ภาพประกอบโดย คุณ Zionzany
3. เสพความฝัน (3)
เมื่อตัวเลขดิจิตอลซึ่งใช้บอกระดับชั้นของอาคาร เคลื่อนตัวมาจนถึงเลขที่สิบห้า รอให้ลิฟต์หยุดนิ่งและประตูเลื่อนเปิดออกเรียบร้อย พัชร์ซึ่งยืนอยู่ตรงด้านในสุด จึงค่อยเบียดแทรกผู้โดยสารคนอื่น เพื่อออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นั้น
ควานหาบัตรประจำตัวพนักงานจากในกระเป๋าสะพาย แตะกับเครื่องอ่านที่ติดตั้งไว้อยู่ตรงบริเวณทางเข้า เพื่อปลดล็อกประตูและบันทึกเวลาเข้างาน เรียบร้อยแล้วก็นำมันกลับมาคล้องไว้ที่คอ พร้อม ๆ กับเดินเข้าไปสู่พื้นที่สำนักงานของตนเอง
“สวัสดีค่ะ ป้าแพรว” เห็นแม่บ้านเก่าแก่คนขยันประจำออฟฟิศ กำลังง่วนกับการปัดกวาดเช็ดถูอยู่ตรงบริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ จึงเดินเข้าไปทักทายอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
“สวัสดีค่ะ คุณพัชร์” ผู้อาวุโสกว่าหยุดมือจากงานพร้อมเหลียวหันมามอง เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครแล้ว จึงส่งคำพูดและรอยยิ้มของคนคุ้นเคยกลับไปให้บ้าง “วันนี้มาเช้าเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“ก็...หนีรถติดอย่างเคยนั่นละค่ะ” ตั้งใจทำเสียงเนือยลงเล็กน้อย เพื่อประกอบให้คู่สนทนาเห็นภาพตามไปด้วย
การจราจรในชั่วโมงเร่งด่วนนั้น แสนสาหัสและไม่เคยปรานีใคร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง
แค่ออกจากบ้านเร็วขึ้นสักสิบนาที ก็ทำให้มาถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่าเดิมเกือบครึ่งชั่วโมง กลับกันที่หากออกเดินทางช้าลงไปแค่ห้านาที อาจทำให้ถึงกับต้องนั่งกระสับกระส่าย คอยลุ้นว่าจะไปถึงและลงชื่อเข้างานทันหรือไม่
ซึ่งแน่นอนว่าพัชร์เลือกแบบแรก เพราะนอกจากจะไม่ต้องรู้สึกกังวลและเร่งรีบ ให้เสียอารมณ์เสียพลังงานไปเปล่า ๆ ตั้งแต่ยังเช้าแล้ว เธอยังจะได้มีเวลาเดินดูนั่นดูนี่ เลือกซื้อเลือกหาของกินตามรายทาง ไว้สำหรับเป็นมื้อเช้าเพิ่มขึ้นด้วยอีกต่างหาก
“นี่ค่ะ พัชร์ซื้อมาฝาก” เช้านี้นึกอยากกินขนมครก นอกจากของตัวเองแล้ว ก็เอามาเผื่อป้าแพรวด้วยอีกชุดหนึ่ง
“แหม กำลังอยากกินเชียว ขอบคุณมากค่ะ” แม่บ้านอาวุโสรับไว้ ฉีกยิ้มอย่างดีใจจนแก้มแทบปริ “อ้อ ป้าเติมน้ำ เสียบกระติกไว้ให้แล้วนะคะ ชงกาแฟ ชงโกโก้ร้อน ๆ กินกับขนมครกตอนเช้า ๆ อย่างนี้ ก็น่าจะเข้าท่าดีเหมือนกันนะคะ คุณพัชร์”
“ขอบคุณมากค่ะ...ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพัชร์ขอตัวไปจัดการมื้อเช้าก่อนนะคะ” ตอบรับความหวังดีที่อีกคนมอบให้ ก่อนจะผละตัวออกมา และปล่อยให้คู่สนทนาเริ่มทำงานที่ยังทำค้างไว้ต่อไป
ในช่วงที่ออฟฟิศยังมีพนักงานมาถึงไม่มาก ห้องพักเบรกอันเงียบสงบกว่าในยามปกติ จึงให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแก่ผู้มาใช้บริการได้ในระดับหนึ่ง
พัชร์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะบริเวณชิดริมผนังอาคารซึ่งเป็นกระจกทั้งผืน กัดแซนด์วิชในมือคำหนึ่ง แล้วจึงส่งกาแฟซึ่งเพิ่งชงเสร็จมาใหม่ ๆ ให้ไหลลงคอตามไป
มองผ่านผืนกระจกออกไปยังวิวทิวทัศน์ภายนอก การได้เสพบรรยากาศยามเช้าในมุมสูงอย่างนี้ ช่วยให้รู้สึกสงบและอารมณ์ดีได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ให้เวลาได้อยู่เงียบ ๆ กับตัวเอง ทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดถึงและวาดเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น และอยากเห็นอยากให้เป็นในอนาคต...อนาคตอันใกล้ ซึ่งมีตัวของเธอเองที่เดินเคียงคู่ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับชายคนรักอย่างจิรา
ละลายตาจากภาพตึกรามบ้านช่องและท้องฟ้าสีสด กลับมายังแหวนวงสำคัญซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วนางมือซ้าย
ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ ตื่นหรือยัง ลุกขึ้นมาอาบน้ำกินข้าวหรือยัง กำลังนั่งเขียนนิยาย เตรียมตัวจะออกไปไหน กำลังคิดถึงเธออยู่หรือเปล่า...
ทั้งหมดนั้นคืออารมณ์หวั่นไหวและเป็นสุขอย่างเหลือล้น ที่ผสมคละเคล้าอยู่ในอก เป็นความผูกพันที่ทำให้รู้สึกทั้งเปราะบางและเข้มแข็งได้ในขณะเดียวกัน
“เอาละ วันนี้ก็ลุยให้เต็มที่กันไปเลย พัชร์”
เผยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง อันยากเกินจะอธิบายออกมา แล้วก็เริ่มลงมือจัดการมื้อเช้าที่เหลือต่ออีกครั้งอย่างอารมณ์ดี
จากอาคารสำนักงานที่พัชร์กำลังทำงาน ซึ่งอยู่ใจกลางแหล่งเศรษฐกิจของเมืองหลวงอย่างพอดิบพอดี บนพื้นที่ที่ห่างออกมาจากจุดนั้นหลายสิบกิโลเมตร ภายในอาณาบริเวณของหมู่บ้านโครงการหรู ลึกจากปากทางเข้าไปจนเกือบสุดโครงการทางด้านหลัง บ้านหลังงามของจิราอยู่ที่ตรงนั้น
ไม่มีเพื่อนบ้านคนใดเห็นการเคลื่อนไหวภายในรั้วบ้านหลังนี้มาตั้งแต่สองวันก่อน จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกขณะ ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกลงกลอน ปิดสนิทจากภายใน ไฟฟ้าหลายดวงส่องสว่างอยู่อย่างนั้นมาหลายวันแล้ว
โทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่นกำลังออกอากาศรายการของสถานี โดยปราศจากเงาของผู้นั่งรับชมตรงโซฟา อาหารที่เหลืออยู่ในภาชนะหลายใบซึ่งถูกวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ เริ่มเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็นบูดชวนสะอิดสะเอียนออกมา
ท่ามกลางความสลัวเลือนของห้องทำงาน ซึ่งแทบจะถูกปิดกั้นการรับรู้จากโลกภายนอก โดยบานหน้าต่างและม่านหนา เสียงพึมพำและเสียงของการขยับเคลื่อนไหวอันแผ่วเบา แทรกตัวกลมกลืนอยู่กับความทึมทึบตรงนั้น
ในห้วงอารมณ์และความคิดอันหนักหน่วง จิราพยายามบรรยายภาพเรื่องราวในหัว ให้ปรากฏออกมาเป็นตัวอักษรอยู่ที่ตรงโต๊ะทำงาน บางครั้งเขาก็วางดินสอในมือลง แล้วหันไปพิมพ์อะไรใส่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก อีกครู่ถัดมาเขาก็กลับละสายตาออกจากจอ และคว้าเอาดินสอกลับมาขีด ๆ เขียน ๆ อีกครั้ง
“ไม่ได้ แบบนี้ยังใช้ไม่ได้” ขยี้ขยำกระดาษที่เพิ่งเขียนจนเป็นก้อนกลม ก่อนโยนทิ้งให้ไปรวมกับก้อนก่อนหน้านี้ที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นห้องอย่างไม่ไยดี
หยิบต้นฉบับงานซึ่งถูกเขียนโดยมือที่มองไม่เห็นขึ้นมา กวาดตาอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เหมือนกับคนกำลังสับสนในประเด็นเนื้อหาที่ได้อ่าน ทั้งที่บทบรรยายทั้งหมดบนหน้ากระดาษ มีอยู่เพียงแค่แปดบรรทัดเท่านั้น
ถึงจะสั้นเสียยิ่งกว่าจะเรียกได้ว่านี่คือเรื่องสั้น แต่ความสนุกยอดเยี่ยมก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในทุกตัวอักษร ทว่าแม้จะสุดยอดสักเพียงใด แต่มันก็สั้นจนเกินกว่าจะเอาไปขายให้ใครได้
เพราะแบบนั้น...เขาจึงต้องลงมือเขียนเพิ่มด้วยตัวเอง ต้องยืดขยายเรื่องราวไม่กี่บรรทัดอันแยบยลนี้ ให้ยาวมากพอที่จะนำมันไปขายทำเงิน สร้างผลกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับตัวเองเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
แต่แค่ท่าทีที่เขาแสดงให้เห็นอยู่ในขณะนี้ ก็บอกผลลัพธ์ได้ชัดเจนอยู่แล้ว...
รายละเอียดของฉากและการบรรยายที่เพิ่มเข้าไป ยืดยาวสิ้นเปลืองเกินจำเป็นไปมาก ตัวละครรวมถึงบทสนทนาที่สร้างขึ้นใหม่ก็ช่างไร้บทบาท ดูอยู่ผิดที่ผิดทาง แถมไม่ส่งผลอะไรเลยสักนิดกับการเดินเรื่อง
แต่ที่เลวร้ายที่สุดนั้น กลับเป็นส่วนเนื้อเรื่องหลักที่คิดเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ความสนุกเพิ่มขึ้นแล้ว มันกลับทำให้ความน่าสนใจที่มีอยู่ในฉบับเดิม กลายเป็นความน่าเบื่อไปแทบจะในทันที
“ไม่ใช่ ยังไม่ใช่แบบนี้ โธ่เว้ย”
กระดาษอีกหนึ่งแผ่นถูกขยำและโยนทิ้ง หัวใจเต้นรัวแรงด้วยเพราะรู้สึกหงุดหงิดร้อนรุ่มอยู่ในอก มันเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้คล้ายกับว่า เขากำลังจะควบคุมสติตัวเองต่อไปไม่ไหว
ด้วยอารมณ์ที่ขึงตึงจนจวนเจียนที่จะขาดผึงลง กล้ามเนื้อหดเกร็งจนควบคุมการทำงานของร่างกายได้ลำบากขึ้นทุกที โดยปราศจากความลังเลหวาดกลัว สองมือก็เริ่มช่วยกันขยี้ขยำเส้นผมบนศีรษะของตัวเองจนมันยุ่งเหยิงไปหมด
แล้วทันใดนั้น เขาก็ดึงทึ้งและกระชากสิ่งที่อยู่ในมือจนขาดอย่างสุดแรง โดยไร้แม้เพียงเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดที่เบาที่สุดให้ได้ยิน
พัชร์แนบไฟล์เอกสารที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่เข้าไปในอีเมล ตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่มีอะไรตกหล่นไปแล้ว จึงค่อยกดปุ่มคำสั่งเพื่อส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ออกไป
“พี่ชาติคะ พัชร์ส่งรายงานที่พี่จะใช้ประชุมพรุ่งนี้ให้แล้วนะคะ” เห็นว่าเป็นงานชิ้นสำคัญ จึงเดินไปบอกผู้รับ ซึ่งก็คือหัวหน้างานโดยตรงของเธอ ถึงโต๊ะทำงานของเขาอีกครั้งหนึ่ง
“อ้อ ได้รับแล้ว ขอบใจมากนะ พัชร์” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อตรวจสอบกล่องขาเข้าเรียบร้อย “เออ...ว่าแต่เย็นนี้ พัชร์พอจะอยู่ทำโอทีได้ไหม ติดธุระหรือต้องไปไหนหรือเปล่า”
“ได้ค่ะ” ผู้ถูกถามอึกอักนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็รับปากออกไปแบบนั้น
“เยี่ยม ขอบใจมาก” กดก๊อกแก๊กบนแป้นพิมพ์ แล้วก็หันมาคุยด้วยอีกครั้ง “พี่ส่งเมลไปให้แล้ว พัชร์ช่วยตรวจดูตัวเลขตรงที่ทำไฮไลท์ให้หน่อย พี่ว่ามันแปลก ๆ ชอบกล แล้วตรงช่องที่ยังว่าง ก็ช่วยหาข้อมูลมาใส่ให้ด้วยนะ”
“พี่สุชาติขา ใช้งานว่าที่เจ้าสาวหนักไปไหมคะ ไม่คิดจะปล่อยให้พัชร์ได้ไปหาว่าที่เจ้าบ่าว ไปเที่ยวสวีทหวานแหววกันสองต่อสองบ้างเลยหรือคะ” เสียงแซวที่ดังมาจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เรียกรอยยิ้มให้คนที่เหลือในแผนกได้อย่างถ้วนหน้า
“ตอนนี้อย่าเพิ่งห่วงเรื่องนั้นเลย พัชร์น่ะ เขายังมีเวลาสวีทกับแฟนได้อีกนาน แต่ถ้างานนี้ไม่เสร็จละก็ พรุ่งนี้นรกมาเยือนผมแน่ ๆ เห็นใจผมก่อนดีกว่านะ คุณทราย” แล้วทั้งแผนกก็ฮาครืนออกมา จากคำตอบที่ทันกันของพี่ชาตินั่นเอง
“ช่วงนี้ภูทำงานไม่ทันเลย ถ้าเกิดภูไม่รับสาย ไม่ได้ติดต่อกลับ พัชร์อย่าโกรธภูนะ ไว้เคลียร์งานเสร็จเมื่อไหร่ ภูจะรีบโทรฯ หา รีบแจ้นไปรับพัชร์ถึงที่เลย”
เมื่อกลับมานั่งประจำที่ของตนเองเรียบร้อย พัชร์ก็นึกไปถึงคำพูดของแฟนหนุ่ม ผู้ที่ทำให้เธอเกิดรู้สึกลังเลที่จะรับทำโอทีเมื่อสักครู่ขึ้นมา ใช่ว่าเขาเพิ่งเคยพูดแบบนี้เป็นครั้งแรก และไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
บางครั้งคนทำอาชีพแบบนี้ ก็ต้องการเวลาไว้อยู่กับตัวเอง ใช้ความสงบเพื่อดำดิ่งลงไปสู่โลกแห่งจินตนาการ...เพราะเข้าใจ เธอจึงเว้นช่องว่างไว้เสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ เขาจะได้อิสระนั้นอย่างเต็มที่ โดยที่เธอจะทำเพียงแค่รอเท่านั้น
แต่ที่เธอกังวลและอดเป็นห่วงไม่ได้ ก็เพราะพักหลัง ๆ มานี้ จิราใช้เวลาแบบนั้นมากขึ้น นานขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกขณะ โดยที่เขาไม่เคยอธิบายหรือบอกเล่าอะไรให้ฟัง และเธอเองก็ไม่คิดจะถามหรือคาดคั้นอะไรจากเขาเลย
เปล่าประโยชน์ คิดไปก็เท่านั้น...พัชร์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกหน่วงหนักในอก หยิบสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากดดู มีเพียงรูปคู่ของเธอกับเขาที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ โดยปราศจากข้อความและการแจ้งเตือนอื่นใดของจิรา
ร้านและวิญญาณ : เสพความฝัน (3)
เมื่อตัวเลขดิจิตอลซึ่งใช้บอกระดับชั้นของอาคาร เคลื่อนตัวมาจนถึงเลขที่สิบห้า รอให้ลิฟต์หยุดนิ่งและประตูเลื่อนเปิดออกเรียบร้อย พัชร์ซึ่งยืนอยู่ตรงด้านในสุด จึงค่อยเบียดแทรกผู้โดยสารคนอื่น เพื่อออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นั้น
ควานหาบัตรประจำตัวพนักงานจากในกระเป๋าสะพาย แตะกับเครื่องอ่านที่ติดตั้งไว้อยู่ตรงบริเวณทางเข้า เพื่อปลดล็อกประตูและบันทึกเวลาเข้างาน เรียบร้อยแล้วก็นำมันกลับมาคล้องไว้ที่คอ พร้อม ๆ กับเดินเข้าไปสู่พื้นที่สำนักงานของตนเอง
“สวัสดีค่ะ ป้าแพรว” เห็นแม่บ้านเก่าแก่คนขยันประจำออฟฟิศ กำลังง่วนกับการปัดกวาดเช็ดถูอยู่ตรงบริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ จึงเดินเข้าไปทักทายอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
“สวัสดีค่ะ คุณพัชร์” ผู้อาวุโสกว่าหยุดมือจากงานพร้อมเหลียวหันมามอง เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครแล้ว จึงส่งคำพูดและรอยยิ้มของคนคุ้นเคยกลับไปให้บ้าง “วันนี้มาเช้าเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“ก็...หนีรถติดอย่างเคยนั่นละค่ะ” ตั้งใจทำเสียงเนือยลงเล็กน้อย เพื่อประกอบให้คู่สนทนาเห็นภาพตามไปด้วย
การจราจรในชั่วโมงเร่งด่วนนั้น แสนสาหัสและไม่เคยปรานีใคร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง
แค่ออกจากบ้านเร็วขึ้นสักสิบนาที ก็ทำให้มาถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่าเดิมเกือบครึ่งชั่วโมง กลับกันที่หากออกเดินทางช้าลงไปแค่ห้านาที อาจทำให้ถึงกับต้องนั่งกระสับกระส่าย คอยลุ้นว่าจะไปถึงและลงชื่อเข้างานทันหรือไม่
ซึ่งแน่นอนว่าพัชร์เลือกแบบแรก เพราะนอกจากจะไม่ต้องรู้สึกกังวลและเร่งรีบ ให้เสียอารมณ์เสียพลังงานไปเปล่า ๆ ตั้งแต่ยังเช้าแล้ว เธอยังจะได้มีเวลาเดินดูนั่นดูนี่ เลือกซื้อเลือกหาของกินตามรายทาง ไว้สำหรับเป็นมื้อเช้าเพิ่มขึ้นด้วยอีกต่างหาก
“นี่ค่ะ พัชร์ซื้อมาฝาก” เช้านี้นึกอยากกินขนมครก นอกจากของตัวเองแล้ว ก็เอามาเผื่อป้าแพรวด้วยอีกชุดหนึ่ง
“แหม กำลังอยากกินเชียว ขอบคุณมากค่ะ” แม่บ้านอาวุโสรับไว้ ฉีกยิ้มอย่างดีใจจนแก้มแทบปริ “อ้อ ป้าเติมน้ำ เสียบกระติกไว้ให้แล้วนะคะ ชงกาแฟ ชงโกโก้ร้อน ๆ กินกับขนมครกตอนเช้า ๆ อย่างนี้ ก็น่าจะเข้าท่าดีเหมือนกันนะคะ คุณพัชร์”
“ขอบคุณมากค่ะ...ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพัชร์ขอตัวไปจัดการมื้อเช้าก่อนนะคะ” ตอบรับความหวังดีที่อีกคนมอบให้ ก่อนจะผละตัวออกมา และปล่อยให้คู่สนทนาเริ่มทำงานที่ยังทำค้างไว้ต่อไป
ในช่วงที่ออฟฟิศยังมีพนักงานมาถึงไม่มาก ห้องพักเบรกอันเงียบสงบกว่าในยามปกติ จึงให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแก่ผู้มาใช้บริการได้ในระดับหนึ่ง
พัชร์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะบริเวณชิดริมผนังอาคารซึ่งเป็นกระจกทั้งผืน กัดแซนด์วิชในมือคำหนึ่ง แล้วจึงส่งกาแฟซึ่งเพิ่งชงเสร็จมาใหม่ ๆ ให้ไหลลงคอตามไป
มองผ่านผืนกระจกออกไปยังวิวทิวทัศน์ภายนอก การได้เสพบรรยากาศยามเช้าในมุมสูงอย่างนี้ ช่วยให้รู้สึกสงบและอารมณ์ดีได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ให้เวลาได้อยู่เงียบ ๆ กับตัวเอง ทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดถึงและวาดเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น และอยากเห็นอยากให้เป็นในอนาคต...อนาคตอันใกล้ ซึ่งมีตัวของเธอเองที่เดินเคียงคู่ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับชายคนรักอย่างจิรา
ละลายตาจากภาพตึกรามบ้านช่องและท้องฟ้าสีสด กลับมายังแหวนวงสำคัญซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วนางมือซ้าย
ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ ตื่นหรือยัง ลุกขึ้นมาอาบน้ำกินข้าวหรือยัง กำลังนั่งเขียนนิยาย เตรียมตัวจะออกไปไหน กำลังคิดถึงเธออยู่หรือเปล่า...
ทั้งหมดนั้นคืออารมณ์หวั่นไหวและเป็นสุขอย่างเหลือล้น ที่ผสมคละเคล้าอยู่ในอก เป็นความผูกพันที่ทำให้รู้สึกทั้งเปราะบางและเข้มแข็งได้ในขณะเดียวกัน
“เอาละ วันนี้ก็ลุยให้เต็มที่กันไปเลย พัชร์”
เผยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง อันยากเกินจะอธิบายออกมา แล้วก็เริ่มลงมือจัดการมื้อเช้าที่เหลือต่ออีกครั้งอย่างอารมณ์ดี
จากอาคารสำนักงานที่พัชร์กำลังทำงาน ซึ่งอยู่ใจกลางแหล่งเศรษฐกิจของเมืองหลวงอย่างพอดิบพอดี บนพื้นที่ที่ห่างออกมาจากจุดนั้นหลายสิบกิโลเมตร ภายในอาณาบริเวณของหมู่บ้านโครงการหรู ลึกจากปากทางเข้าไปจนเกือบสุดโครงการทางด้านหลัง บ้านหลังงามของจิราอยู่ที่ตรงนั้น
ไม่มีเพื่อนบ้านคนใดเห็นการเคลื่อนไหวภายในรั้วบ้านหลังนี้มาตั้งแต่สองวันก่อน จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกขณะ ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกลงกลอน ปิดสนิทจากภายใน ไฟฟ้าหลายดวงส่องสว่างอยู่อย่างนั้นมาหลายวันแล้ว
โทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่นกำลังออกอากาศรายการของสถานี โดยปราศจากเงาของผู้นั่งรับชมตรงโซฟา อาหารที่เหลืออยู่ในภาชนะหลายใบซึ่งถูกวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ เริ่มเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็นบูดชวนสะอิดสะเอียนออกมา
ท่ามกลางความสลัวเลือนของห้องทำงาน ซึ่งแทบจะถูกปิดกั้นการรับรู้จากโลกภายนอก โดยบานหน้าต่างและม่านหนา เสียงพึมพำและเสียงของการขยับเคลื่อนไหวอันแผ่วเบา แทรกตัวกลมกลืนอยู่กับความทึมทึบตรงนั้น
ในห้วงอารมณ์และความคิดอันหนักหน่วง จิราพยายามบรรยายภาพเรื่องราวในหัว ให้ปรากฏออกมาเป็นตัวอักษรอยู่ที่ตรงโต๊ะทำงาน บางครั้งเขาก็วางดินสอในมือลง แล้วหันไปพิมพ์อะไรใส่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก อีกครู่ถัดมาเขาก็กลับละสายตาออกจากจอ และคว้าเอาดินสอกลับมาขีด ๆ เขียน ๆ อีกครั้ง
“ไม่ได้ แบบนี้ยังใช้ไม่ได้” ขยี้ขยำกระดาษที่เพิ่งเขียนจนเป็นก้อนกลม ก่อนโยนทิ้งให้ไปรวมกับก้อนก่อนหน้านี้ที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นห้องอย่างไม่ไยดี
หยิบต้นฉบับงานซึ่งถูกเขียนโดยมือที่มองไม่เห็นขึ้นมา กวาดตาอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เหมือนกับคนกำลังสับสนในประเด็นเนื้อหาที่ได้อ่าน ทั้งที่บทบรรยายทั้งหมดบนหน้ากระดาษ มีอยู่เพียงแค่แปดบรรทัดเท่านั้น
ถึงจะสั้นเสียยิ่งกว่าจะเรียกได้ว่านี่คือเรื่องสั้น แต่ความสนุกยอดเยี่ยมก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในทุกตัวอักษร ทว่าแม้จะสุดยอดสักเพียงใด แต่มันก็สั้นจนเกินกว่าจะเอาไปขายให้ใครได้
เพราะแบบนั้น...เขาจึงต้องลงมือเขียนเพิ่มด้วยตัวเอง ต้องยืดขยายเรื่องราวไม่กี่บรรทัดอันแยบยลนี้ ให้ยาวมากพอที่จะนำมันไปขายทำเงิน สร้างผลกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับตัวเองเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
แต่แค่ท่าทีที่เขาแสดงให้เห็นอยู่ในขณะนี้ ก็บอกผลลัพธ์ได้ชัดเจนอยู่แล้ว...
รายละเอียดของฉากและการบรรยายที่เพิ่มเข้าไป ยืดยาวสิ้นเปลืองเกินจำเป็นไปมาก ตัวละครรวมถึงบทสนทนาที่สร้างขึ้นใหม่ก็ช่างไร้บทบาท ดูอยู่ผิดที่ผิดทาง แถมไม่ส่งผลอะไรเลยสักนิดกับการเดินเรื่อง
แต่ที่เลวร้ายที่สุดนั้น กลับเป็นส่วนเนื้อเรื่องหลักที่คิดเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ความสนุกเพิ่มขึ้นแล้ว มันกลับทำให้ความน่าสนใจที่มีอยู่ในฉบับเดิม กลายเป็นความน่าเบื่อไปแทบจะในทันที
“ไม่ใช่ ยังไม่ใช่แบบนี้ โธ่เว้ย”
กระดาษอีกหนึ่งแผ่นถูกขยำและโยนทิ้ง หัวใจเต้นรัวแรงด้วยเพราะรู้สึกหงุดหงิดร้อนรุ่มอยู่ในอก มันเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้คล้ายกับว่า เขากำลังจะควบคุมสติตัวเองต่อไปไม่ไหว
ด้วยอารมณ์ที่ขึงตึงจนจวนเจียนที่จะขาดผึงลง กล้ามเนื้อหดเกร็งจนควบคุมการทำงานของร่างกายได้ลำบากขึ้นทุกที โดยปราศจากความลังเลหวาดกลัว สองมือก็เริ่มช่วยกันขยี้ขยำเส้นผมบนศีรษะของตัวเองจนมันยุ่งเหยิงไปหมด
แล้วทันใดนั้น เขาก็ดึงทึ้งและกระชากสิ่งที่อยู่ในมือจนขาดอย่างสุดแรง โดยไร้แม้เพียงเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดที่เบาที่สุดให้ได้ยิน
พัชร์แนบไฟล์เอกสารที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่เข้าไปในอีเมล ตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่มีอะไรตกหล่นไปแล้ว จึงค่อยกดปุ่มคำสั่งเพื่อส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ออกไป
“พี่ชาติคะ พัชร์ส่งรายงานที่พี่จะใช้ประชุมพรุ่งนี้ให้แล้วนะคะ” เห็นว่าเป็นงานชิ้นสำคัญ จึงเดินไปบอกผู้รับ ซึ่งก็คือหัวหน้างานโดยตรงของเธอ ถึงโต๊ะทำงานของเขาอีกครั้งหนึ่ง
“อ้อ ได้รับแล้ว ขอบใจมากนะ พัชร์” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อตรวจสอบกล่องขาเข้าเรียบร้อย “เออ...ว่าแต่เย็นนี้ พัชร์พอจะอยู่ทำโอทีได้ไหม ติดธุระหรือต้องไปไหนหรือเปล่า”
“ได้ค่ะ” ผู้ถูกถามอึกอักนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็รับปากออกไปแบบนั้น
“เยี่ยม ขอบใจมาก” กดก๊อกแก๊กบนแป้นพิมพ์ แล้วก็หันมาคุยด้วยอีกครั้ง “พี่ส่งเมลไปให้แล้ว พัชร์ช่วยตรวจดูตัวเลขตรงที่ทำไฮไลท์ให้หน่อย พี่ว่ามันแปลก ๆ ชอบกล แล้วตรงช่องที่ยังว่าง ก็ช่วยหาข้อมูลมาใส่ให้ด้วยนะ”
“พี่สุชาติขา ใช้งานว่าที่เจ้าสาวหนักไปไหมคะ ไม่คิดจะปล่อยให้พัชร์ได้ไปหาว่าที่เจ้าบ่าว ไปเที่ยวสวีทหวานแหววกันสองต่อสองบ้างเลยหรือคะ” เสียงแซวที่ดังมาจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เรียกรอยยิ้มให้คนที่เหลือในแผนกได้อย่างถ้วนหน้า
“ตอนนี้อย่าเพิ่งห่วงเรื่องนั้นเลย พัชร์น่ะ เขายังมีเวลาสวีทกับแฟนได้อีกนาน แต่ถ้างานนี้ไม่เสร็จละก็ พรุ่งนี้นรกมาเยือนผมแน่ ๆ เห็นใจผมก่อนดีกว่านะ คุณทราย” แล้วทั้งแผนกก็ฮาครืนออกมา จากคำตอบที่ทันกันของพี่ชาตินั่นเอง
“ช่วงนี้ภูทำงานไม่ทันเลย ถ้าเกิดภูไม่รับสาย ไม่ได้ติดต่อกลับ พัชร์อย่าโกรธภูนะ ไว้เคลียร์งานเสร็จเมื่อไหร่ ภูจะรีบโทรฯ หา รีบแจ้นไปรับพัชร์ถึงที่เลย”
เมื่อกลับมานั่งประจำที่ของตนเองเรียบร้อย พัชร์ก็นึกไปถึงคำพูดของแฟนหนุ่ม ผู้ที่ทำให้เธอเกิดรู้สึกลังเลที่จะรับทำโอทีเมื่อสักครู่ขึ้นมา ใช่ว่าเขาเพิ่งเคยพูดแบบนี้เป็นครั้งแรก และไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
บางครั้งคนทำอาชีพแบบนี้ ก็ต้องการเวลาไว้อยู่กับตัวเอง ใช้ความสงบเพื่อดำดิ่งลงไปสู่โลกแห่งจินตนาการ...เพราะเข้าใจ เธอจึงเว้นช่องว่างไว้เสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ เขาจะได้อิสระนั้นอย่างเต็มที่ โดยที่เธอจะทำเพียงแค่รอเท่านั้น
แต่ที่เธอกังวลและอดเป็นห่วงไม่ได้ ก็เพราะพักหลัง ๆ มานี้ จิราใช้เวลาแบบนั้นมากขึ้น นานขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกขณะ โดยที่เขาไม่เคยอธิบายหรือบอกเล่าอะไรให้ฟัง และเธอเองก็ไม่คิดจะถามหรือคาดคั้นอะไรจากเขาเลย
เปล่าประโยชน์ คิดไปก็เท่านั้น...พัชร์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกหน่วงหนักในอก หยิบสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากดดู มีเพียงรูปคู่ของเธอกับเขาที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ โดยปราศจากข้อความและการแจ้งเตือนอื่นใดของจิรา