เรื่อง : ปราบปอบจำแลง
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ปราบปอบจำแลง
ค่ำคืนอันเหน็บหนาวกลางเดือนพฤศจิกายน ณ บ้านไม้ติดชายดอย รังรักของผัวหนึ่งเมียสี่ รังรักของพรานเมฆ
ภายหลังกลับจาก บ้านฆญื่อ หมู่บ้านกะเหรี่ยงอดีตลูกหาบคนสนิทของผู้ใหญ่ผุย คราแรกเมื่อสี่เมียสาวพรายตานีเห็นพระสวามีจอมพรานเดินกระโด๊ก ๆ มีไม้ค้ำยันและผู้ใหญ่ผุยประคองมาก็เกิดความเป็นห่วง ลอยรี่ปรี่เข้าไปหมายจะประคอง ทว่าอีกไม่กี่ก้าวที่นวลนางสางพรายจะถึงตัวผัวรัก กลับมีอันชะงักงัน ใบหน้านวลขาวรูปไข่ดวงตากลมโตสวยสดพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้งโกรธ
“พี่เมฆ พี่ไปทำสิ่งใดมา? ทำไมน้องได้กลิ่นหญิงสาว? ไม่สิ นี่ไม่ใช่กลิ่นมนุษย์ พี่แอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย เอาผีตนไหนมาเป็นเมียอีกแล้วรึ?”
“ปะ...เปล่าจ้ะน้องนี ไม่ใช่แบบนั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันแบบไหน? ใช่สิ น้องมันของเก่า พี่ได้น้องแล้วทั้งกายและใจจึงคิดจะมีใหม่ใช่ไหม? ฮึ! งอน!!!”
และเพื่อเป็นการแสดงเจตจำนง สี่นางตานีกอดอกหันขวับไปในทิศทางเดียวกันด้วยความพร้อมเพรียง พรานเมฆได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายให้เมียเข้าใจ อิสตรีนั้นความรู้สึกนึกคิดยากแท้หยั่งถึง บอกความจริงก็หาว่าโกหก พอโกหกก็ดันจับได้อีก พรานเมฆที่ใคร ๆ ต่างนับถือว่าเป็นจอมพรานไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ได้แต่ตีหน้าโศกจนแต้ม กระทั่งผู้ใหญ่ผุยต้องลงมือช่วย
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกแม่นี...อย่าเพิ่งเข้าใจพรานเมฆมันผิดเลย แต่จะว่าไปก็เข้าใจถูกล่ะนะ เพียงแต่ไม่ถูกทั้งหมดเท่านั้นเอง”
และในทันทีนั้น บรรดาแม่นีซึ่งพรานเมฆตั้งชื่อให้แบบเดียวกันหันขวับมามองผู้ใหญ่ผุยตาเขม็ง หาใช่ด้วยความโกรธ แต่เป็นทำนองตัดพ้อว่าให้พ่อบ้านดูเอาเถิด พรานเพื่อนรักของพ่อบ้านเจ้าชู้นัก
“คืออย่างนี้ กลิ่นที่ติดตัวพรานเมฆมาน่ะ เป็นของท่านจิรกาลสัปปะ ท่านเป็นนางพญางูใหญ่ที่บำเพ็ญเพียรสร้างตบะอยู่บนเขาหลังหมู่บ้านไอ้กะเทอมัน อีกทั้งท่านยังเป็นสหายเก่าของพรานเมฆมันด้วย คงได้พบปะกันสมัยที่ทั้งมันทั้งฉันหนุ่มกระทงและล่องไปทั่วนั่นล่ะ นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ แม่นีทั้งหลายก็อย่าไปเคืองไปเข้าใจผิดพรานเมฆมันเลย มันรักพวกแม่ ๆ จะตายไป”
โดยที่สี่ตานีไม่ทันเห็นเพราะกำลังทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่ตนเองหึงหวงจนเกินเหตุและเข้าสู่โหมดสำนึกผิด พรานเมฆแอบยกนิ้วโป้งให้เพื่อนรักที่อุตส่าห์อธิบายในสิ่งที่ตนพูดไม่ถูกจนบรรดาภรรเมียเริ่มใจอ่อน
“ แต่ก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นล่ะนะ ฉันรู้แค่นั้น ส่วนเรื่องระหว่างที่พรานเมฆกับท่านจิรกาลสัปปะพบกันและอาศัยอยู่ในป่า อันนี้ต้องถามกันเอาเองเด้อ” ผู้ใหญ่ผุยบอกเสียงเรียบยิ้มมุมปาก ก่อนหันหลังเดินจากมา นั่นเท่ากับเป็นการลากพรานเมฆขึ้นเขียงเรียบร้อยแล้ว แต่แล้ว พ่อบ้านพลันหยุดชะงัก หันกลับมากล่าวกับครอบครัวเกลอแก้วใบหน้าสดใสยิ้มกว้างสุขใจ
“แหม่...แต่ท่านพญางูสาวนั่นก็งามหยดจริง ๆ นะแม่ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่มาเป็นพัน ๆ ปี รูปร่างหน้าตารึยังกะสาวแรกรุ่น ไม่แพ้พวกแม่ ๆ เลยทีเดียว บ๊ะ! พรานเมฆนี่มันเข้าใจคบเพื่อนจริงเชียว ฉันล่ะอิจฉ๊า...อิจฉา!”
จบ จบกันพรานเมฆครวญในใจ เพียงประโยคแรกหลังจากยกนิ้วโป้งให้พรานเมฆก็นอนรอความตายอยู่บนเขียงแล้ว นี่ยังทิ้งท้ายส่งมีดปังตอสี่เล่มให้อีกต่างหาก ไม่ตายคืนนี้จะไปตายคืนไหน? พรานเมฆค่อย ๆ หันมองหน้าเมียทั้งสี่ด้วยอาการดั่งอีเห็นระวังภัย ทว่ากลับต้องฉงนหนัก เมื่อนวลนางหาได้มีสีหน้าโกรธเคือง แต่กลับยิ้มน้อย ๆ ราวกับเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี
“มะ...ไม่ได้โกรธพี่อยู่หรอกรึ?”
“จะไปโกรธทำไมกัน ถ้าเป็นท่านจิรกาลสัปปะพวกเราเองก็รู้จัก ครั้งหนึ่งท่านเคยออกจากที่จำศีล ล่องใต้ชมทะเล พวกน้องยังเคยพาท่านไปดูที่นั่นที่นี่อยู่เลย มาเถอะจ้ะพี่เมฆ จัดการเรื่องใหญ่มาคงเหนื่อยหนัก คืนนี้น้อง ๆ จะปรนนิบัติพี่เอง...”
สี่ผีสาวเข้ามาประคองร่างพรานเมฆเข้าตัวบ้าน ขณะเดียวกันจอมพรานน้ำตาซึม ฟ้ามีตาสวรรค์มองเห็นคุณความดีของตนที่ไม่ใช่คนเจ้าชู้ จึงไม่ยอมปล่อยให้บรรดาเมียทั้งสี่เข้าใจผิดตามคำยุของเกลอแก้ว ที่ควรได้ลูกเก้าเป็นของขวัญสักปลอก เพียงเท่านี้พรานเมฆก็สบายใจแล้ว...
ภายใต้ความสลัวราง พรานเมฆนอนแผ่หลาไร้อาภรณ์บนฟูกนุ่ม กางแขนทั้งสองข้างออกให้เมียหนุนฝั่งละสองนาง ครอบครัวอันแสนสุขพูดคุยหยอกล้อหัวร่อกันคิกคักน่ารักน่าหยิก กระทั่งหนึ่งในแม่นีเอ่ยถามขึ้น
“จริงสิพี่จ๋า เมื่อหัวค่ำฉันได้ยินว่าเมื่อครั้งที่พี่กับพ่อผู้ใหญ่ยังหนุ่มกระทงเคยแยกกัน ตอนนั้นพี่ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน แล้วกลับมาเจอกันได้ยังไงพี่เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
“อืม...ถ้าจะเล่าเรื่องนั้นเลยก็จะยาวไปหน่อย เอาเป็นตอนที่พี่พบกับผู้ใหญ่ผุยอีกครั้งหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันมานานก็แล้วกัน ครั้งนั้นพี่ไปอีสาน พรานเก่าแก่ที่รู้จักกันเขาชวนไปเที่ยว บ้านเขาอยู่ที่ยโสธร...”
ย้อนกลับไปราว ๆ ห้าสิบปีก่อน
ครั้งนั้นพรานเมฆในวัยฉกรรจ์ เป็นหนุ่มเลือดร้อนและพรานฝีมือเยี่ยม เที่ยวท่องไปตามไพรพงดงลึกล่าสัตว์นอนป่ายังที่นั่นที่นี่ พบปะสหายที่คุยกันรู้เรื่องในภาษาพรานก็มาก พบปะผีสางปีศาจก็ไม่น้อย แต่มีอยู่สถานที่หนึ่งซึ่งพรานเมฆยังไม่เคยไปเยือน ป่าทางอีสาน
ข่าวว่าเวลานั้นสัตว์ชุมไม่ต่างจากป่าดิบของภาคกลางและเหนือ ออกจะแล้งไปสักหน่อยแต่หากได้ไปเยือนรับรองไม่มีกร่อยแน่นอน ซ้ำที่แผ่นดินถิ่นนั้นยังเต็มไปด้วยตำนานและนิทานปรัมปรามากมาย พรานเมฆอยากไปนักหนาทว่าสหายพรานซึ่งมีถิ่นเกิดอยู่ในภาคนั้น ไม่มีในบันทึกของความทรงจำเลยแม้แต่ผู้เดียว
กระทั่งพรานเมฆกลับจากบ้านห้วยทอง กำเงินร้อยค่าจ้างจัดการเสือเฒ่าและได้พบกับพรานหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า บุญมี ระหว่างทาง จากการสนทนากันนั่นเอง พรานเมฆจึงสมประสงค์ เพราะพรานบุญมีผู้นี้ มีบ้านเกิดอยู่ยโสธร และเขากำลังจะกลับไปที่นั่นพอดี
“เอาแบบนี้เสี่ยว เดี๋ยวฉันกลับหมู่บ้านก่อน จัดการธุระปะปังเรียบร้อยจะตามไป เสี่ยวเขียนแผนที่ให้ฉันก็พอ”
“มันสิบ่ยากเจ้าติ? บ่แม่ง่าย ๆ เด้ ไปนำข่อยเลยดีบ้อหือ?”
“บ่ยาก ๆ” พรานเมฆปฏิเสธจากใจจริง “เสี่ยวไม่ต้องกังวล ฉันหาทางไปได้แน่ ขอแค่เสี่ยวเขียนแผนที่มาให้ อีกอาทิตย์รอรับฉันได้เลย เหล้าต้ม ส้มตำ ยำบักมี่ จี่ปูนา อะไรก็แล้วแต่ที่เสี่ยวคิดว่ามันแซบ จัดเตรียมเอาไว้โลด”
“เอ๋า เอาซั่นบ่ กะดั้ย...คั่นเจ้าว่าบ่ยากมันกะแล่วแต่เจ้า ข่อยสิถ่าอยู่เฮือน...เอ้า นี่ล่ะลายแทงบ้านข่อย เบิ่งยากจักน่อยข่อยเขียนหนังสือบ่งาม”
“โห้...แค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว เอ่อ...อะไรนะ บักคัก ๆ ขอบจั๋ยอีหลี ฮ่า ๆ”
ว่าแล้วทั้งคู่ก็แยกจากกันยังท่ารถ พรานบุญมีต้องนั่งรถล่องลงเมืองกรุงแล้วต่อไปอีสาน ทางด้านพรานเมฆสบายหน่อย เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงบ้าน เพราะมันไม่ได้ไกลมากนัก เรียกว่าเป็นเขตรอยต่อระหว่างภาคก็ได้
หลังโบกมือหย็อย ๆ ให้สหายพรานหนุ่มน้อยแห่งแดนอีสาน พรานเมฆตรงดิ่งไปยังรถประจำทางอันเป็นพาหนะที่แล่นผ่านหมู่บ้าน จังหวะนั้นเอง เกิดไปชนเข้ากับวัยรุ่นผู้หนึ่ง จะเป็นผีผลักหรืออย่างไรไม่ทราบ ทั้งคู่ใจตรงกันไปเสียหมด
ทั้งจังหวะขึ้นรถที่ชนกันสนั่นจนแทบหัวร้างข้างแตก ทั้งการเลือกที่นั่งซึ่งต่างฝ่ายต่างคิดว่านั่งตอนท้ายฝั่งขวารับลมได้ดีที่สุด แต่มันมีที่เดียว จากใจตรงกันพลันกลายเป็นเขม่น
“กูมาก่อน”
“ใครบอกมืง? ใครเป็นพยาน? ใครเห็นบ้าง?” ชายหนุ่มผู้นั้นสวนกลับทันควันด้วยสำเนียงภาษาและกริยากวนช่วงล่าง ใจพรานเมฆเดือดปุด ๆ หายใจเข้าหายใจออกจนสุดปลายลม พยายามนับถึงถึงร้อย รั้งขาลงจากรถผายมือไปยังที่นั่ง
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเถิดพ่อ ฉันยืนไปไม่ก็นั่งตรงอื่นก็ได้”
“อีเธ่อ...นึกว่าจะแน่!”
แทนที่จะขอบใจ ชายหนุ่มกลับค่อนแคะแสยะยิ้มทิ้งตัวลงนั่งซ้ำยังยักคิ้วหลิ่วตา ประกาศว่ากูคือผู้ชนะ และนั่นเองเป็นการจุดระเบิด พรานเมฆโยนกองเลขที่อุตส่าห์นับเพื่อสงบสติอารมณ์ทิ้ง สองมือคว้าราวเหล็กสำหรับจับเพื่อกันตกท้ายรถ ยกตัวเหวี่ยงหน้าแข้งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้กวนบาทาเต็มแรง
ทว่าตัวเองก็พลาดท่าเช่นกัน ด้วยโทสะมันเดือดมือลื่นเพราะเหงื่อ เมื่อไร้สองเท้าหยั่ง แม้จะทำร้ายอีกฝ่ายได้แต่ตนเองก็ร่วงโครมสีข้างกระแทกบันไดทางขึ้นจนรถโยก เจ้าตัวไม่ต้องถามถึง ก้าวข้ามคำว่าเจ็บและจุกไปหลายขุม
จะลุกก็ไม่สะดวกเพราะท่อนล่างขาดันไปเกี่ยวกับที่นั่งส่วนท่อนบนพาดร่อแร่เกือบจะแน่นิ่งห่างเท้าอริเพียงศอกเศษ นั่นจึงเป็นเหตุให้พรานเมฆรับหลังเท้าเข้าปลายคางเต็ม ๆ
ทั้งคู่ซัดกันนัวไม่มีใครยอมใครเหตุเพราะที่นั่งรถซึ่งตนคิดว่าจุดนั้นดี กระทั่งคนขับซึ่งดูอยู่นานตะโกนบอกด้วยความเสียดาย
“เอาล่ะ! พอ ๆ รถจะออกแล้วเด้อพ่อ จะต่อยกันต่อไว้ลงรถแล้วค่อยว่ากาน....”
มวยไทยเจ็ดสีจึงจบลงเพียงเท่านี้ สองฝ่ายได้คะแนนเท่ากันซ้ำที่นั่งซึ่งต่างก็หมายปองถูกเอาไปครองโดยหญิงชรานางหนึ่ง ที่สุดก็ต้องห้อยโหนกันคนละฝั่ง ตลอดทางจ้องกันเขม็ง กะว่ารถจอดเมื่อไหร่เถอะมืง กูล่อมืงแน่
“หนองคำดีเด้อ...!!!” คนขับชะลอความเร็วสุดท้ายก็จอดสนิทประกาศจุดหยุดรถ คราวนี้ทั้งคู่งงเป็นไก่ตาแตก ไหงไอ้นี่มาลงที่นี่ด้วยวะ? ยิ่ง-งงหนักเมื่อต่างก็เดินเข้าหมู่บ้านเช่นกัน ถนนสายเล็ก ๆ นักเลงแปลกหน้าจ้องกันคนละฝั่ง ต่างก็คิดในใจว่าอริต้องเป็นสหายของใครสักคนในหมู่บ้านแน่ แบบนี้ยิ่งดี ถิ่นกูมืงจบแล้ว
“กว่าจะมาได้นะมืงไอ้ผุย! ถ้าพ่อมืงใกล้ตายป่านนี้เผาไปแล้ว ส่งข่าวไปเป็นเดือน ๆ ไม่ตอบสักคำ แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมา?” ตาผวนลุงแท้ ๆ ของผู้ใหญ่ผุยเอ็ดตะโรทันทีที่เห็นหน้าหลานชาย มองข้ามไหล่ไปก็เห็นพรานเมฆยืนมองมาท่าทีบอกชัดเจนว่ากำลังฉงน
“อ้าว! ไอ้เมฆ ไหนว่าไปจัดการเสือลำบากที่บ้านห้วยทองแล้วสภาพหน้าตาเอ็งทำไมบอบช้ำปานไปฟัดก๊ะหมามาแบบนั้น? ทำไม? เสือนั่นเป็นสมิงแล้วจำแลงแปลงกายเป็นนักมวยรึไง?”
สองอรินิ่งเงียบหันมองหน้ากัน บัดนี้ทุกข้อสงสัยถูกไขให้กระจ่างแล้ว ที่แท้คนที่โรมรันห้ำหั่นกับตัวเองไม่ใช่ใครที่ไหน เกลอแก้วสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนับสิบปีนี่เอง ว่าแล้วก็หัวเราะให้แก่กันหันไปตอบตาผวนเป็นเสียงเดียว
“พอดีมือมันลื่นเลยพลัดตกรถจ้ะ” นั่นล่ะ คำตอบของทั้งคู่ในครานั้น...
“พี่จ๋า...ไม่เอาอารัมภบทยืดเยื้อแบบนี้สิจ๊ะ เอาตอนที่พี่ไปอีสานเลยสิ ถ้าไม่เล่า น้องจะงอนนอนหันหลังให้แล้วนะ” หนึ่งในเมียผีว่า อีกสามพลันปฏิบัติตามตั้งท่าจะหันหลังเอาร่างกายเปลือยเปล่าอล่างฉ่างน่ามองหนี พรานเมฆพลันรวบสองแขนเข้าหาตัวเท่าที่จะทำได้ มีเมียสวยหุ่นดีเช่นนี้ ใครเล่าจะยอมเห็นเพียงแผ่นหลัง
“จ้ะ ๆ พี่จะเล่าเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ”
(มีต่อครับ)
ปราบปอบจำแลง โดยตรัยโศก ณ ริมน่าน
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ภายหลังกลับจาก บ้านฆญื่อ หมู่บ้านกะเหรี่ยงอดีตลูกหาบคนสนิทของผู้ใหญ่ผุย คราแรกเมื่อสี่เมียสาวพรายตานีเห็นพระสวามีจอมพรานเดินกระโด๊ก ๆ มีไม้ค้ำยันและผู้ใหญ่ผุยประคองมาก็เกิดความเป็นห่วง ลอยรี่ปรี่เข้าไปหมายจะประคอง ทว่าอีกไม่กี่ก้าวที่นวลนางสางพรายจะถึงตัวผัวรัก กลับมีอันชะงักงัน ใบหน้านวลขาวรูปไข่ดวงตากลมโตสวยสดพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้งโกรธ
“พี่เมฆ พี่ไปทำสิ่งใดมา? ทำไมน้องได้กลิ่นหญิงสาว? ไม่สิ นี่ไม่ใช่กลิ่นมนุษย์ พี่แอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย เอาผีตนไหนมาเป็นเมียอีกแล้วรึ?”
“ปะ...เปล่าจ้ะน้องนี ไม่ใช่แบบนั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันแบบไหน? ใช่สิ น้องมันของเก่า พี่ได้น้องแล้วทั้งกายและใจจึงคิดจะมีใหม่ใช่ไหม? ฮึ! งอน!!!”
และเพื่อเป็นการแสดงเจตจำนง สี่นางตานีกอดอกหันขวับไปในทิศทางเดียวกันด้วยความพร้อมเพรียง พรานเมฆได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายให้เมียเข้าใจ อิสตรีนั้นความรู้สึกนึกคิดยากแท้หยั่งถึง บอกความจริงก็หาว่าโกหก พอโกหกก็ดันจับได้อีก พรานเมฆที่ใคร ๆ ต่างนับถือว่าเป็นจอมพรานไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ได้แต่ตีหน้าโศกจนแต้ม กระทั่งผู้ใหญ่ผุยต้องลงมือช่วย
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกแม่นี...อย่าเพิ่งเข้าใจพรานเมฆมันผิดเลย แต่จะว่าไปก็เข้าใจถูกล่ะนะ เพียงแต่ไม่ถูกทั้งหมดเท่านั้นเอง”
และในทันทีนั้น บรรดาแม่นีซึ่งพรานเมฆตั้งชื่อให้แบบเดียวกันหันขวับมามองผู้ใหญ่ผุยตาเขม็ง หาใช่ด้วยความโกรธ แต่เป็นทำนองตัดพ้อว่าให้พ่อบ้านดูเอาเถิด พรานเพื่อนรักของพ่อบ้านเจ้าชู้นัก
“คืออย่างนี้ กลิ่นที่ติดตัวพรานเมฆมาน่ะ เป็นของท่านจิรกาลสัปปะ ท่านเป็นนางพญางูใหญ่ที่บำเพ็ญเพียรสร้างตบะอยู่บนเขาหลังหมู่บ้านไอ้กะเทอมัน อีกทั้งท่านยังเป็นสหายเก่าของพรานเมฆมันด้วย คงได้พบปะกันสมัยที่ทั้งมันทั้งฉันหนุ่มกระทงและล่องไปทั่วนั่นล่ะ นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ แม่นีทั้งหลายก็อย่าไปเคืองไปเข้าใจผิดพรานเมฆมันเลย มันรักพวกแม่ ๆ จะตายไป”
โดยที่สี่ตานีไม่ทันเห็นเพราะกำลังทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่ตนเองหึงหวงจนเกินเหตุและเข้าสู่โหมดสำนึกผิด พรานเมฆแอบยกนิ้วโป้งให้เพื่อนรักที่อุตส่าห์อธิบายในสิ่งที่ตนพูดไม่ถูกจนบรรดาภรรเมียเริ่มใจอ่อน
“ แต่ก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นล่ะนะ ฉันรู้แค่นั้น ส่วนเรื่องระหว่างที่พรานเมฆกับท่านจิรกาลสัปปะพบกันและอาศัยอยู่ในป่า อันนี้ต้องถามกันเอาเองเด้อ” ผู้ใหญ่ผุยบอกเสียงเรียบยิ้มมุมปาก ก่อนหันหลังเดินจากมา นั่นเท่ากับเป็นการลากพรานเมฆขึ้นเขียงเรียบร้อยแล้ว แต่แล้ว พ่อบ้านพลันหยุดชะงัก หันกลับมากล่าวกับครอบครัวเกลอแก้วใบหน้าสดใสยิ้มกว้างสุขใจ
“แหม่...แต่ท่านพญางูสาวนั่นก็งามหยดจริง ๆ นะแม่ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่มาเป็นพัน ๆ ปี รูปร่างหน้าตารึยังกะสาวแรกรุ่น ไม่แพ้พวกแม่ ๆ เลยทีเดียว บ๊ะ! พรานเมฆนี่มันเข้าใจคบเพื่อนจริงเชียว ฉันล่ะอิจฉ๊า...อิจฉา!”
จบ จบกันพรานเมฆครวญในใจ เพียงประโยคแรกหลังจากยกนิ้วโป้งให้พรานเมฆก็นอนรอความตายอยู่บนเขียงแล้ว นี่ยังทิ้งท้ายส่งมีดปังตอสี่เล่มให้อีกต่างหาก ไม่ตายคืนนี้จะไปตายคืนไหน? พรานเมฆค่อย ๆ หันมองหน้าเมียทั้งสี่ด้วยอาการดั่งอีเห็นระวังภัย ทว่ากลับต้องฉงนหนัก เมื่อนวลนางหาได้มีสีหน้าโกรธเคือง แต่กลับยิ้มน้อย ๆ ราวกับเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี
“มะ...ไม่ได้โกรธพี่อยู่หรอกรึ?”
“จะไปโกรธทำไมกัน ถ้าเป็นท่านจิรกาลสัปปะพวกเราเองก็รู้จัก ครั้งหนึ่งท่านเคยออกจากที่จำศีล ล่องใต้ชมทะเล พวกน้องยังเคยพาท่านไปดูที่นั่นที่นี่อยู่เลย มาเถอะจ้ะพี่เมฆ จัดการเรื่องใหญ่มาคงเหนื่อยหนัก คืนนี้น้อง ๆ จะปรนนิบัติพี่เอง...”
สี่ผีสาวเข้ามาประคองร่างพรานเมฆเข้าตัวบ้าน ขณะเดียวกันจอมพรานน้ำตาซึม ฟ้ามีตาสวรรค์มองเห็นคุณความดีของตนที่ไม่ใช่คนเจ้าชู้ จึงไม่ยอมปล่อยให้บรรดาเมียทั้งสี่เข้าใจผิดตามคำยุของเกลอแก้ว ที่ควรได้ลูกเก้าเป็นของขวัญสักปลอก เพียงเท่านี้พรานเมฆก็สบายใจแล้ว...
ภายใต้ความสลัวราง พรานเมฆนอนแผ่หลาไร้อาภรณ์บนฟูกนุ่ม กางแขนทั้งสองข้างออกให้เมียหนุนฝั่งละสองนาง ครอบครัวอันแสนสุขพูดคุยหยอกล้อหัวร่อกันคิกคักน่ารักน่าหยิก กระทั่งหนึ่งในแม่นีเอ่ยถามขึ้น
“จริงสิพี่จ๋า เมื่อหัวค่ำฉันได้ยินว่าเมื่อครั้งที่พี่กับพ่อผู้ใหญ่ยังหนุ่มกระทงเคยแยกกัน ตอนนั้นพี่ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน แล้วกลับมาเจอกันได้ยังไงพี่เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
“อืม...ถ้าจะเล่าเรื่องนั้นเลยก็จะยาวไปหน่อย เอาเป็นตอนที่พี่พบกับผู้ใหญ่ผุยอีกครั้งหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันมานานก็แล้วกัน ครั้งนั้นพี่ไปอีสาน พรานเก่าแก่ที่รู้จักกันเขาชวนไปเที่ยว บ้านเขาอยู่ที่ยโสธร...”
ย้อนกลับไปราว ๆ ห้าสิบปีก่อน
ครั้งนั้นพรานเมฆในวัยฉกรรจ์ เป็นหนุ่มเลือดร้อนและพรานฝีมือเยี่ยม เที่ยวท่องไปตามไพรพงดงลึกล่าสัตว์นอนป่ายังที่นั่นที่นี่ พบปะสหายที่คุยกันรู้เรื่องในภาษาพรานก็มาก พบปะผีสางปีศาจก็ไม่น้อย แต่มีอยู่สถานที่หนึ่งซึ่งพรานเมฆยังไม่เคยไปเยือน ป่าทางอีสาน
ข่าวว่าเวลานั้นสัตว์ชุมไม่ต่างจากป่าดิบของภาคกลางและเหนือ ออกจะแล้งไปสักหน่อยแต่หากได้ไปเยือนรับรองไม่มีกร่อยแน่นอน ซ้ำที่แผ่นดินถิ่นนั้นยังเต็มไปด้วยตำนานและนิทานปรัมปรามากมาย พรานเมฆอยากไปนักหนาทว่าสหายพรานซึ่งมีถิ่นเกิดอยู่ในภาคนั้น ไม่มีในบันทึกของความทรงจำเลยแม้แต่ผู้เดียว
กระทั่งพรานเมฆกลับจากบ้านห้วยทอง กำเงินร้อยค่าจ้างจัดการเสือเฒ่าและได้พบกับพรานหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า บุญมี ระหว่างทาง จากการสนทนากันนั่นเอง พรานเมฆจึงสมประสงค์ เพราะพรานบุญมีผู้นี้ มีบ้านเกิดอยู่ยโสธร และเขากำลังจะกลับไปที่นั่นพอดี
“เอาแบบนี้เสี่ยว เดี๋ยวฉันกลับหมู่บ้านก่อน จัดการธุระปะปังเรียบร้อยจะตามไป เสี่ยวเขียนแผนที่ให้ฉันก็พอ”
“มันสิบ่ยากเจ้าติ? บ่แม่ง่าย ๆ เด้ ไปนำข่อยเลยดีบ้อหือ?”
“บ่ยาก ๆ” พรานเมฆปฏิเสธจากใจจริง “เสี่ยวไม่ต้องกังวล ฉันหาทางไปได้แน่ ขอแค่เสี่ยวเขียนแผนที่มาให้ อีกอาทิตย์รอรับฉันได้เลย เหล้าต้ม ส้มตำ ยำบักมี่ จี่ปูนา อะไรก็แล้วแต่ที่เสี่ยวคิดว่ามันแซบ จัดเตรียมเอาไว้โลด”
“เอ๋า เอาซั่นบ่ กะดั้ย...คั่นเจ้าว่าบ่ยากมันกะแล่วแต่เจ้า ข่อยสิถ่าอยู่เฮือน...เอ้า นี่ล่ะลายแทงบ้านข่อย เบิ่งยากจักน่อยข่อยเขียนหนังสือบ่งาม”
“โห้...แค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว เอ่อ...อะไรนะ บักคัก ๆ ขอบจั๋ยอีหลี ฮ่า ๆ”
ว่าแล้วทั้งคู่ก็แยกจากกันยังท่ารถ พรานบุญมีต้องนั่งรถล่องลงเมืองกรุงแล้วต่อไปอีสาน ทางด้านพรานเมฆสบายหน่อย เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงบ้าน เพราะมันไม่ได้ไกลมากนัก เรียกว่าเป็นเขตรอยต่อระหว่างภาคก็ได้
หลังโบกมือหย็อย ๆ ให้สหายพรานหนุ่มน้อยแห่งแดนอีสาน พรานเมฆตรงดิ่งไปยังรถประจำทางอันเป็นพาหนะที่แล่นผ่านหมู่บ้าน จังหวะนั้นเอง เกิดไปชนเข้ากับวัยรุ่นผู้หนึ่ง จะเป็นผีผลักหรืออย่างไรไม่ทราบ ทั้งคู่ใจตรงกันไปเสียหมด
ทั้งจังหวะขึ้นรถที่ชนกันสนั่นจนแทบหัวร้างข้างแตก ทั้งการเลือกที่นั่งซึ่งต่างฝ่ายต่างคิดว่านั่งตอนท้ายฝั่งขวารับลมได้ดีที่สุด แต่มันมีที่เดียว จากใจตรงกันพลันกลายเป็นเขม่น
“กูมาก่อน”
“ใครบอกมืง? ใครเป็นพยาน? ใครเห็นบ้าง?” ชายหนุ่มผู้นั้นสวนกลับทันควันด้วยสำเนียงภาษาและกริยากวนช่วงล่าง ใจพรานเมฆเดือดปุด ๆ หายใจเข้าหายใจออกจนสุดปลายลม พยายามนับถึงถึงร้อย รั้งขาลงจากรถผายมือไปยังที่นั่ง
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเถิดพ่อ ฉันยืนไปไม่ก็นั่งตรงอื่นก็ได้”
“อีเธ่อ...นึกว่าจะแน่!”
แทนที่จะขอบใจ ชายหนุ่มกลับค่อนแคะแสยะยิ้มทิ้งตัวลงนั่งซ้ำยังยักคิ้วหลิ่วตา ประกาศว่ากูคือผู้ชนะ และนั่นเองเป็นการจุดระเบิด พรานเมฆโยนกองเลขที่อุตส่าห์นับเพื่อสงบสติอารมณ์ทิ้ง สองมือคว้าราวเหล็กสำหรับจับเพื่อกันตกท้ายรถ ยกตัวเหวี่ยงหน้าแข้งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้กวนบาทาเต็มแรง
ทว่าตัวเองก็พลาดท่าเช่นกัน ด้วยโทสะมันเดือดมือลื่นเพราะเหงื่อ เมื่อไร้สองเท้าหยั่ง แม้จะทำร้ายอีกฝ่ายได้แต่ตนเองก็ร่วงโครมสีข้างกระแทกบันไดทางขึ้นจนรถโยก เจ้าตัวไม่ต้องถามถึง ก้าวข้ามคำว่าเจ็บและจุกไปหลายขุม
จะลุกก็ไม่สะดวกเพราะท่อนล่างขาดันไปเกี่ยวกับที่นั่งส่วนท่อนบนพาดร่อแร่เกือบจะแน่นิ่งห่างเท้าอริเพียงศอกเศษ นั่นจึงเป็นเหตุให้พรานเมฆรับหลังเท้าเข้าปลายคางเต็ม ๆ
ทั้งคู่ซัดกันนัวไม่มีใครยอมใครเหตุเพราะที่นั่งรถซึ่งตนคิดว่าจุดนั้นดี กระทั่งคนขับซึ่งดูอยู่นานตะโกนบอกด้วยความเสียดาย
“เอาล่ะ! พอ ๆ รถจะออกแล้วเด้อพ่อ จะต่อยกันต่อไว้ลงรถแล้วค่อยว่ากาน....”
มวยไทยเจ็ดสีจึงจบลงเพียงเท่านี้ สองฝ่ายได้คะแนนเท่ากันซ้ำที่นั่งซึ่งต่างก็หมายปองถูกเอาไปครองโดยหญิงชรานางหนึ่ง ที่สุดก็ต้องห้อยโหนกันคนละฝั่ง ตลอดทางจ้องกันเขม็ง กะว่ารถจอดเมื่อไหร่เถอะมืง กูล่อมืงแน่
“หนองคำดีเด้อ...!!!” คนขับชะลอความเร็วสุดท้ายก็จอดสนิทประกาศจุดหยุดรถ คราวนี้ทั้งคู่งงเป็นไก่ตาแตก ไหงไอ้นี่มาลงที่นี่ด้วยวะ? ยิ่ง-งงหนักเมื่อต่างก็เดินเข้าหมู่บ้านเช่นกัน ถนนสายเล็ก ๆ นักเลงแปลกหน้าจ้องกันคนละฝั่ง ต่างก็คิดในใจว่าอริต้องเป็นสหายของใครสักคนในหมู่บ้านแน่ แบบนี้ยิ่งดี ถิ่นกูมืงจบแล้ว
“กว่าจะมาได้นะมืงไอ้ผุย! ถ้าพ่อมืงใกล้ตายป่านนี้เผาไปแล้ว ส่งข่าวไปเป็นเดือน ๆ ไม่ตอบสักคำ แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมา?” ตาผวนลุงแท้ ๆ ของผู้ใหญ่ผุยเอ็ดตะโรทันทีที่เห็นหน้าหลานชาย มองข้ามไหล่ไปก็เห็นพรานเมฆยืนมองมาท่าทีบอกชัดเจนว่ากำลังฉงน
“อ้าว! ไอ้เมฆ ไหนว่าไปจัดการเสือลำบากที่บ้านห้วยทองแล้วสภาพหน้าตาเอ็งทำไมบอบช้ำปานไปฟัดก๊ะหมามาแบบนั้น? ทำไม? เสือนั่นเป็นสมิงแล้วจำแลงแปลงกายเป็นนักมวยรึไง?”
สองอรินิ่งเงียบหันมองหน้ากัน บัดนี้ทุกข้อสงสัยถูกไขให้กระจ่างแล้ว ที่แท้คนที่โรมรันห้ำหั่นกับตัวเองไม่ใช่ใครที่ไหน เกลอแก้วสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนับสิบปีนี่เอง ว่าแล้วก็หัวเราะให้แก่กันหันไปตอบตาผวนเป็นเสียงเดียว
“พอดีมือมันลื่นเลยพลัดตกรถจ้ะ” นั่นล่ะ คำตอบของทั้งคู่ในครานั้น...
“พี่จ๋า...ไม่เอาอารัมภบทยืดเยื้อแบบนี้สิจ๊ะ เอาตอนที่พี่ไปอีสานเลยสิ ถ้าไม่เล่า น้องจะงอนนอนหันหลังให้แล้วนะ” หนึ่งในเมียผีว่า อีกสามพลันปฏิบัติตามตั้งท่าจะหันหลังเอาร่างกายเปลือยเปล่าอล่างฉ่างน่ามองหนี พรานเมฆพลันรวบสองแขนเข้าหาตัวเท่าที่จะทำได้ มีเมียสวยหุ่นดีเช่นนี้ ใครเล่าจะยอมเห็นเพียงแผ่นหลัง
“จ้ะ ๆ พี่จะเล่าเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ”
(มีต่อครับ)