ปราบปอบจำแลง โดยตรัยโศก ณ ริมน่าน

เรื่อง : ปราบปอบจำแลง
โดย : ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน

ปราบปอบจำแลง
ค่ำคืนอันเหน็บหนาวกลางเดือนพฤศจิกายน  ณ  บ้านไม้ติดชายดอย รังรักของผัวหนึ่งเมียสี่  รังรักของพรานเมฆ

ภายหลังกลับจาก บ้านฆญื่อ  หมู่บ้านกะเหรี่ยงอดีตลูกหาบคนสนิทของผู้ใหญ่ผุย  คราแรกเมื่อสี่เมียสาวพรายตานีเห็นพระสวามีจอมพรานเดินกระโด๊ก ๆ มีไม้ค้ำยันและผู้ใหญ่ผุยประคองมาก็เกิดความเป็นห่วง  ลอยรี่ปรี่เข้าไปหมายจะประคอง  ทว่าอีกไม่กี่ก้าวที่นวลนางสางพรายจะถึงตัวผัวรัก  กลับมีอันชะงักงัน  ใบหน้านวลขาวรูปไข่ดวงตากลมโตสวยสดพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้งโกรธ  

“พี่เมฆ  พี่ไปทำสิ่งใดมา?  ทำไมน้องได้กลิ่นหญิงสาว?  ไม่สิ  นี่ไม่ใช่กลิ่นมนุษย์ พี่แอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย เอาผีตนไหนมาเป็นเมียอีกแล้วรึ?”

“ปะ...เปล่าจ้ะน้องนี  ไม่ใช่แบบนั้น”

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันแบบไหน?  ใช่สิ  น้องมันของเก่า  พี่ได้น้องแล้วทั้งกายและใจจึงคิดจะมีใหม่ใช่ไหม?  ฮึ! งอน!!!”  

และเพื่อเป็นการแสดงเจตจำนง  สี่นางตานีกอดอกหันขวับไปในทิศทางเดียวกันด้วยความพร้อมเพรียง  พรานเมฆได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายให้เมียเข้าใจ  อิสตรีนั้นความรู้สึกนึกคิดยากแท้หยั่งถึง  บอกความจริงก็หาว่าโกหก  พอโกหกก็ดันจับได้อีก  พรานเมฆที่ใคร ๆ ต่างนับถือว่าเป็นจอมพรานไม่มีประสบการณ์ด้านนี้  ได้แต่ตีหน้าโศกจนแต้ม  กระทั่งผู้ใหญ่ผุยต้องลงมือช่วย

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกแม่นี...อย่าเพิ่งเข้าใจพรานเมฆมันผิดเลย  แต่จะว่าไปก็เข้าใจถูกล่ะนะ  เพียงแต่ไม่ถูกทั้งหมดเท่านั้นเอง”

และในทันทีนั้น บรรดาแม่นีซึ่งพรานเมฆตั้งชื่อให้แบบเดียวกันหันขวับมามองผู้ใหญ่ผุยตาเขม็ง  หาใช่ด้วยความโกรธ  แต่เป็นทำนองตัดพ้อว่าให้พ่อบ้านดูเอาเถิด  พรานเพื่อนรักของพ่อบ้านเจ้าชู้นัก

“คืออย่างนี้  กลิ่นที่ติดตัวพรานเมฆมาน่ะ  เป็นของท่านจิรกาลสัปปะ  ท่านเป็นนางพญางูใหญ่ที่บำเพ็ญเพียรสร้างตบะอยู่บนเขาหลังหมู่บ้านไอ้กะเทอมัน  อีกทั้งท่านยังเป็นสหายเก่าของพรานเมฆมันด้วย  คงได้พบปะกันสมัยที่ทั้งมันทั้งฉันหนุ่มกระทงและล่องไปทั่วนั่นล่ะ  นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้  แม่นีทั้งหลายก็อย่าไปเคืองไปเข้าใจผิดพรานเมฆมันเลย  มันรักพวกแม่ ๆ จะตายไป”

โดยที่สี่ตานีไม่ทันเห็นเพราะกำลังทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่ตนเองหึงหวงจนเกินเหตุและเข้าสู่โหมดสำนึกผิด  พรานเมฆแอบยกนิ้วโป้งให้เพื่อนรักที่อุตส่าห์อธิบายในสิ่งที่ตนพูดไม่ถูกจนบรรดาภรรเมียเริ่มใจอ่อน

“ แต่ก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นล่ะนะ  ฉันรู้แค่นั้น  ส่วนเรื่องระหว่างที่พรานเมฆกับท่านจิรกาลสัปปะพบกันและอาศัยอยู่ในป่า  อันนี้ต้องถามกันเอาเองเด้อ”  ผู้ใหญ่ผุยบอกเสียงเรียบยิ้มมุมปาก ก่อนหันหลังเดินจากมา  นั่นเท่ากับเป็นการลากพรานเมฆขึ้นเขียงเรียบร้อยแล้ว  แต่แล้ว  พ่อบ้านพลันหยุดชะงัก หันกลับมากล่าวกับครอบครัวเกลอแก้วใบหน้าสดใสยิ้มกว้างสุขใจ  

“แหม่...แต่ท่านพญางูสาวนั่นก็งามหยดจริง ๆ นะแม่  ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่มาเป็นพัน ๆ ปี  รูปร่างหน้าตารึยังกะสาวแรกรุ่น  ไม่แพ้พวกแม่ ๆ เลยทีเดียว  บ๊ะ!  พรานเมฆนี่มันเข้าใจคบเพื่อนจริงเชียว ฉันล่ะอิจฉ๊า...อิจฉา!”

จบ  จบกันพรานเมฆครวญในใจ  เพียงประโยคแรกหลังจากยกนิ้วโป้งให้พรานเมฆก็นอนรอความตายอยู่บนเขียงแล้ว  นี่ยังทิ้งท้ายส่งมีดปังตอสี่เล่มให้อีกต่างหาก  ไม่ตายคืนนี้จะไปตายคืนไหน?  พรานเมฆค่อย ๆ หันมองหน้าเมียทั้งสี่ด้วยอาการดั่งอีเห็นระวังภัย  ทว่ากลับต้องฉงนหนัก เมื่อนวลนางหาได้มีสีหน้าโกรธเคือง แต่กลับยิ้มน้อย ๆ ราวกับเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี

“มะ...ไม่ได้โกรธพี่อยู่หรอกรึ?”

“จะไปโกรธทำไมกัน  ถ้าเป็นท่านจิรกาลสัปปะพวกเราเองก็รู้จัก  ครั้งหนึ่งท่านเคยออกจากที่จำศีล  ล่องใต้ชมทะเล  พวกน้องยังเคยพาท่านไปดูที่นั่นที่นี่อยู่เลย  มาเถอะจ้ะพี่เมฆ  จัดการเรื่องใหญ่มาคงเหนื่อยหนัก  คืนนี้น้อง ๆ จะปรนนิบัติพี่เอง...”

สี่ผีสาวเข้ามาประคองร่างพรานเมฆเข้าตัวบ้าน  ขณะเดียวกันจอมพรานน้ำตาซึม  ฟ้ามีตาสวรรค์มองเห็นคุณความดีของตนที่ไม่ใช่คนเจ้าชู้  จึงไม่ยอมปล่อยให้บรรดาเมียทั้งสี่เข้าใจผิดตามคำยุของเกลอแก้ว   ที่ควรได้ลูกเก้าเป็นของขวัญสักปลอก  เพียงเท่านี้พรานเมฆก็สบายใจแล้ว...

ภายใต้ความสลัวราง พรานเมฆนอนแผ่หลาไร้อาภรณ์บนฟูกนุ่ม  กางแขนทั้งสองข้างออกให้เมียหนุนฝั่งละสองนาง  ครอบครัวอันแสนสุขพูดคุยหยอกล้อหัวร่อกันคิกคักน่ารักน่าหยิก  กระทั่งหนึ่งในแม่นีเอ่ยถามขึ้น

“จริงสิพี่จ๋า  เมื่อหัวค่ำฉันได้ยินว่าเมื่อครั้งที่พี่กับพ่อผู้ใหญ่ยังหนุ่มกระทงเคยแยกกัน  ตอนนั้นพี่ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน  แล้วกลับมาเจอกันได้ยังไงพี่เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”

“อืม...ถ้าจะเล่าเรื่องนั้นเลยก็จะยาวไปหน่อย  เอาเป็นตอนที่พี่พบกับผู้ใหญ่ผุยอีกครั้งหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันมานานก็แล้วกัน  ครั้งนั้นพี่ไปอีสาน  พรานเก่าแก่ที่รู้จักกันเขาชวนไปเที่ยว  บ้านเขาอยู่ที่ยโสธร...”

ย้อนกลับไปราว ๆ ห้าสิบปีก่อน   

ครั้งนั้นพรานเมฆในวัยฉกรรจ์  เป็นหนุ่มเลือดร้อนและพรานฝีมือเยี่ยม เที่ยวท่องไปตามไพรพงดงลึกล่าสัตว์นอนป่ายังที่นั่นที่นี่  พบปะสหายที่คุยกันรู้เรื่องในภาษาพรานก็มาก  พบปะผีสางปีศาจก็ไม่น้อย  แต่มีอยู่สถานที่หนึ่งซึ่งพรานเมฆยังไม่เคยไปเยือน  ป่าทางอีสาน  

ข่าวว่าเวลานั้นสัตว์ชุมไม่ต่างจากป่าดิบของภาคกลางและเหนือ  ออกจะแล้งไปสักหน่อยแต่หากได้ไปเยือนรับรองไม่มีกร่อยแน่นอน  ซ้ำที่แผ่นดินถิ่นนั้นยังเต็มไปด้วยตำนานและนิทานปรัมปรามากมาย   พรานเมฆอยากไปนักหนาทว่าสหายพรานซึ่งมีถิ่นเกิดอยู่ในภาคนั้น  ไม่มีในบันทึกของความทรงจำเลยแม้แต่ผู้เดียว

กระทั่งพรานเมฆกลับจากบ้านห้วยทอง  กำเงินร้อยค่าจ้างจัดการเสือเฒ่าและได้พบกับพรานหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า บุญมี ระหว่างทาง  จากการสนทนากันนั่นเอง  พรานเมฆจึงสมประสงค์  เพราะพรานบุญมีผู้นี้ มีบ้านเกิดอยู่ยโสธร  และเขากำลังจะกลับไปที่นั่นพอดี

“เอาแบบนี้เสี่ยว  เดี๋ยวฉันกลับหมู่บ้านก่อน  จัดการธุระปะปังเรียบร้อยจะตามไป  เสี่ยวเขียนแผนที่ให้ฉันก็พอ”

“มันสิบ่ยากเจ้าติ?  บ่แม่ง่าย ๆ เด้  ไปนำข่อยเลยดีบ้อหือ?”

“บ่ยาก ๆ”  พรานเมฆปฏิเสธจากใจจริง  “เสี่ยวไม่ต้องกังวล ฉันหาทางไปได้แน่ ขอแค่เสี่ยวเขียนแผนที่มาให้ อีกอาทิตย์รอรับฉันได้เลย เหล้าต้ม  ส้มตำ  ยำบักมี่  จี่ปูนา  อะไรก็แล้วแต่ที่เสี่ยวคิดว่ามันแซบ  จัดเตรียมเอาไว้โลด”

“เอ๋า  เอาซั่นบ่  กะดั้ย...คั่นเจ้าว่าบ่ยากมันกะแล่วแต่เจ้า  ข่อยสิถ่าอยู่เฮือน...เอ้า  นี่ล่ะลายแทงบ้านข่อย  เบิ่งยากจักน่อยข่อยเขียนหนังสือบ่งาม”

“โห้...แค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว  เอ่อ...อะไรนะ  บักคัก ๆ  ขอบจั๋ยอีหลี ฮ่า ๆ”   

ว่าแล้วทั้งคู่ก็แยกจากกันยังท่ารถ  พรานบุญมีต้องนั่งรถล่องลงเมืองกรุงแล้วต่อไปอีสาน  ทางด้านพรานเมฆสบายหน่อย  เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงบ้าน  เพราะมันไม่ได้ไกลมากนัก เรียกว่าเป็นเขตรอยต่อระหว่างภาคก็ได้  

หลังโบกมือหย็อย ๆ ให้สหายพรานหนุ่มน้อยแห่งแดนอีสาน  พรานเมฆตรงดิ่งไปยังรถประจำทางอันเป็นพาหนะที่แล่นผ่านหมู่บ้าน   จังหวะนั้นเอง เกิดไปชนเข้ากับวัยรุ่นผู้หนึ่ง  จะเป็นผีผลักหรืออย่างไรไม่ทราบ  ทั้งคู่ใจตรงกันไปเสียหมด  

ทั้งจังหวะขึ้นรถที่ชนกันสนั่นจนแทบหัวร้างข้างแตก  ทั้งการเลือกที่นั่งซึ่งต่างฝ่ายต่างคิดว่านั่งตอนท้ายฝั่งขวารับลมได้ดีที่สุด  แต่มันมีที่เดียว  จากใจตรงกันพลันกลายเป็นเขม่น

“กูมาก่อน”

“ใครบอกมืง?  ใครเป็นพยาน?  ใครเห็นบ้าง?”  ชายหนุ่มผู้นั้นสวนกลับทันควันด้วยสำเนียงภาษาและกริยากวนช่วงล่าง  ใจพรานเมฆเดือดปุด ๆ หายใจเข้าหายใจออกจนสุดปลายลม  พยายามนับถึงถึงร้อย รั้งขาลงจากรถผายมือไปยังที่นั่ง

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเถิดพ่อ  ฉันยืนไปไม่ก็นั่งตรงอื่นก็ได้”

“อีเธ่อ...นึกว่าจะแน่!”  

แทนที่จะขอบใจ  ชายหนุ่มกลับค่อนแคะแสยะยิ้มทิ้งตัวลงนั่งซ้ำยังยักคิ้วหลิ่วตา  ประกาศว่ากูคือผู้ชนะ  และนั่นเองเป็นการจุดระเบิด  พรานเมฆโยนกองเลขที่อุตส่าห์นับเพื่อสงบสติอารมณ์ทิ้ง  สองมือคว้าราวเหล็กสำหรับจับเพื่อกันตกท้ายรถ  ยกตัวเหวี่ยงหน้าแข้งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้กวนบาทาเต็มแรง

ทว่าตัวเองก็พลาดท่าเช่นกัน  ด้วยโทสะมันเดือดมือลื่นเพราะเหงื่อ  เมื่อไร้สองเท้าหยั่ง  แม้จะทำร้ายอีกฝ่ายได้แต่ตนเองก็ร่วงโครมสีข้างกระแทกบันไดทางขึ้นจนรถโยก  เจ้าตัวไม่ต้องถามถึง  ก้าวข้ามคำว่าเจ็บและจุกไปหลายขุม

จะลุกก็ไม่สะดวกเพราะท่อนล่างขาดันไปเกี่ยวกับที่นั่งส่วนท่อนบนพาดร่อแร่เกือบจะแน่นิ่งห่างเท้าอริเพียงศอกเศษ  นั่นจึงเป็นเหตุให้พรานเมฆรับหลังเท้าเข้าปลายคางเต็ม ๆ 

ทั้งคู่ซัดกันนัวไม่มีใครยอมใครเหตุเพราะที่นั่งรถซึ่งตนคิดว่าจุดนั้นดี  กระทั่งคนขับซึ่งดูอยู่นานตะโกนบอกด้วยความเสียดาย

“เอาล่ะ! พอ ๆ รถจะออกแล้วเด้อพ่อ  จะต่อยกันต่อไว้ลงรถแล้วค่อยว่ากาน....”  

มวยไทยเจ็ดสีจึงจบลงเพียงเท่านี้ สองฝ่ายได้คะแนนเท่ากันซ้ำที่นั่งซึ่งต่างก็หมายปองถูกเอาไปครองโดยหญิงชรานางหนึ่ง  ที่สุดก็ต้องห้อยโหนกันคนละฝั่ง  ตลอดทางจ้องกันเขม็ง  กะว่ารถจอดเมื่อไหร่เถอะมืง  กูล่อมืงแน่

“หนองคำดีเด้อ...!!!”   คนขับชะลอความเร็วสุดท้ายก็จอดสนิทประกาศจุดหยุดรถ  คราวนี้ทั้งคู่งงเป็นไก่ตาแตก  ไหงไอ้นี่มาลงที่นี่ด้วยวะ?  ยิ่ง-งงหนักเมื่อต่างก็เดินเข้าหมู่บ้านเช่นกัน  ถนนสายเล็ก ๆ นักเลงแปลกหน้าจ้องกันคนละฝั่ง  ต่างก็คิดในใจว่าอริต้องเป็นสหายของใครสักคนในหมู่บ้านแน่  แบบนี้ยิ่งดี  ถิ่นกูมืงจบแล้ว

“กว่าจะมาได้นะมืงไอ้ผุย!  ถ้าพ่อมืงใกล้ตายป่านนี้เผาไปแล้ว  ส่งข่าวไปเป็นเดือน ๆ ไม่ตอบสักคำ แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมา?”  ตาผวนลุงแท้ ๆ ของผู้ใหญ่ผุยเอ็ดตะโรทันทีที่เห็นหน้าหลานชาย มองข้ามไหล่ไปก็เห็นพรานเมฆยืนมองมาท่าทีบอกชัดเจนว่ากำลังฉงน

“อ้าว! ไอ้เมฆ  ไหนว่าไปจัดการเสือลำบากที่บ้านห้วยทองแล้วสภาพหน้าตาเอ็งทำไมบอบช้ำปานไปฟัดก๊ะหมามาแบบนั้น?  ทำไม?  เสือนั่นเป็นสมิงแล้วจำแลงแปลงกายเป็นนักมวยรึไง?”

สองอรินิ่งเงียบหันมองหน้ากัน  บัดนี้ทุกข้อสงสัยถูกไขให้กระจ่างแล้ว  ที่แท้คนที่โรมรันห้ำหั่นกับตัวเองไม่ใช่ใครที่ไหน  เกลอแก้วสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนับสิบปีนี่เอง  ว่าแล้วก็หัวเราะให้แก่กันหันไปตอบตาผวนเป็นเสียงเดียว

“พอดีมือมันลื่นเลยพลัดตกรถจ้ะ”  นั่นล่ะ คำตอบของทั้งคู่ในครานั้น...

“พี่จ๋า...ไม่เอาอารัมภบทยืดเยื้อแบบนี้สิจ๊ะ  เอาตอนที่พี่ไปอีสานเลยสิ  ถ้าไม่เล่า น้องจะงอนนอนหันหลังให้แล้วนะ”  หนึ่งในเมียผีว่า อีกสามพลันปฏิบัติตามตั้งท่าจะหันหลังเอาร่างกายเปลือยเปล่าอล่างฉ่างน่ามองหนี  พรานเมฆพลันรวบสองแขนเข้าหาตัวเท่าที่จะทำได้  มีเมียสวยหุ่นดีเช่นนี้  ใครเล่าจะยอมเห็นเพียงแผ่นหลัง

“จ้ะ ๆ พี่จะเล่าเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ”
(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่