว้ไม่ได้มีอะไรเกินเลย
“เหม่อถึงใครเหรอ” ปาริชาติโผล่มาข้างหลังเงียบ ๆ ไม่ให้ซุ่มให้เสียง “ไม่เป็นอันทำการทำงานเชียว”
รวิดาหันมายิ้มให้เพื่อนสาว เธอแกล้งทำสีหน้าเหนื่อยล้าแม้จะไม่ต้องพยายามมากนัก
“ทำงานหนักไปมั้ง คงจะเหนื่อย”
“จริงเหรอ” ปาริชาติไม่ยอมแพ้ “ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นหน้าผู้พันนานมากแล้วนะ เธอได้โทรคุยกันบ้างหรือเปล่า
รวิดาได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ
ปาริชาติทำแววตาสงสัย หรือบางทีอาจจะเป็นอย่างที่เธอคาดเดาไว้ก็ได้ แต่เธอไม่ได้พูดมันออกมา
“งานมันรัดตัวมากเกินไปน่ะ นี่ก็ใกล้ตัดต่อหนังเสร็จแล้ว ฉันคงยังจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทำการตลาด” รวิดาพยายามหาข้ออ้างมาพูด
เพื่อนสาวที่รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับได้แต่ยิ้ม
“แล้วคุณธนิตล่ะ เขาได้มาช่วยดูงานให้บ้างหรือเปล่า”
“เขาคงยุ่งกับงานที่บริษัท” รวิดาพูดพร้อมใจลอยไปถึงคนที่เพื่อนเอ่ยถึง
ปาริชาติมองภาพนั้นด้วยความงุนงง “เธอตรวจงานตัดต่อเสร็จตั้งนานแล้วนี่ ทำไมยังไม่กลับไปพักผ่อนล่ะ ฉันเห็นเธอดูฉากนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบแล้วนะ”
รวิดาหันมายิ้มให้กับเพื่อนสาว “ฉันจะกลับแล้วจ้ะ แต่ขอดูอีกรอบละกัน”
ทั้งคู่ต่างยิ้มหัวเราะ
หลังจากที่ปาริชาติเดินจากไป รวิดามองตามแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินออกจากห้อง เธอได้แต่ทอดถอนหายใจเหมือนจะหมดแรง เธอคิดถึงช่วงเวลาที่ธนิตเข้ามาช่วยงานในกองถ่ายในครั้งที่เริ่มเปิดกล้อง รวิดาหวนคิดถึงความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของงานที่ธนิตคอยช่วยชี้แนะให้ผู้กำกับหน้าใหม่อย่างเธอ
ติณณ์นั่งทำงานเอกสารอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งของเขา เอกสารแผนงานหลายฉบับที่เขาต้องตรวจสอบการส่งเรื่องไปให้ผู้บังคับบัญชา หลังจากที่เขาเซ็นเอกสารฉบับหนึ่งในแฟ้มแผ่นสุดท้ายเสร็จ เขาปิดแฟ้มเอกสารและเอนหลังลงกับพนักพิงเก้าอี้ ติณณ์พักสายตาจากความเหนื่อยล้าที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน ความเหนื่อยล้าที่ทำให้เขาอยากหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องงานนี้ลง แต่ความเหนื่อยล้านี้ไม่สามารถที่จะหยุดความคิดถึงคะนึงหาต่อรวิดาลงได้
หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์ในจังหวัดสตูลเสร็จสิ้นลง ชายหนุ่มนายทหารยศพันโทก็ไม่ได้มีโอกาสได้พบกับผู้กำกับสาวอีกเลย เขารู้ว่ารวิดาคงจะยุ่งกับการตัดต่อภาพยนตร์และยังต้องคอยจัดการเรื่องการโปรโมทภาพยนตร์อีกด้วย ความเหินห่างนี้สำหรับติณณ์แล้วเขายังงง ๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วมันเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
ติณณ์คิดทบทวนอยู่นานเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาพยายามเข้าข้างตัวเองว่าในช่วงนี้คงจะเป็นช่วงที่วุ่นวายสำหรับผู้กำกับสาวไฟแรงอย่างรวิดา ซึ่งเธอคงไม่ค่อยจะมีเวลาเจียดมาให้เขาเท่าไหร่นัก ติณณ์คิด
แต่สิ่งที่ทำให้ติณณ์ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่นั้นก็คือ อะไรกันที่ทำให้รวิดาเริ่มจะตีตัวออกห่างเขาไป เขาคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในกองถ่ายทำจังหวัดสตูล การสนทนาและพูดคุยกันเหมือนก่อนหน้านั้นเริ่มหายไป มีเพียงแต่การทักทายกันและคุยเรื่องงานเท่านั้น ใจหนึ่งติณณ์ก็คิดว่ารวิดาเองอาจจะต้องการสมาธิในการทำงาน แต่เขาก็ยังไม่ลืมวันที่เขาและรวิดายืนคุยกันที่ริมชายหาด และหลังจากที่ธนิตเดินเขามาพูดคุยทักทายและเดินจากไป สายตาของรวิดาก็เริ่มเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ตอนนั้น
ความสนิทสนมของติณณ์และรวิดาที่ดูจะแนบแน่นยิ่งขึ้นกลับเป็นความเฉยชาของฝ่ายหญิง ติณณ์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นและตัวเขาเองทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า แต่ในเมื่อฝ่ายหญิงไม่มีใจให้ ติณณ์เองก็คงทำอะไรไม่ได้นอกเสียไปจากการเฝ้ารอคอย
ในจิตใจลึก ๆ ของติณณ์นั้นก็เป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยากที่จะตัดใจหรือจะเริ่มต้นสานต่อความสัมพันธ์ เขากับรวิดาเริ่มต้นรู้จักกันด้วยเรื่องงานเท่านั้น ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ติณณ์จะเปลี่ยนความสัมพันธ์นั้นไปและมันคงดูไม่ดี ติณณ์เลือกที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และดึงความสนใจมาอยู่กับกองเอกสารตรงหน้าที่ยังเหลืออยู่อีกหลายแฟ้ม แต่ทว่าเขาก็ยังอดใจไม่ได้ที่จะเปิดข่าวดูเรื่องการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องวันที่ฟ้าเปิดผ่านเว็บไซต์ ซึ่งก็ยังไร้วี่แวว
ติณณ์ได้รับคำสั่งด่วนให้ลงไปดูแลและสอบสวนทหารที่ได้รับบาดเจ็บ จากการปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดยะลา ฝ่ายข่าวกรองในกองทัพได้แจ้งถึงเหตุการณ์สร้างสถานการณ์ โดยมีกลุ่มติดอาวุธดักซุ่มยิงชุดทหารลาดตระเวนหน่วยหนึ่งได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต คำสั่งด่วนนี้ส่งมาโดยไม่ลงรายละเอียดชื่อของทหารในหน่วยที่ถูกซุ่มโจมตี ณ เวลานั้นสิ่งที่ทำให้ติณณ์รู้สึกกังวลขึ้นมาเพราะเขากลัวว่าในรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอาจจะมีรายชื่อของทหารที่เขารู้จักสนิทสนมอยู่ก็เป็นได้
หลังจากได้รับคำสั่งด่วนเพียงแค่คืนเดียว ติณณ์ก็เดินทางมาถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด ยะลา จากนั้นเขาก็รีบเข้าไปยังโรงพยาบาลยะลาที่นายทหารเหล่านั้นเข้ารับการรักษาอยู่ ติณณ์รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยนายทหารเหล่านั้นเขาไม่รู้จัก
ไม่นานนายทหารที่รับหน้าที่มาสอบสวนถึงเหตุการณ์ก็ได้รับคำตอบจากแพทย์ที่เข้ารับการรักษาว่า นายทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยได้รักษาตัวอยู่ที่ รพ.สต. หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ติณณ์รีบรุดไปยัง รพ.สต. ในตำบลที่เกิดเหตุ เขาเข้าพบกับนายทหารคนนั้นทันทีและเริ่มทำการพูดคุย
การสอบสวนดำเนินไปกว่าสองชั่วโมง ติณณ์รู้สึกเครียดและกดดันกับเหตุการณ์นี้ เพราะนี่หมายถึงว่าปัญหาไฟใต้มันยังคงดำเนินต่อไป โดยที่มิติของปัญหานั้นมีหลายมิติ และทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนก็ต่างร่วมมือกันแก้ไขปัญหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ปัญหาได้คลอบคลุมทุกต้นตอปัญหา
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพียงคนเดียวที่อยู่เวรในช่วงดึก เข้ามาถามถึงความเรียบร้อยจากติณณ์และนายทหารที่มาเข้ารับการรักษา หลังจากที่เขาเสร็จจากการปฐมพยาบาลผู้ป่วยหลายคน เจ้าหน้าที่และติณณ์ก็มีโอกาสได้นั่งคุยกัน
“เหลือเจ้าหน้าที่คนเดียวหรือครับ” ติณณ์เริ่มต้นด้วยการไถ่ถามความยากลำบากตามที่เขาเห็น
“ใช่ครับ โรงพยาบาลของเรามีเจ้าหน้าที่สลับเปลี่ยนเวรกันแค่ 3 คนเท่านั้น” เจ้าหน้าที่ รพ.สต. กล่าวด้วยสีหน้าที่เหนื่อยอ่อน
“แบ่งงานกันทำคนละ 8 ชั่วโมงหรือครับ” ติณณ์ถามด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าไม่แพ้กัน เพราะตั้งแต่เขาได้รับคำสั่งมา เขาก็ทำงานต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
“มันไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ เจ้าหน้าที่แต่ละคนจะถูกบังคับให้ควบสองกะสลับกันไป นั่นหมายความว่าช่วงกลางวันจะต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาลสองคน” เจ้าหน้าที่ยกข้อมือดูนาฬิกา “ผมจะต้องอยู่เวรไปอีก 5 ชั่วโมงให้ครบกะ และควบอีกกะตอนเก้าโมงเช้า”
ติณณ์คลายความสงสัยถึงใบหน้าที่ดูอิดโรยของเจ้าหน้าที่ที่เขากำลังนั่งคุยด้วย ทั้ง ๆ ที่ผู้ทำหน้าที่ดูแลโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น นั่นอาจจะเป็นเพราะความอ่อนล้าสะสมที่อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี
ติณณ์เบือนหน้าหนีจากคู่สนทนา เพราะเขาแสร้งทำเป็นไม่แยแสกับความรู้สึกหดหู่ที่รู้ถึงความยากลำบากของคนที่ทำงานอย่างหนัก และแทบจะไม่ได้พักผ่อน
“ทำไมถึงไม่มีบุคคลากรมาเพิ่มครับ” ติณณ์ถาม
“คุณก็รู้ ๆ กันอยู่ครับ ยิ่งภาคใต้นี่ใครก็ไม่อยากมา ยิ่งอำเภอนี้ในยะลาด้วย”
ติณณ์ได้ยินดังนั้นทำให้เขาคิดไปถึงทหารรุ่นน้องหลายคนที่ต้องการจะย้ายออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เกือบทั้งหมดนั้นได้รับการปฏิเสธ
“แล้วคุณไม่คิดจะย้ายออกไปพื้นที่อื่นหรือครับ”
“ผมทำเรื่องไปแล้วครับ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง” เจ้าหน้าที่หันมามองหน้าติณณ์ “แต่ผมคงจะทำงานที่นี่เป็นเดือนสุดท้ายแล้วครับ”
ติณณ์ตะลึงกับคำบอกเล่าเล็กน้อย “ทำไมล่ะครับ”
“ผมยื่นใบลาออกไปแล้ว และครั้งนี้ผมก็ไม่ต้องรอการอนุมัติใด ๆ” ผู้พูดเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมาเหมือนกับจะแสดงความโล่งใจ
วันที่ฟ้าเปิด The Movie 12
รวิดามองแววตาคู่นั้นเนิ่นนาน และยังย้อนกลับไปดูหลายรอบ สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากคือ เธอยังจำแววตาคู่นั้นของธนิตได้ในครั้งที่ทั้งคู่ได้เจอกันเมื่อล่าสุด ในตอนนั้นหญิงสาวยังจดจำน้ำเสียงของธนิตได้แม่นยำว่ามันแฝงความรู้สึกมากมายเอาไว้ข้างใน สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในที่รวิดาพยายามตีความมันออกมานั้นมันมากมายเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด แม้ด้วยคำบอกเล่าไม่กี่ประโยครวมถึงความรู้สึกที่สะท้อนออกมาทางแววตา
'แต่ผมว่าเสียงคลื่นทะเลยิ่งฟังไปนาน ๆ ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความเศร้านะครับ’
หาก ณ เวลานั้นรวิดาเข้าใจความนัยที่แอบซ่อนอยู่ในใจของธนิต เธออาจจะถามความรู้สึกของธนิตตรง ๆ ว่าคิดอย่างไรกับเธอ ไม่ต้องปล่อยให้ความสงสัยนี้มาคอยกวนใจเธอ แต่รวิดาเองก็ไม่อาจแน่ใจได้เหมือนกันว่าเธอจะกล้าถามคำถามนั้นกับธนิตหรือเปล่า เพราะในช่วงเวลานั้นเธอไม่ได้มีใจให้ธนิตเลย ซึ่งต่างจากตอนนี้ที่เธอกลับรู้สึกถวิลหาชายหนุ่มผู้ที่แอบเก็บซ่อนความในใจนั้น
หญิงสาวผู้ที่มีหัวใจบอบบางเฝ้าคอยถามตัวเองว่าเหตุใดเธอจึงสนใจในตัวธนิต เธอคิดทบทวนถึงหลายครั้งที่ธนิตคอยเอาใจใส่เธอในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องงานที่เขาคอยสนับสนุนและคอยให้กำลังใจมาโดยตลอด ในครั้งแรกที่รวิดาเข้าไปเสนอภาพยนตร์ให้บริษัทต่าง ๆ ความฝันของเธอเริ่มดูเหมือนจะเลือนลางเมื่อต่างถูกปฏิเสธจากทุกที่ที่เธอไป แต่เมื่อมาเจอกับธนิตผู้ซึ่งคอยเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางให้เธอไปถึงจุดหมาย
หรือว่าอาจจะเป็นเพราะความสงสาร ชายหนุ่มที่ไม่ยอมเผยความในใจออกมาแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อรวิดาเริ่มระแคะระคายว่าธนิตมีใจให้เธอ เธอจึงรู้สึกสงสารที่ธนิตต้องทรมานเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ และความสงสารนั้นได้เปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความเห็นใจได้เปลี่ยนเป็นเข้าอกเข้าใจ และบางทีความเข้าอกเข้าใจอาจเปลี่ยนเป็นความรักได้
ธนิตในมุมมองของรวิดาเป็นผู้ชายที่สุภาพอ่อนโยน ให้เกียรติผู้อื่นโดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน เป็นคนที่ง่าย ๆ อะไรก็ได้ในเรื่องการดำเนินชีวิตทั่วไป ซึ่งเธอมองว่าไลฟ์สไตล์ของธนิตนั้นเข้ากับเธอได้
อีกหนึ่งสิ่งกวนใจรวิดาอีกเรื่องหนึ่งก็คือติณณ์ สำหรับติณณ์นั้นรวิดาคิดทบทวนอยู่เนิ่นนานว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้มันคืออะไรกันนะ สำหรับความรู้สึกดี ๆ ที่เธอมีให้แก่ติณณ์นั้นคงเป็นเรื่องของความประทับใจ ในเมื่อครั้งแรกที่รวิดาเห็นติณณ์ เธอเหมือนกับเห็นเจ้าชายในอุดมคติที่มีอยู่ในนิยาย ทั้งความหล่อมาดเนี๊ยบและบุคลิกที่ดูน่าหลงไหล ติณณ์ยังคอยอำนวยความสะดวกในเรื่องงานให้รวิดาด้วย รวมถึงคอยติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ทำให้รวิดาเห็นถึงความใส่ใจของติณณ์
รวิดาขบคิดอยู่นานว่าความรู้สึกแบบไหนนะที่จะนำไปสู่ความรักความเข้าใจได้ เธอคิดอยู่นานก็มั่นใจว่าความสงสารนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นความรักได้ หากใช้เวลากับมันมากพอ
เมื่อความรู้สึกของหญิงสาวเปลี่ยนไป ทำให้รวิดารู้สึกอึดอัดใจที่จะไปสนิทสนมกับติณณ์อีก เธอคิดว่าที่ผ่านมาเธอก็วางตัวกับติณณ์ไว้ไม่ได้มีอะไรเกินเลย
“เหม่อถึงใครเหรอ” ปาริชาติโผล่มาข้างหลังเงียบ ๆ ไม่ให้ซุ่มให้เสียง “ไม่เป็นอันทำการทำงานเชียว”
รวิดาหันมายิ้มให้เพื่อนสาว เธอแกล้งทำสีหน้าเหนื่อยล้าแม้จะไม่ต้องพยายามมากนัก
“ทำงานหนักไปมั้ง คงจะเหนื่อย”
“จริงเหรอ” ปาริชาติไม่ยอมแพ้ “ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นหน้าผู้พันนานมากแล้วนะ เธอได้โทรคุยกันบ้างหรือเปล่า
รวิดาได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ
ปาริชาติทำแววตาสงสัย หรือบางทีอาจจะเป็นอย่างที่เธอคาดเดาไว้ก็ได้ แต่เธอไม่ได้พูดมันออกมา
“งานมันรัดตัวมากเกินไปน่ะ นี่ก็ใกล้ตัดต่อหนังเสร็จแล้ว ฉันคงยังจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทำการตลาด” รวิดาพยายามหาข้ออ้างมาพูด
เพื่อนสาวที่รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับได้แต่ยิ้ม
“แล้วคุณธนิตล่ะ เขาได้มาช่วยดูงานให้บ้างหรือเปล่า”
“เขาคงยุ่งกับงานที่บริษัท” รวิดาพูดพร้อมใจลอยไปถึงคนที่เพื่อนเอ่ยถึง
ปาริชาติมองภาพนั้นด้วยความงุนงง “เธอตรวจงานตัดต่อเสร็จตั้งนานแล้วนี่ ทำไมยังไม่กลับไปพักผ่อนล่ะ ฉันเห็นเธอดูฉากนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบแล้วนะ”
รวิดาหันมายิ้มให้กับเพื่อนสาว “ฉันจะกลับแล้วจ้ะ แต่ขอดูอีกรอบละกัน”
ทั้งคู่ต่างยิ้มหัวเราะ
หลังจากที่ปาริชาติเดินจากไป รวิดามองตามแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินออกจากห้อง เธอได้แต่ทอดถอนหายใจเหมือนจะหมดแรง เธอคิดถึงช่วงเวลาที่ธนิตเข้ามาช่วยงานในกองถ่ายในครั้งที่เริ่มเปิดกล้อง รวิดาหวนคิดถึงความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของงานที่ธนิตคอยช่วยชี้แนะให้ผู้กำกับหน้าใหม่อย่างเธอ
ติณณ์นั่งทำงานเอกสารอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งของเขา เอกสารแผนงานหลายฉบับที่เขาต้องตรวจสอบการส่งเรื่องไปให้ผู้บังคับบัญชา หลังจากที่เขาเซ็นเอกสารฉบับหนึ่งในแฟ้มแผ่นสุดท้ายเสร็จ เขาปิดแฟ้มเอกสารและเอนหลังลงกับพนักพิงเก้าอี้ ติณณ์พักสายตาจากความเหนื่อยล้าที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน ความเหนื่อยล้าที่ทำให้เขาอยากหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องงานนี้ลง แต่ความเหนื่อยล้านี้ไม่สามารถที่จะหยุดความคิดถึงคะนึงหาต่อรวิดาลงได้
หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์ในจังหวัดสตูลเสร็จสิ้นลง ชายหนุ่มนายทหารยศพันโทก็ไม่ได้มีโอกาสได้พบกับผู้กำกับสาวอีกเลย เขารู้ว่ารวิดาคงจะยุ่งกับการตัดต่อภาพยนตร์และยังต้องคอยจัดการเรื่องการโปรโมทภาพยนตร์อีกด้วย ความเหินห่างนี้สำหรับติณณ์แล้วเขายังงง ๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วมันเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
ติณณ์คิดทบทวนอยู่นานเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาพยายามเข้าข้างตัวเองว่าในช่วงนี้คงจะเป็นช่วงที่วุ่นวายสำหรับผู้กำกับสาวไฟแรงอย่างรวิดา ซึ่งเธอคงไม่ค่อยจะมีเวลาเจียดมาให้เขาเท่าไหร่นัก ติณณ์คิด
แต่สิ่งที่ทำให้ติณณ์ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่นั้นก็คือ อะไรกันที่ทำให้รวิดาเริ่มจะตีตัวออกห่างเขาไป เขาคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในกองถ่ายทำจังหวัดสตูล การสนทนาและพูดคุยกันเหมือนก่อนหน้านั้นเริ่มหายไป มีเพียงแต่การทักทายกันและคุยเรื่องงานเท่านั้น ใจหนึ่งติณณ์ก็คิดว่ารวิดาเองอาจจะต้องการสมาธิในการทำงาน แต่เขาก็ยังไม่ลืมวันที่เขาและรวิดายืนคุยกันที่ริมชายหาด และหลังจากที่ธนิตเดินเขามาพูดคุยทักทายและเดินจากไป สายตาของรวิดาก็เริ่มเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ตอนนั้น
ความสนิทสนมของติณณ์และรวิดาที่ดูจะแนบแน่นยิ่งขึ้นกลับเป็นความเฉยชาของฝ่ายหญิง ติณณ์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นและตัวเขาเองทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า แต่ในเมื่อฝ่ายหญิงไม่มีใจให้ ติณณ์เองก็คงทำอะไรไม่ได้นอกเสียไปจากการเฝ้ารอคอย
ในจิตใจลึก ๆ ของติณณ์นั้นก็เป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยากที่จะตัดใจหรือจะเริ่มต้นสานต่อความสัมพันธ์ เขากับรวิดาเริ่มต้นรู้จักกันด้วยเรื่องงานเท่านั้น ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ติณณ์จะเปลี่ยนความสัมพันธ์นั้นไปและมันคงดูไม่ดี ติณณ์เลือกที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และดึงความสนใจมาอยู่กับกองเอกสารตรงหน้าที่ยังเหลืออยู่อีกหลายแฟ้ม แต่ทว่าเขาก็ยังอดใจไม่ได้ที่จะเปิดข่าวดูเรื่องการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องวันที่ฟ้าเปิดผ่านเว็บไซต์ ซึ่งก็ยังไร้วี่แวว
ติณณ์ได้รับคำสั่งด่วนให้ลงไปดูแลและสอบสวนทหารที่ได้รับบาดเจ็บ จากการปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดยะลา ฝ่ายข่าวกรองในกองทัพได้แจ้งถึงเหตุการณ์สร้างสถานการณ์ โดยมีกลุ่มติดอาวุธดักซุ่มยิงชุดทหารลาดตระเวนหน่วยหนึ่งได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต คำสั่งด่วนนี้ส่งมาโดยไม่ลงรายละเอียดชื่อของทหารในหน่วยที่ถูกซุ่มโจมตี ณ เวลานั้นสิ่งที่ทำให้ติณณ์รู้สึกกังวลขึ้นมาเพราะเขากลัวว่าในรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอาจจะมีรายชื่อของทหารที่เขารู้จักสนิทสนมอยู่ก็เป็นได้
หลังจากได้รับคำสั่งด่วนเพียงแค่คืนเดียว ติณณ์ก็เดินทางมาถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด ยะลา จากนั้นเขาก็รีบเข้าไปยังโรงพยาบาลยะลาที่นายทหารเหล่านั้นเข้ารับการรักษาอยู่ ติณณ์รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยนายทหารเหล่านั้นเขาไม่รู้จัก
ไม่นานนายทหารที่รับหน้าที่มาสอบสวนถึงเหตุการณ์ก็ได้รับคำตอบจากแพทย์ที่เข้ารับการรักษาว่า นายทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยได้รักษาตัวอยู่ที่ รพ.สต. หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ติณณ์รีบรุดไปยัง รพ.สต. ในตำบลที่เกิดเหตุ เขาเข้าพบกับนายทหารคนนั้นทันทีและเริ่มทำการพูดคุย
การสอบสวนดำเนินไปกว่าสองชั่วโมง ติณณ์รู้สึกเครียดและกดดันกับเหตุการณ์นี้ เพราะนี่หมายถึงว่าปัญหาไฟใต้มันยังคงดำเนินต่อไป โดยที่มิติของปัญหานั้นมีหลายมิติ และทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนก็ต่างร่วมมือกันแก้ไขปัญหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ปัญหาได้คลอบคลุมทุกต้นตอปัญหา
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพียงคนเดียวที่อยู่เวรในช่วงดึก เข้ามาถามถึงความเรียบร้อยจากติณณ์และนายทหารที่มาเข้ารับการรักษา หลังจากที่เขาเสร็จจากการปฐมพยาบาลผู้ป่วยหลายคน เจ้าหน้าที่และติณณ์ก็มีโอกาสได้นั่งคุยกัน
“เหลือเจ้าหน้าที่คนเดียวหรือครับ” ติณณ์เริ่มต้นด้วยการไถ่ถามความยากลำบากตามที่เขาเห็น
“ใช่ครับ โรงพยาบาลของเรามีเจ้าหน้าที่สลับเปลี่ยนเวรกันแค่ 3 คนเท่านั้น” เจ้าหน้าที่ รพ.สต. กล่าวด้วยสีหน้าที่เหนื่อยอ่อน
“แบ่งงานกันทำคนละ 8 ชั่วโมงหรือครับ” ติณณ์ถามด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าไม่แพ้กัน เพราะตั้งแต่เขาได้รับคำสั่งมา เขาก็ทำงานต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
“มันไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ เจ้าหน้าที่แต่ละคนจะถูกบังคับให้ควบสองกะสลับกันไป นั่นหมายความว่าช่วงกลางวันจะต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาลสองคน” เจ้าหน้าที่ยกข้อมือดูนาฬิกา “ผมจะต้องอยู่เวรไปอีก 5 ชั่วโมงให้ครบกะ และควบอีกกะตอนเก้าโมงเช้า”
ติณณ์คลายความสงสัยถึงใบหน้าที่ดูอิดโรยของเจ้าหน้าที่ที่เขากำลังนั่งคุยด้วย ทั้ง ๆ ที่ผู้ทำหน้าที่ดูแลโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น นั่นอาจจะเป็นเพราะความอ่อนล้าสะสมที่อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี
ติณณ์เบือนหน้าหนีจากคู่สนทนา เพราะเขาแสร้งทำเป็นไม่แยแสกับความรู้สึกหดหู่ที่รู้ถึงความยากลำบากของคนที่ทำงานอย่างหนัก และแทบจะไม่ได้พักผ่อน
“ทำไมถึงไม่มีบุคคลากรมาเพิ่มครับ” ติณณ์ถาม
“คุณก็รู้ ๆ กันอยู่ครับ ยิ่งภาคใต้นี่ใครก็ไม่อยากมา ยิ่งอำเภอนี้ในยะลาด้วย”
ติณณ์ได้ยินดังนั้นทำให้เขาคิดไปถึงทหารรุ่นน้องหลายคนที่ต้องการจะย้ายออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เกือบทั้งหมดนั้นได้รับการปฏิเสธ
“แล้วคุณไม่คิดจะย้ายออกไปพื้นที่อื่นหรือครับ”
“ผมทำเรื่องไปแล้วครับ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง” เจ้าหน้าที่หันมามองหน้าติณณ์ “แต่ผมคงจะทำงานที่นี่เป็นเดือนสุดท้ายแล้วครับ”
ติณณ์ตะลึงกับคำบอกเล่าเล็กน้อย “ทำไมล่ะครับ”
“ผมยื่นใบลาออกไปแล้ว และครั้งนี้ผมก็ไม่ต้องรอการอนุมัติใด ๆ” ผู้พูดเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมาเหมือนกับจะแสดงความโล่งใจ